13 พ.ค. 2023 เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน ทฤษฎีพระเยซูมิได้สิ้นพระชนม์บนกางเขน และไปอยู่ที่อินเดีย

(หมายเหตุ บทความนี้นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ที่สวนทางกับคัมภีร์ไบเบิล นำมาเล่าเพื่อเปิดโลกทัศน์และมุมมองทางประวัติศาสตร์เท่านั้น พึงอ่านแบบวิเคราะห์และใช้วิจารณญาณ)
1
ผมโตมาในโรงเรียนคริสต์ เรียนศาสนาคริสต์มาแต่เด็ก นอกจากนี้ยังเรียนคำสอนศาสนาคริสต์จนจบได้รับประกาศนียบัตรของคณะเซเวนธ์เดย์แอดเวนตีส กรุงเทพฯ จึงคุ้นเคยกับประวัติของพระเยซูดี
5
ทว่ามีสองคำถามที่โรงเรียนและตำราคริสต์ไม่ได้สอน
1
คำถามที่หนึ่งคือ ไบเบิลไม่บันทึกรายละเอียดชีวิตช่วงอายุ 12-29 ปีของพระเยซูเลย แต่บันทึกชีวิตที่เหลืออย่างละเอียด เราไม่รู้แน่นอนว่าช่วงนั้นพระเยซูทำอะไร ที่ไหน
3
คำถามที่สอง หลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขนสิ้นพระชนม์สามวัน ก็ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย แล้วเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ คล้ายๆ กับเรื่องปาฏิหาริย์ในศาสนาอื่นๆ เช่น ทางพุทธก็มีเรื่องพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว เป็นต้น หากเราตัดเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พระเยซูไม่ตายบนไม้กางเขน ทรงหายไปที่ใด
1
ประวัติของพระเยซูแทบทั้งหมดที่เรารู้มาจากงานเขียนที่เรียกว่า gospel (คำสอนหรือบางทีแปลตรงคำว่า ข่าวดี) สี่ฉบับในไบเบิลฉบับ New Testament ได้แก่ Matthew, Mark, Luke และ John เชื่อว่าเขียนขึ้นระหว่าง ค.ศ. 66-110
1
งาน gospel ของ Mark เป็นฉบับแรก ต่อมาก็มีฉบับ Matthew และ Luke และฉบับ John
เราไม่รู้แน่ว่าคนแต่ง gospel ฉบับต่างๆ เป็นใคร แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับพระเยซู หรือสาวกของพระเยซู
1
Gospel of Mark เขียนโดย John Mark คนสนิทของปีเตอร์ สาวกของพระเยซู ราว ค.ศ. 60-75
ต่อด้วย Gospel of Matthew (ค.ศ. 65-85) เขียนโดย Matthew ศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู และหรือคนอื่นๆ
1
Gospel of Luke (ค.ศ. 65-95) เขียนโดยเพื่อนคนหนึ่งของพอล
และ Gospel of John (ค.ศ. 75-100) เขียนโดย John ศิษย์คนหนึ่งของพระเยซู และหรือคนอื่นๆ
นักประวัติศาสตร์ตอบไม่ได้ว่า ผู้เขียน gospel เหล่านี้ ตั้งใจเขียนงานในรูปประวัติศาสตร์ นิยาย ตำนาน หรือชีวประวัติ หรือเป็นส่วนผสมกัน จึงตอบไม่ได้ว่าจำเป็นต้องมีการตีความท่อนใดท่อนหนึ่งหรือไม่ และเราถือมันเป็นบันทึกประวัติศาสตร์จริงๆ ได้แค่ไหน
3
จาก Gospels of Luke และ Gospels of Matthew พระเยซูเกิดที่เมืองเบธเลเฮม ครอบครัวเป็นชาวยิว
เรารู้แค่ประวัติตอนเกิด แล้วเรื่องก็ตัดไปที่ตอนพระเยซูอายุ 30 ทำพิธีแบพไทซ์ที่แม่น้ำจอร์แดนโดย John the Baptist หลังจากนั้นก็เผยแผ่ธรรม
คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้รายละเอียดชีวิตของพระเยซูช่วงวัย 12 จนถึง 29 ขณะที่ช่วงชีวิตตั้งแต่นั้นมาจนสิ้นพระชนม์ได้รับบันทึกละเอียด
Luke 2:52 ให้รายละเอียดแค่ว่า หลังจากอายุ 12 พระเยซูทรง พัฒนาฉลาดปราดเปรื่อง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและมนุษย์
จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ สำหรับยิว อายุ 13 มีความหมายพิเศษ 13 คือพิธี Bar Mitzvah ฉลองเด็กยิวสู่วัยผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ ส่วนเลขอายุ 30 คือวัยที่เป็นนักบวชได้
3
ชาวคริสต์ส่วนมากตีความ Mark 6:3 และ Matthew 13:55 ว่าพระเยซูทรงเป็นช่างไม้ในช่วงนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะประวัติศาสตร์ช่วงนั้นชี้ว่ามีงานก่อสร้างพื้นที่ Sepphoris ต้องการคนงานจำนวนมาก พระเยซูอาจทำงานที่ Sepphoris (* Sepphoris อยู่ใน Galilee ใกล้เมืองนาซาเรธ เชื่อว่าเป็นที่เกิดของพระนางแมรี มารดาพระเยซู)
2
ช่วงที่ไม่มีรายละเอียดของพระเยซูมักเรียกว่า The lost years, the silent years หรือ the missing years
2
จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 19-20 มีทฤษฎีหนึ่งผุดขึ้นมาว่า ช่วง The lost years พระเยซูไม่ได้อยู่ที่กาลิลี พระองค์อยู่ที่อินเดีย
4
หลังจากพิธีแบพไทซ์ที่แม่น้ำจอร์แดน พระเยซูทรงมีสาวกเอกสิบสองคน แล้วสั่งสอนธรรมไปทั่วแผ่นดิน รักษาโรค กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่ว จนพวกยิวคิดกำจัด และทำสำเร็จโดยรับความช่วยเหลือจากสาวกทรยศ ยูดาส
6
gospels ทั้งสี่ฉบับเขียนตรงกันว่า พระเยซูกินอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกับสาวกทั้งสิบสองที่เมืองเยรูซาเล็ม เรียกว่า The Last Supper หลังจากนั้นก็ถูกจับ โดยยูดาสพาพวกทหารมา แล้วตรงไปจูบพระเยซู เป็นการชี้ตัวทางอ้อม พระเยซูขึ้นศาล ถูกพิพากษาให้ประหารโดยตรึงบนกางเขน
1
หลังคำตัดสิน พระเยซูทรงแบกไม้กางเขนไปที่หลักประหาร ทรงถูกโบยตีก่อนตรึงที่กางเขนพร้อมกับโจรสองคน กระหนาบซ้ายขวา
ทหารโรมันตีขานักโทษทั้งสองหัก เพื่อเร่งให้ตายเร็วขึ้น แต่ไม่หักขาพระเยซู เพราะเห็นว่าตายแล้ว (John 19:33)
3
ทหารคนหนึ่งแทงหอกใส่สีข้างของพระเยซู โลหิตและน้ำไหลออกมา แล้วสิ้นพระชนม์
1
หลังจากสิ้นชีพบนไม้กางเขน โจเซฟแห่งอริมาเธีย ขออนุญาตเจ้าเมืองเคลื่อนย้ายศพไปฝัง เมื่อได้รับอนุญาต ก็ย้ายศพลงมา ห่อหุ้มด้วยผ้าขาวสะอาด ฝังในสุสานใหม่ ปิดปากถ้ำไว้แน่นหนา เจ้าเมืองเกรงว่าสานุศิษย์อาจไปขโมยพระศพ ก็ส่งทหารไปเฝ้า
6
ผ่านไปสามวัน นางแมรี แมกดาลีน ไปที่สุสานและพบว่ามันว่างเปล่า
2
Matthew 28 เขียนว่าเวลานั้นมีทหารยามเฝ้าหน้าสุสาน เทวดาลอยลงมาจากสวรรค์และเปิดสุสาน ทหารยามเป็นลมไปด้วยความกลัว พระเยซูทรงปรากฏกายต่อหน้านางแมรี แมกดาลีน และ แมรีอีกคนหนึ่ง เมื่อพวกเขามาเยี่ยมสุสาน
3
Matthew 27:51-54 เขียนว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ทำให้สุสานแตกเปิดออก ทหารโรมันคนหนึ่งตกใจ กล่าวว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า
ฉบับ John ก็เขียนคล้ายกัน แต่เพิ่มว่าปีเตอร์และสานุศิษย์ก็อยู่ที่นั่นด้วย และทรงสอนศิษย์ให้อภัย
2
พระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกเป็นเวลา 40 วัน ก็เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าสานุศิษย์ ใน Luke 24:50-53 พูดเรื่องพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ว่า ทรงถูกยกลอยขึ้น เมฆก้อนหนึ่งพาพระองค์ไปจากสายตาของพวกเขา
วันตรึงกางเขนเรียกว่า Good Friday วันคืนชีพเรียก Easter Sunday
2
แทบทุกศาสนามีเรื่องอัศจรรย์ทำนองนี้ เราจะหมายความตรงคำ หรืออ่านมันในเชิงสัญลักษณ์ หรือตีความ ก็ขึ้นกับว่าเรามองมุมไหน
ในกรณีการฟื้นคืนชีพของพระเยซู หากเรามองมันในเชิงสัญลักษณ์ การฟื้นคืนชีพก็อาจหมายถึงความหวังของมนุษยชาติ หรือการเกิดใหม่ของสิ่งดีๆ
5
เนื่องจากบทความนี้มองในบริบทของประวัติศาสตร์อย่างเดียว เราจะตัดเรื่องปาฏิหาริย์ออกไป แล้วตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ได้บ้าง
1
กรณี 1 พระเยซูตาย (และถูกฝัง)
1
กรณี 2 พระเยซูไม่ตาย (เพราะที่ฝังศพว่างเปล่า)
2
ข้อ 1 จบในตัวมันเอง สำหรับข้อ 2 มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่พระเยซูไม่ตายจากการถูกตรึงกางเขน
1
คำตอบคือมีความเป็นไปได้มากพอสมควร เพราะมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีคนจำนวนหนึ่งไม่ตายจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน
3
คัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่าการตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนเกิดขึ้นตอนเช้า สิ้นพระชนม์ในเวลาบ่าย กินเวลาราวสามชั่วโมง เวลาสามชั่วโมงไม่น่ายาวพอให้ตาย
ก็เป็นที่มาของทฤษฎีสมคบคิดมากมาย หลายทฤษฎีเห็นว่า ในเมื่อพระเยซูยังไม่ตาย ไม่ปรากฏตัวในโลกในตำนานคริสต์ใดๆ อีก ก็สมเหตุผลว่าพระเยซูหนีไปจากอาณาจักรโรมัน เพราะถ้าอยู่ต่อก็จะถูกพวกโรมันจับฆ่าอีก
2
ถ้าเช่นนั้นจะหนีไปไหน?
เวลานั้นอาณาจักรโรมันยิ่งใหญ่ หากจะหนี ก็ต้องหนีไปทางตะวันออกเท่านั้น ซึ่งไม่อยู่ในอิทธิพลของโรม ก็คือเปอร์เซียและอินเดีย
2
เส้นทางหนีทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเดินทางจากเยรูซาเล็ม ผ่านเมืองนิซิบิส (Nisibis เมืองในตุรกีปัจจุบัน) ผ่านเปอร์เซีย ไปถึงแอฟกานิสถาน ที่นั่นมีกลุ่มชาวอิสราเอลที่ตั้งรกรากอยู่มาหลายศตวรรณแล้ว จากนั้นน่าจะเดินทางต่อไปที่แคชเมียร์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีพวกอิสราเอลตั้งรกรากเช่นกัน
2
ในช่วงปี 1946 และ 1956 มีการค้นพบเอกสารโบราณที่เรียกว่าม้วนจารึกเดดซี (Dead Sea Scrolls) ณ ถ้ำ Qumran ในดินแดนปาเลสไตน์ ใกล้เวสต์ แบงก์ ทางตอนเหนือของทะเลเดดซี อายุเอกสารโบราณนี้ประมาณช่วงเดียวกับพระเยซู เขียนด้วยภาษาฮีบรูและอาหรับ
4
ม้วนจารึกเดดซีเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา ภาษา เรื่องเกี่ยวกับคริสต์ที่ไม่ปรากฏในไบเบิล
2
ข้อมูลจากม้วนจารึกเดดซีทำให้เกิดทฤษฎีต่างๆ โผล่ขึ้นมา เช่น พระเยซูเคยศึกษากับสำนักยิว Essenes บ้างว่าทรงเกี่ยวข้องกับพวก Pharisees (ปรัชญายิวอีกสายหนึ่ง)
1
บ้างก็เชื่อว่าพระเยซูอยู่ที่อังกฤษในช่วงนั้น
1
แต่ที่ไปไกลที่สุดคือทฤษฎีที่ว่าพระเยซูไปที่อินเดีย
1
และทฤษฎีที่ว่าไม่เพียงแต่พระเยซูไปอินเดียหลังการตรึงกางเขน แต่ยังเคยไปอินเดียมาก่อนสมัยเด็กในช่วง The lost years
9
ใช่ The lost years มีความหมายทั้งก่อนและหลังการตรึงกางเขน
1
คนแรกที่เสนอแนวคิดนี้คือชาวยิวชื่อ นิโคลาส โนโทวิทช์ (Nicolas Notovitch หรือ Nikolai Aleksandrovich Notovich) เขาอ้างว่าในปี 1887 เขาไปเยือนวัดพุทธแห่งหนึ่งที่อินเดีย พระที่นั่นเล่าเรื่องของพระโพธิสัตว์นาม Isa
5
Isa คือนามพระเยซูในภาษาอาหรับ
1
เขารู้สึกว่าคำสอนของ Isa คล้ายกับคำสอนของพระเยซูมาก จุดนี้สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไปถึงดินแดนปาเลสไตน์มานานแล้ว เพราะศาสนาพุทธเกิดขึ้นก่อนคริสต์ห้าร้อยกว่าปี เป็นไปได้ว่าส่งอิทธิพลต่อวิธีคิดของพระเยซู จนกลายเป็นของตนเอง
3
โนโทวิทช์อ้างอิงเอกสารที่เขาบอกว่าเห็นที่อารามเฮมิส (Hemis Monastery) ในเขตลาดัก แคชเมียร์ เอกสารชิ้นนั้นคือ Life of Saint Issa, Best of the Sons of Men
1
Life of Saint Issa ถูกแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสในปี 1894 ในชื่อ La vie inconnue de Jesus Christ (ชีวิตที่ไม่รู้ของพระเยซู)
2
ตามหนังสือเล่มนี้ เมื่ออายุสิบสาม พระเยซูเดินทางจากเยรูซาเล็มไปเมืองสินธ์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) แล้วเดินทางข้ามปันจาบ ถึงปุรี อยู่ที่ปุรีและราชคฤห์นานหกปี เรียนรู้เรื่องฮินดู หลังจากนั้นก็เดินทางไปทิเบต เรียนพุทธกับพระทิเบตที่เทือกเขาหิมาลัย เมื่ออายุ 29 ก็เดินทางข้ามเปอร์เซียกลับไปเยรูซาเล็ม แล้วเริ่มบทแรกของผู้เผยแผ่ธรรม
3
หลังจากถูกตรึงกางเขนและไม่ตาย ก็กลับไปอินเดียอีกรอบกับนางแมรี แมกดาลีน เดินทางไปตุรกี เปอร์เซีย จนถึงแคชเมียร์ สั่งสอนคนที่นั่น ตายและฝังในสุสานที่แคชเมียร์
2
โนโทวิทช์อ้างว่ามีหลักฐานประวัติศาสตร์ของนักปราชญ์เปอร์เซีย เขียนว่าพระเยซูเสด็จถึงอาณาจักรนิซิบิส (ปัจจุบันคือ Nusaybin ในตุรกี)
1
ตำนานนี้ถูกเล่าใน Tafsi-Ibn-i-Jamir at-tubri โดย Imam Abu Jafar Muhammed และในตุรกีและเปอร์เซีย มีการเล่าเรื่องนักบุญชื่อ ยูซ อาซาฟ (Yuz Asaf แปลว่าผู้นำของผู้ถูกรักษา) ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับชีวิตพระเยซู
1
นอกจากนี้ก็มีตำนานเกี่ยวกับพระเยซูฟื้นชีพและเคยไปอยู่ที่ตุรกี ฯลฯ
1
ทฤษฎีของโนโทวิทช์สร้างความปั่นป่วนให้วงการ บางคนบอกว่าเขาคงไปรับข้อมูลผิดๆ มา หรือแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง เพราะทางฝั่งทิเบต ก็ไม่มีหลักฐานว่าชาวตะวันตกอย่างเขาเคยไปที่นั่น มีนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ไปตรวจสอบเรื่องนี้ถึงทิเบต และไม่พบหลักฐาน จึงบอกว่าโนโทวิทช์มั่ว
2
ในปี 1922 Swami Abhedananda นักศาสนาชาวอินเดีย บันทึกว่าเขาเดินทางถึงทิเบตเพื่อศึกษาปรัชญาพุทธและพุทธทิเบต เขาถือโอกาสตรวจสอบคำกล่าวอ้างของโนโทวิทช์ เขาพบเอกสารหนึ่งที่อารามเฮมิส พบต้นฉบับที่โนโทวิทช์แปลจากม้วนหนังสือภาษาบาลีเกี่ยวกับปีที่หายไปของพระเยซู พิสูจน์ว่าโนโทวิทช์ไม่ได้โกหก
6
ทว่าจนถึงวันนี้ คำตัดสินของคนในวงการคือ โนโทวิทช์แต่งเรื่องขึ้นมาเองเพื่อรับค่าเรื่อง ทฤษฎีนี้ถูกนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยิงตก
1
หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดของโนโทวิทช์คือ Jesus Lived in India เขียนโดยนักเขียนชาวเยอรมัน โฮลเกอร์ เคียสเตน (Holger Kersten)
หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความเหมือนกันของคำสอนศาสนาพุทธกับคริสต์ จนอาจเป็นไปได้ที่มาจากแหล่งเดียวกัน ผู้เขียนบอกว่า ข้อมูลของคริสต์จักรนั้นถูกจำกัดไว้แค่ gospels และงานของนักเทวนิยม ตัดส่วนที่ไม่ตรงจุดประสงค์ทิ้งไปหมด ซึ่งเหมือนปักธงเป้าหมายก่อนแล้ว เพื่อให้ศาสนจักรทรงอำนาจ
1
ทฤษฎีของเคียสเตนบอกว่าพระเยซูอาจจะรับรู้พุทธศาสนาจากอียิปต์มาก่อน หลังจากพระเยซูประสูติ ครอบครัวหนีภัยกษัตริย์เฮรอด จากเยรูซาเล็มไปอียิปต์ ประเด็นนี้มีนักวิชาการปัจจุบันจำนวนหนึ่งยอมรับว่าศาสนาพุทธปรากฏในเมืองอเล็กซานเดรียนานก่อนยุคพระเยซู
4
หนังสืออ้างอิงบางส่วนจาก The Apocryphal Acts of Thomas และ The Gospel of Thomas ซึ่งเขียนราว ค.ศ. 4 ที่ซีเรีย
1
ธอมัสก็คือหนึ่งในสาวกสิบสองคนของพระเยซู
1
หนังสือเล่มนี้ให้หลักฐานที่ไม่ตรงกับฝั่งคริสต์จักร เช่น บันทึกว่าพระเยซูเคยไปที่เมืองแอนดราโพลิส เขต Paphlagonia (ใกล้ทะเลดำ) ในฐานะราชอาคันตุกะของกษัตริย์ ที่นี่เองที่ธอมัสพบพระเยซู พระเยซูบอกธอมัสให้ไปเผยแผ่ศาสนาที่อินเดีย
1
ข้อมูลเสนอว่าพระเยซูกับนางแมรีเดินทางไปฝั่งตะวันตกของตุรกี จุดนั้นนักเดินทางในสมัยก่อนเรียกว่า Home of Mary
2
จากจุดนั้นพระเยซูสามารถเดินทางไปยุโรปผ่านฝรั่งเศส หรืออังกฤษ เพราะที่อังกฤษมีต้นโอคเก่าแก่เรียกว่า Hallowed Tree ซึ่งเล่ากันว่าพระเยซูทรงปลูกเอง
2
ขณะเดินทางข้ามเปอร์เซีย พระเยซูรู้จักกันในนาม ยูซ อาซาฟ เรื่องนี้มีหลักฐานในเอกสารประวัติศาสตร์แคชเมียร์ ยืนยันว่า Isa (นามพระเยซูในอาหรับ) ก็คือคนเดียวกับ ยูซ อาซาฟ
มีบันทึกหลายชิ้นในฝั่งเปอร์เซียพูดถึงพระเยซูเดินทางเผยแผ่ศาสนาทางนี้
2
เคียสเตนเสนอว่าพระเยซูเดินทางถึงตอนใต้ของอินเดียเช่นกัน และไปตายที่เมืองศรีนคร แคชเมียร์ ทรงมีชีวิตอยู่จนแก่ ตายในอินเดียที่เมืองศรีนคร (Srinagar) แคชเมียร์ พระศพฝังที่สุสาน Roza Bal หรือ Rozabal
2
Rozabal ย่อมาจาก Rauza Bal แปลว่าที่ฝังศพของศาสดา
ทางเข้าสุสานมีจารึกว่าที่ฝังศพ ยูซ อาซาฟ และนักบุญอิสลามอีกคนหนึ่ง ขณะที่โลงหินนักบุญอิสลามวางเหนือ-ใต้ตามธรรมเนียม อิสลาม ที่ฝัง ยูซ อาซาฟ กลับเป็นตะวันออก-ตะวันตกตามธรรมเนียมยิว
มีการศึกษาโลงหิน พบว่ามันสลักรอยเท้าของ ยูซ อาซาฟบนนั้นยังสลักรูปไม้กางเขนและลูกประคำ รอยเท้าสลักทั้งสองของ ยูซ อาซาฟ มีรูปรอยแผลเป็น ซึ่งตีความว่าเป็นรอยตรึงเท้าบนไม้กางเขน
เนื่องจากการตรึงคนบนไม้กางเขนไม่มีในเอเชีย ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าหากเป็นการตรึงกางเขนจริง ก็ทำมาจากที่อื่น เช่น ที่ตะวันออกกลาง
บันทึกอื่นๆ ชี้ว่าสุสานนี้น่าจะมีมาอย่างน้อย ค.ศ. 112
ดังนั้นผู้เขียนคือเคียสเตนสรุปว่าสุสานของพระเยซูอยู่ที่แคชเมียร์
ทฤษฎีนี้ท้าทายคำสอนเดิมอย่างมาก หากมันเป็นความจริงก็สั่นสะเทือนคำสอนหลักของคริสต์ เช่น เรื่องบาปแรก (original sin) การไถ่บาป ฯลฯ
2
แน่นอนคริสต์จักรปฏิเสธทฤษฎีนี้โดยสิ้นเชิง แต่ในทางอิสลาม ชาวมุสลิมไม่เชื่อเรื่องการตรึงกางเขน และการเสด็จสู่สวรรค์ และจะกลับมาอีกครั้ง (Second Coming of Jesus)
1
เคียสเตนเขียนงานเกี่ยวทฤษฎีพระเยซูไปอินเดียอีกสองเล่มคือ The Original Jesus และ The Jesus Conspiracy ไม่มีชิ้นไหนที่นักวิชาการยอมรับ หลายคนบอกว่างานของเขาเป็นแฟนตาซี ไม่ใช่สารคดี
มองในมุมกลับกัน เคียสเตนก็อาจเห็นว่า เรื่องราวในไบเบิลหลายส่วนก็เป็นแฟนตาซีเช่นกัน
2
จุดดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสังคมตะวันตกคือ เปิดโอกาสให้มีการตีพิมพ์งานเขียนที่เห็นต่างได้ง่ายกว่าสังคมตะวันออก
1
นักวิทยาศาสตร์ นักเขียน คาร์ล เซเกน บอกว่า ศาสนาต้องตรวจสอบได้ และศาสนาที่มีฉนวนหุ้มห่อจากการล้มล้าง ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรือการตรวจสอบ
3
การรักษาความเชื่อที่อยู่มานานหลายพันปียากพอๆ กับล้มล้าง เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่มั่นคงทั้งคู่
1
ดังนั้นอ่านงานแบบนี้จึงไม่ใช่เพื่อหาคำตอบว่าใครผิดใครถูก แต่เป็นการเปิดสมองอย่างหนึ่ง
14

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา