และสำหรับชาวสเปนเองนั้น บางทีพวกเขาจะเรียกประเทศตนเองว่า La Piel de Toro ซึ่งแปลว่า “The Bull Skin : หนังวัวกระทิง” ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อที่นิยามโดยนักภูมิศาสตร์ชาวกรีกโบราณนามว่า Strabonis เพราะบริเวณพื้นที่ของประเทศสเปนในปัจจุบันมีลักษณะเหมือนหนังของวัว ที่ถูกขึงออกตากแดด เพื่อนำไปทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม
แผนที่ประเทศสเปนที่รูปร่างเหมือนกับหนังวัวถูกขึง (Source: World Atlas)
และก็เหมือนกับคนไทย การที่วัฒนธรรมสเปนมีความเกี่ยวข้องกับวัวกระทิงก็ยิ่งทำให้ฉายานี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก สเปนคือประเทศที่คิดค้นกีฬาสู้วัวกระทิงอันโด่งดัง ที่จะมีมาทาดอร์วิ่งถือผ้าสีสด ล่อวัวกระทิงตัวผู้ไปมา ในขณะที่จะมีคนเอาหอกแทงที่บริเวณโหนกวัว ซึ่งกีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมถึงขนาดที่ชาวสเปนจะเรียกกีฬาชนิดนี้ว่า La Fiesta Nacional หรือ The National Fiesta ถ้าแปลเป็นไทยตรง ๆ ก็คือ การละเล่นประจำชาติ
อย่างไรก็ตามความขัดแย้งระหว่างไซปรัสและตุรกียังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และแขตแดนของทั้งสองด้านก็จะมีทหารจาก UN เฝ้าประจำการอยู่ แม้จะมีการเซ็นสัญญาสงบศึกกันชั่วคราวแล้วก็ตาม
ท่าอากาศยานนิโคเซียเดิม ที่ถูกทิ้งร้าง และอยู่ตรงส่วน Buffer Zone พอดี (Source: The Atlantic)
แล้วทำไมเกาะที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งถึงมีฉายาสุดโรแมนติคว่า “The Island of Love : เกาะแห่งความรัก” จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ต้องย้อนเวลากลับไปหลายศตวรรษเลยทีเดียว
ในปัจจุบันไซปรัส เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางชาวยุโรปที่ต้องการหนีอากาศที่หนาวเย็น มาสัมผัสกับแสงแดดอบอุ่นบนชายหาดอันสวยงามของประเทศ และยังเป็นสถานที่ยอดฮิตในการจัดงานแต่งงาน และฮันนีมูนสำหรับคู่รักอีกด้วย ดังนั้นถึงจะมีการไม่ลงรอยกันบนเกาะอยู่บ้าง แต่ฉายา The Island of Love จะไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
ฉายา “The Land of Honey : ดินแดนแห่งน้ำผึ้ง” มีที่มาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ในตอนนั้นชาวกรีกเรียกเกาะแห่งนี้ว่า Melite ซึ่งมีความหมายว่า หวานปานน้ำผึ้ง ซึ่งก็มาจากการที่บนเกาะมอลตาจะมีผึ้งชนิดหนึ่งที่หายากอาศัยอยู่ และชาวเกาะมักจะมีอาชีพผลิตน้ำผึ้งกัน