20 พ.ค. 2023 เวลา 00:00 • หนังสือ

บทความ Blockdit ตอน จริงหรือไม่ที่ สตีฟ จ๊อบส์ กินอาหารผิดจนตาย?

อาหารเช้าของ สตีฟ จ๊อบส์ คือผัก ผลไม้ และน้ำผลไม้ อาหารเที่ยงคือน้ำผลไม้ ผลไม้ กับผัก อาหารเย็นคือผลไม้ ผัก และน้ำผลไม้ อาหารว่างคือน้ำผลไม้
4
เขากินอย่างนี้เป็นปีๆ
1
บางวันเพื่อแก้ความเบื่อ เขาก็เปลี่ยนจากผลไม้ ก.เป็นผลไม้ ข. หรือจากผัก ค. เป็นผัก ง.
2
สตีฟ จ๊อบส์ เป็นชาวมังสวิรัติแบบสุดโต่ง (มังสวิรัติ = มังสะ แปลว่าเนื้อสัตว์ + วิรัติ แปลว่างดเว้น เลิก)
7
เขาไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ และยังชอบอดอาหารเป็นระยะ
2
สตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ในวัยเพียง 56 หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะอาหารที่เขากิน
จริงหรือไม่ที่การกินอาหารแบบฉบับของเขาทำให้เขาป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน และเสียชีวิตเร็วกว่าที่ควร?
ในปี 2003 จ๊อบส์ได้รับแจ้งจากหมอว่าเขาป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน ปีต่อมาเขาก็ประกาศข่าวนี้ให้ลูกจ้างทั้งหมดรู้
หมอแนะนำให้เขาเปลี่ยนอาหาร แต่ สตีฟ จ๊อบส์ ก็คือ สตีฟ จ๊อบส์ มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกว่ามนุษย์ธรรมดา
1
หลังจากรู้ว่าเป็นมะเร็ง เขายังเชื่อว่าการกินผักผลไม้ช่วยรักษามะเร็งได้
1
เขาไม่รักษาโรคตามแผนปัจจุบัน ไปสายแพทย์แผนทางเลือก ช่วงเก้าเดือนต่อมา เขารักษาโดยวิถีธรรมชาติ ฝังเข็ม กินสมุนไพร และอดอาหาร
1
ท้ายที่สุดร่างกายของเขาก็ไปไม่ไหว สตีฟ จ๊อบส์ ยอมรับการผ่าตัดในปี 2004 แต่ไม่ได้ฉายแสง ระหว่างนั้น ทิม คุก ดูแลบริษัท
4
เขาบอก วอลเทอร์ ไอแซคสัน คนเขียนชีวประวัติของเขาว่า เขาเสียใจที่ตัดสินใจอย่างนั้น
5
สองปีต่อมา มะเร็งก็กลับมาอีก เขาอ่อนแอลง แต่ก็ยังทำงาน ออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
4
ในกลางปี 2008 Bloomberg เผลอตีพิมพ์ข่าวรายงานความตายของเขา มันกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก คนเริ่มเห็นว่าสุขภาพของเขาแย่ลงจริงๆ แต่จ๊อบส์ก็ตอบข่าวลือนี้แบบขำๆ ในงานเปิดตัวสินค้าเดือนต่อมาว่า "Reports of my death are greatly exaggerated." (รายงานข่าวความตายของผมเว่อร์ไปมากๆ เลยนะ) เรียกเสียงฮาไปทั่วห้องประชุม
7
ไม่มีใครอยากให้เขาตาย
6
แต่หลังจากนั้นดูเหมือนเขาโรยแรงลง เวลาเปิดตัวสินค้าใหม่ เขาก็มักไม่เป็นคนพูดคนเดียว กระจายบทให้คนอื่นๆ พูด
3
ในฤดูใบไม้ผลิปี 2008 สถานการณ์ของเขาแย่ลง กินได้ยากเย็น น้ำหนักหายไป 40 ปอนด์ ปีนั้นเองเขารับการผ่าตัดบางส่วนของตับอ่อน หมอสั่งให้เขากินโปรตีนบ้าง
2
ขึ้นปี 2009 เขาก็ลางานหกเดือนเพื่อไปพักฟื้นสุขภาพ ระหว่างนั้น ทิม คุก ดูแลบริษัทแทน
เนื่องจาก ทิม คุก กับจ๊อบส์มีกลุ่มเลือดหายากเหมือนกัน ทิม คุก เสนอสละตับส่วนหนึ่งให้จ๊อบส์ แต่จ๊อบส์ปฏิเสธบอกว่า ผมไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก
10
ต่อมาจ๊อบส์ก็เข้าผ่าตัดเปลี่ยนตับ
ในปี 2011 เขาก็ลาออกจากบริษัทที่เขาสร้างขึ้นมา เพราะรู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานหนักและดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน
3
จดหมายลาออกของเขาเขียนถึงกรรมการว่า "ผมเคยพูดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งผมไม่สามารถบรรลุหน้าที่ของผมและความคาดหมายในตำแหน่งซีอีโอแอปเปิล ผมจะแจ้งให้พวกคุณทราบ โชคไม่ดี วันนั้นได้มาถึงแล้ว"
4
ปี 2011 มะเร็งลามไปถึงกระดูก เขาเสียชีวิตในปีนั้น
สตีฟ จ๊อบส์ จากโลกไปในวันที่ 5 ตุลาคม 2011คำพูดสุดท้ายของเขาคือ Oh wow. Oh wow. Oh wow. หลังจากนั้นก็ไม่รู้ตัว และตายไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
5
ไม่มีใครรู้แน่ว่าโรคมะเร็งตับอ่อนของเขาเกิดจากอะไร อาหาร? พันธุกรรม? ไลฟ์สไตล์? สิ่งแวดล้อม? หรือว่าการอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่เขาประดิษฐ์นานวันนานปี?
3
คนในวงการแพทย์หลายคนเชื่อว่าการรักษาโดยการแพทย์ทางเลือกเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของเขา บอกว่ามันก็คือการฆ่าตัวตายทางอ้อม เพราะมะเร็งของเขายังพอมีทางรักษาได้ แต่บางคนก็ว่าตอบยากว่าเกี่ยวกับอาหารการกินหรือไม่
1
จากหนังสือประวัติของเขาเขียนโดย วอลเทอร์ ไอแซคสัน ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่วัยรุ่น เขาชอบอาหารออร์กานิค พืชผักผลไม้
4
เมื่อเขาเข้ามหาวิทยาลัย เขาเคยสูบกัญชา และเสพยาแอลเอสดี ทว่าตั้งแต่ปี 1979 เขาก็เลิกยาเสพติดทั้งหลาย
7
เขาเริ่มกินผัก หลังจากรู้จักเซน เพราะศูนย์เซนที่เขาไปเยือนให้อาหารมังสวิรัติฟรี
การกินของเขาได้รับอิทธิพลจากหนังสือหลายเล่ม เช่น Diet for a Small Planet โดย Frances Moore Lappe
มันเป็นหนังสือดังในปี 1971 พูดถึงผลกระทบของการผลิตเนื้อสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนอาหารในโลก ผู้เขียนเห็นว่ามนุษย์เราควรไปในแนวอาหารพืชผักมากกว่ากินเนื้อสัตว์
3
หนังสือเล่มนี้ยังให้เมนูอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์จำนวนมาก
2
อิทธิพลของหนังสือทำให้เขาเลิกกินเนื้อสัตว์ และอดอาหาร เขาไม่กินอาหารขยะอีกเลย
6
นอกจากนี้เขายังทึ่งไอเดียในหนังสือ The Mucusless Diet Healing System โดย Arnold Ehret ผู้เขียนเสนอว่าร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องจักรธาตุลม เดินเครื่องดีที่สุดด้วยผลไม้และผักไร้แป้ง ผู้เขียนบอกว่าโปรตีนและไขมันนั้นไม่เป็นธรรมชาติ
4
อิทธิพลจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้จ๊อบส์เป็น fruitarian ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มนม ไม่กินธัญพืช
4
ดูเหมือนเขาฝังหัวความคิดนี้ หลังจากนั้นก็กินแต่ผักผลไม้ และแทบไม่แตะโปรตีนกับไขมันเลยทั้งชีวิต เขากินผลไม้ซึ่งมีฟรุคโตสสูง เขากินแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่น เขามีความเชื่อว่าการกินพืชผักป้องกันมะเร็งและโรคร้ายอีกหลายโรค
10
บางครั้งกินผลไม้ชนิดเดียวทั้งอาทิตย์ เช่น แอปเปิล ผักที่เขากินต้องเป็นแบบไร้แป้งเท่านั้น เขาเชื่อว่าการกินแบบนี้ทำให้ร่างกายสะอาด
1
เล่ากันว่าเขาตั้งชื่อคอมพิวเตอร์ที่เขาผลิตว่า Apple เพราะเพิ่งกลับมาจากไร่แอปเปิล
2
ตอนเป็นวัยรุ่นเขายังชอบอดอาหาร วันสองวันบ้าง ทั้งอาทิตย์บ้าง แล้วกินผักใบเขียว เขาบอกว่าทำอย่างนี้แล้วรู้สึกดีมาก ร่างกายสดชื่น เขาพบว่าการอดอาหารสามารถทำให้เกิดภาวะสบาย ปีติยินดี เหนือโลก
9
เขาเชื่อว่า ถ้ากินอาหารธรรมชาติ ก็ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องอาบน้ำบ่อยๆ เขาอาบน้ำอาทิตย์ละหน มีกลิ่นตัวจนคนรอบตัวบ่น
6
คนรอบตัวบอกว่าเล็บของเขามีสีเหลืองจางๆ นอกจากนี้จ๊อบส์ยังดื่มน้ำแคร์รอตมากจนผิวกายของเขาอาบสีส้ม
2
แม้มีคำเตือนจากหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารว่าการกินแบบนี้อาจไม่ดีต่อร่างกาย มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร แต่เขาก็ยังคงเดินไปตามวิถีที่เขาเชื่อ
3
มังสวิรัติมีหลายแบบ รายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมนิยมแบ่งดังนี้
1
1 Lacto-vegetarian ไม่กินเนื้อ ปลา สัตว์ปีก ไข่ รวมทั้งอาหารอื่นที่มีส่วนประกอบเหล่านี้ แต่กินนม เนย ชีส โยเกิร์ตได้
3
2 Ovo-vegetarian ไม่กินเนื้อ อาหารทะเล สัตว์ปีก นม แต่กินไข่ได้
2
3 Lacto-ovo vegetarian ไม่กินเนื้อ ปลา สัตว์ทะเล สัตว์ปีก แต่กินนมและไข่ได้
3
4 Pescatarian ไม่กินเนื้อ สัตว์ปีก ไข่ นม กินปลาได้
3
5 Vegan ไม่กินเนื้อ ปลา สัตว์ปีก ไข่ นม กลุ่มนี้ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เพราะไม่ต้องการเบียดเบียนชีวิตสัตว์
4
6 Flexitarian พวกที่ยืดหยุ่น เป็นมังสวิรัติแบบปรับตัวได้ กินอาหารหลักเป็นพวก plant-based แต่ก็กินเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ ปลา สัตว์ปีก แต่ไม่กินมาก
9
ความยืดหยุ่นของชาวมังสวิรัติแตกต่างกันออกไป บางคนจะกินเฉพาะผลไม้ที่หล่นเองจากต้น
4
ตัวละคร Keziah ในหนังเรื่อง Notting Hill เป็น fruitarian เธอบอกว่า เราเชื่อว่าผลไม้ผักมีความรู้สึก เราคิดว่าการปรุงมันเป็นเรื่องโหดร้าย เรากินแต่ผลไม้ที่ร่วงลงมาจากต้นเท่านั้น
6
ตัวเอกว่า งั้นการกินแคร์รอต...
2
การกินแคร์รอตก็คือฆาตกรรม
อาหารแบบ fruitarian จำกัดการกินมาก มากกว่าข้อจำกัดของมังสวิรัติและ vegan เสียอีก
ผลไม้เป็นอาหารธรรมชาติ มีวิตามินมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการบริโภคผลไม้อย่างเดียวไม่ใช่เรื่องดี เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร
คนที่เป็นชาวมังสวิรัติต้องได้รับโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเพียงพอด้วย ไม่เช่นนั้นร่างกายจะทำงานไม่ได้
3
โดยปกตินักโภชนาการแนะนำว่าผลไม้ไม่ควรเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่กิน
2
จ๊อบส์กินผลไม้มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์แน่ๆ บางครั้งกินผลไม้และผัก 1-2 ชนิดติดต่อกันหลายสัปดาห์
3
ผักผลไม้ที่เขาจ๊อบส์นั้นล้วนมีคุณภาพสูง เขามีพ่อครัวประจำครอบครัว
2
ในตู้เย็นของเขาไม่มีเครื่องดื่มโซดา มีแต่น้ำผลไม้ เช่นน้ำส้ม น้ำแคร์รอต
แม้แต่เค้กงานแต่งงานของเขา ก็ยังเป็น vegan จนแขกเหรื่อกินไม่ลง!
1
การบริโภคผลไม้ทำให้ค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) สูง แต่ฟรุคโตสสูงเช่นกัน
1
การบริโภคผลไม้ในระดับสุดโต่งยิ่งทำให้ระดับฟรุคโตสสูง
1
เชื่อกันว่าผักและผลไม้เกินพอดีทำให้ตับและตับอ่อนทำงานหนัก และอาจทำให้เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน
3
ฟรุคโตสคืออะไร?
5
ฟรุคโตสคือน้ำตาลชนิดหนึ่ง พบในผลไม้ น้ำผึ้ง ผักบางชนิด ต่างจากน้ำตาลทรายที่เราบริโภค (ซูโครส) ฟรุคโตสไม่ได้ย่อยโดยลำไส้ แต่ย่อยโดยตับ ตับจะเปลี่ยนฟรุคโตสเป็นกลูโคสเพื่อไปใช้งาน ส่วนที่ไม่ได้ใช้ก็เก็บไว้ในตับ หากมีมากเกินไป ก็กลายเป็นไขมันพอกตับ
8
คนไม่น้อยเชื่อว่าผลไม้เป็นสิ่งที่ดี จึงกินฟรุคโตสไม่ยั้ง อีกทั้งเมื่อไปเจาะเลือดดูค่าน้ำตาล จะพบว่าค่าน้ำตาลปกติ ทั้งนี้เพราะการตรวจเลือดไม่ได้ตรวจค่าฟรุคโตส
1
หากบริโภคมากเกินไป ฟรุคโตสก็ก่ออันตรายไม่แพ้น้ำตาลทรายขาว
1
งานวิจัยใน American Journal of Clinical Nutrition เดือนพฤศจิกายน 2007 ชี้ว่า มีหลักฐานว่าการบริโภคผลไม้และน้ำผลไม้มากเกินไปทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน ขณะที่การดื่มน้ำอัดลมมากๆ กลับไม่ส่งผลอย่างนั้น
2
ใน Cancer Research ฉบับสิงหาคม 2010 Dr. Anthony Healy of UCLAs Jonsson Cancer Center เสนอทฤษฎีว่าการกินฟรุคโตสมากๆ เป็นการให้อาหารต่อเซลล์มะเร็ง
2
ผลไม้ย่อมมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอุดมด้วยแร่ธาตุสารอาหาร เส้นใยอาหาร วิตามิน และช่วยละความเสี่ยงต่อมะเร็ง แต่ในทางกลับกัน หากบริโภคมากเกินไป อาจได้ผลตรงกันข้าม
3
ตอนที่นักแสดง แอชตัน คุทเชอร์ รับบท สตีฟ จ๊อบส์ ในเรื่อง Jobs เขาลองใช้ชีวิตแบบจ๊อบส์จริงๆ เขาลองดื่มน้ำแคร์รอตทั้งวัน ผลปรากฏว่าเขาถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเกิดอาการปวดหลังอย่างแรง หมอวินิจฉัยแล้วบอกว่าเป็นโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (pancreatitis)
8
ส่วนจ๊อบส์ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน
บางทีมันอาจมีความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มน้ำผักผลไม้มากเกินไปต่อโรค
1
อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจฟังธงเราแน่ว่าการกินของเขาส่งผลต่อโรค บางทีวิถีชีวิตและการทำงานของเขาก็มีส่วน
สตีฟ จ๊อบส์ แม้จะเคร่งครัดเรื่องอาหาร แต่ครั้งหนึ่งเขาก็ยอมถอยให้ความอร่อย
3
นานๆ ทีเขาก็กินอาหารเหมือนผู้คนทั่วไปบ้าง เช่น การเดินทางไปโตเกียว เขาแวะบาร์ซูชิ กินซูชิปลาไหล เขากินอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย จนบอกเจ้าของร้านว่า ผมไม่เคยกินซูชิอร่อยเท่านี้มาก่อน
5
ลูกสาวของเขาที่ไปด้วยกันบอกว่า มันเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าพ่อผ่อนคลาย เต็มอิ่ม ปล่อยวางกฎเกณฑ์การกินที่แสนจะเข้มงวด
6
มันอาจเป็นครั้งแรกที่จ๊อบส์เริ่มมองเห็นว่า อาหารอร่อยอาจสำคัญกว่าอาหารสุขภาพ และการกินกับคนที่รักอย่างมีความสุขอยู่เหนือจากกฎเกณฑ์สุขภาพใดๆ
7
แต่เขาอาจเรียนรู้เรื่องนี้ช้าไป เพราะปีถัดมาเขาก็จากโลกไป
3
วันที่เขาไปกินอาหารที่ร้านนั้น เจ้าของร้านขอให้จ๊อบส์เซ็นชื่อและเขียนอะไรบางอย่างเป็นที่ระลึก เขาเขียนวลีเดียวว่า All good things (ทุกสิ่งดีๆ) มันติดอยู่ที่ร้านนั้นจนทุกวันนี้
2
All good things ย่อมาจาก All good things must come to an end. (ทุกสิ่งดีๆ ต้องมาถึงจุดจบ)
12
คำถามคือ เรารู้ได้อย่างไรว่า อะไรคือ All good things สำหรับเราจริงๆ
12

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา