30 เม.ย. 2023 เวลา 17:06 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

พารักกลับบ้าน พ่อแม่ญาติพี่น้องล้วนแต่เป็นมนุษย์

ซีรีส์จีนแนวครอบครัวเท่าที่เคยดูมาส่วนใหญ่มักสะท้อนสังคม มีมุมมองที่ลึกซึ้ง และบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน
คำว่าบันเทิงในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงต้องมีเรื่องราวความรักโรแมนติก ฟินจิกหมอนเสมอไป ความสัมพันธ์ในแบบอื่น ๆ เช่น พ่อแม่ – ลูกพี่-น้อง เพื่อน นาย-ลูกน้อง ก็น่าติดตามและสนุกได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าซีรีส์จีนทำได้น่าสนใจมาก
พารักกลับบ้าน เป็นเรื่องราวของพี่น้องคนละพ่อละแม่ 3 คนที่โตขึ้นมาในบ้านอาสาม โดยทั้งสามคนมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
พี่สาวคนโต ตงหนี พ่อแม่ยังอยู่ครบ แต่ทะเลาะกันตลอดเวลา
น้องชายคนรอง ซีเจวี๋ย พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
น้องสาวคนเล็ก หนานอิน ลูกสาวคนเดียวของอาสามและอาสะใภ้ เจ้าของบ้านผู้รับเลี้ยงหลานอีกสองคน
ผู้เขียนชอบบทเรื่องนี้มาก ตั้งแต่การค่อย ๆ ปล่อยความเป็นมาของตัวละครแต่ละตัว เพื่อบอกให้รู้ว่าทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมพูดจาแบบนี้ ทำไมตัดสินใจแบบนี้
เท่านั้นยังไม่พอ ยังซ่อน “จิกซอว์” ตัวเล็กตัวน้อยอันเป็นความลับของแต่ละคนเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ “คาย” ออกมาในภายหลัง ทำให้เรื่องมีมิติมาก เหมือนจะบอกว่า ชีวิตคนเรา มันอาจไม่ได้มีแค่ที่เรา “รู้” เรา “เห็น” เท่านั้น มันมีปม มีแผลที่ซ่อนอยู่ จนกว่าจะไปเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ไปสะกิดมันเข้า
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครทุกตัวสะท้อนความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีใครดีหรือเลวด้านแต่เพียงอย่างเดียว ทุกคนต่างเห็นแก่ตัวและเสียสละในแต่ละสถานการณ์ ทุกคนต่างมีเหตุผลจากมุมมองของตัวเองที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันถูกหรือผิด
ตอนเห็นตัวอย่างก็ว่าน่าสนใจแล้ว ตอนฉายจริงดีกว่าที่คาดไว้เสียอีก
เริ่มเรื่องมา บุคลิกของตงหนี ออกแนวจอมบงการ เอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็รักน้องชายน้องสาว อาสามอาสะใภ้ที่สุด
แม้จะพูดจาไม่น่าฟัง ชอบกรีดคนอื่นตลอดเวลา ท้ายที่สุดแล้วคนที่ตงหนีทำร้ายมากที่สุดก็คือตนเอง
กรณีตงหนี ถ้าผู้เขียนดูเรื่อนี้ตอนอายุน้อยกว่านี้ ก็คงโทษว่าเป็นความผิดของพ่อแม่ ที่ทะเลาะกันหนักมาก จนต้องย้ายมาอยู่กับอาสามและอาสะใภ้ และทำให้ลูกคิดมาตลอดว่าเป็นลูกชู้ ไม่ได้แซ่เจิ้งจริง ๆ กลายเป็นปมให้อยากหนีไปจากครอบครัวนี้ ทั้งที่อาสามกับอาสะใภ้ก็เลี้ยงดูมาอย่างดี
พอมาดูเรื่องนี้ในวัยนับถอยหลังแล้ว กลับมองอย่างมีมิติมากขึ้น จริงอยู่ในแง่จิตวิทยา การที่ตงหนีโตมาแบบนี้ ตัดสินใจแบบนี้ เพราะพ่อแม่เป็นต้นเหตุก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเองด้วย ที่ไม่ยอมเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ถ้าตงหนีไม่มุ่งเอาแต่ชนะคะคานสามีจนเกินไป ทั้งที่อีกฝ่ายก็เปิดโอกาสที่จะจบกันด้วยดีหลายครั้ง ถึงฝ่ายชายจะเอาลูกไปเลี้ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดขาดกับลูกไปเลยเสียเมื่อไหร่ ทะเลาะกันแทบตาย ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องยกลูกให้อดีตสามีอยู่ดี
ทุกคนบนโลกนี้ การอบรมเลี้ยงดูไม่ว่าจะดีอย่างมากหรือร้ายอย่างมาก ล้วนแต่ส่งผลต่อคาแรคเตอร์และทัศนคติของคน ๆ นั้นไปในทางใดทางหนึ่งเสมอ มันเป็นแค่เหตุและปัจจัยหนึ่งเท่านั้น
การเฝ้าแต่โทษสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่เราควบคุมไม่ได้ จะยิ่งทำให้ติดอยู่ปลักแห่งความเกลียดชัง และเป็นเราเองนั่นแหละที่ต้องรับผลของความเจ็บปวดนั้น
แถมบางครั้ง ความเจ็บปวดที่เราเก็บมันเอาไว้กับตัวมาหลายปี กลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่างที่ตงหนีเพิ่งมารู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อของเสวี่๋ยปี้ในภายหลัง
การเติบโตมาในครอบครัวที่ดี อบอุ่น ไม่ขาดแคลนสิ่งใด ก็ไม่ได้รับประกันว่า จะช่วยให้คุณตัดสินใจถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง หรือชีวิตจะราบรื่นไร้อุปสรรคไปตลอดชีวิต
เติบโตในครอบครัวแบบไหนมีส่วนเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือการ “เลือก” ของตัวเราเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าจะคิดได้เมื่อไหร่ อันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน
ดูอย่างหนานอิน เป็นน้องเล็กสุด เติบโตมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด พ่อแม่อยู่ครบ พี่สาวพี่ชายดูแลทะนุถนอมมาอย่างดี แต่ความที่มีมากเกินไป กลายเป็นความรู้สึกว่าถูกจำกัดไม่ได้โบยบินอย่างอิสระเหมือนพี่สาว จึงแหกกฎทั้งปวง เพื่อจะพบว่ามันไม่ได้ง่ายและโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด
สำหรับซีเจวี๋ย เป็นลูกชายคนโต เป็นพี่รองในฝันของทุกบ้านเลยก็ว่าได้ แต่ความเป็นคนดีคนเสียสละอย่างที่ทุกคนชื่นชม หากมันไม่มีความพอดี มันก็ส่งผลร้ายต่อตัวเองได้เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องความตายของเจาเจา จากประสบการณ์ของผู้เขียน ทั้งโดยตรงและสัมภาษณ์ผู้คนในประเด็นนี้มาไม่น้อย เห็นด้วยกับหมอเฉินพ่อของเสวี๋ยปี้ที่สุด
การปิดบังความจริงเรื่องเวลาที่เหลือของชีวิตคนไข้ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ความหวังเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่หวังลม ๆ แล้ง ๆ แบบมีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาได้
ต่อให้ไม่ป่วยแข็งแรงดี ความตายก็อาจมาเคาะประตูบ้านคุณก่อนใครได้ ความตายจึงไม่ได้น่ากลัว หากแต่เป็นเรื่องที่เราควรทำความเข้าใจไว้แต่เนิ่น ๆ
ซีเจวี๋ย เปิดเรื่องมาด้วยประเด็นว่า เขากำลังถูกพันธนาการไว้ด้วยคำว่า “กตัญญู” หรือไม่ เมื่อดูไปเรื่อย ๆ ก็จะพบว่าอาสามกับสะใภ้ก็ไม่ได้กดดันขนาดนั้น แถมสนับสนุนออกไปมีครอบครัวของตัวเองด้วยซ้ำ
แต่พอทำแบบนั้นจริง ๆ ก็กลายเป็นว่าตัวเองไม่มีความสุขอย่างที่คิด ไม่ใช่ว่าไม่รักเจียงอี้ ไม่ใช่ไม่อยากมีครอบครัวของตัวเอง แต่เพราะ “ความสุข” ของซีเจวี๋ย คือการได้ดูแลครอบครัวที่เลี้ยงดูเขามา เป็นธุระให้พี่น้อง พร้อมเลี้ยงหลานทุกคนเต็มที่แบบไม่มีเงื่อนไข
เจียงอี้ ก็ไม่ผิดที่อยากให้ซีเจวี๋ยเห็นความสำคัญของเธอคนเดียว แต่ถ้าเธอรักซีเจวี๋ยและต้องการอยู่กับเขาไปตลอดรอดฝั่ง เธอต้องยอมรับวิธีคิดเรื่องนี้ของเขาให้ได้อย่างที่ตงหนีบอก
คนสองคนอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องรับทั้งส่วนดีและจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้ได้นั่นแหละ จริง ๆ วิธีคิดแบบนี้ใช้ได้กับทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หัวหน้ากับลูกน้อง ฯลฯ
นอกจากตัวละครนำทั้งสามแล้ว ผู้เขียนชอบเสวี๋ยปี้มาก เป็นตัวละครสมทบที่มีเสน่ห์มาก เด็กน้อยคนหนึ่งกลายเป็นคนที่เห็นทุกสิ่งชัดเจนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
คนเขียนบทคิดละเอียดจริง ๆ เพราะมุมนี้ไม่ค่อยมีใครคิดถึง ส่วนใหญ่คิดแทนเด็กกันหมดว่าอะไรที่ดีกับเขา แต่ไม่ค่อยมีใครถามว่าเด็กอยากได้อะไร
มีข้อความหนึ่ง ที่คนเขียนบทสะท้อนความคิดความเชื่อของคนจีนในปัจจุบันค่อนข้างตรงไปตรงมา อย่างการที่ตงหนีหย่า อาสะใภ้ก็ยังบอกว่า ถึงทุกวันนี้หญิงชายจะเท่ากัน แต่ผู้หญิงที่หย่าและมีลูกติดก็ใช่ว่าจะอยู่ง่าย
ไม่ว่าสังคมปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน แต่ความคิดความเชื่อบางอย่างก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันง่าย ๆ
พรรคคอมมิวนิสต์ปกครองจีนมาร้อยปีแล้ว ก็ยังเปลี่ยนแนวคิดบางอย่างไม่ได้เลย
นักแสดง
นักแสดงของเรื่องนี้อาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทยมากนัก แต่สำหรับในจีนเรียกว่าเป็นสายฝีมือแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะ หม่าอี้หลี (ตงหนี) รับรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน
นักแสดงที่ผู้เขียนสนใจมากที่สุดคือ หวังเซิ้งตี้ ดาราเด็กที่เปิดตัวในวงการบันเทิงได้โหดมาก เล่นเรื่องแรกตอนอายุ 9-10 ขวบ บทหนักเลย (The Bad Kids ) จากนั้นก็ได้บทดี ๆ มาตลอด เรื่องนี้เล่นเป็น 2 คน คนแรกคือตงหนีตอนเด็ก กับเสวี๋ยปี้ ลูกของตงหนี ตอนนี้เพิ่ง 12 ปี เห็นแววเก่งกันแล้ว
ว่าแต่ป้าจะได้ดูหนัง ซีรีส์ที่หนูจะเล่น ไปได้สักกี่เรื่องกันหนอ 55

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา