6 พ.ค. 2023 เวลา 01:56 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 2)

🍀อะไรดีกว่ากัน — รับใช้อยู่ในโลก หรือ ปลีกเร้นเพื่อแสวงหาปัญญาญาณ🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣ ⚜️ หน้า 572—574
โศลกที่ 2️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ศรีภควันตรัสตอบ :
การหลุดพ้นเกิดได้ ทั้งในการละวาง และการกระทำการงาน แต่ระหว่างสองอย่างนี้ การประกอบการงานด้วยโยคะ ดีกว่าการละวางการงาน
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
คําตอบของพระภควันชัดเจน “ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณและทำหน้าที่ทางโลกไปด้วยนั้นย่อมดีกว่า ผู้ภักดีที่ละวางกิจกรรมทุกอย่าง ปลีกเร้นไปอยู่ในถ้ำ ทําสมาธิภาวนาถึงพระเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้น ได้เลือกวิถีอันเป็นรอง (เพราะกระทำ เพียงด้านเดียว)”
.
◾การกระทำหน้าที่เพื่อพระเจ้าพร้อมๆไปกับการภาวนาถึงพระองค์เป็นวิถีที่เหนือกว่า◾
รากฐานของการหลุดพ้นมีอยู่สองประการ มนุษย์ซึ่งเป็นภาพสะท้อนแห่งพระเจ้า ต้องละวางความอยากทางโลก ที่เกิดจากมายาจักรวาล พร้อม ๆ กับต้องติดต่อกับพระองค์ผู้ทรงความสูงสุดผู้ทรงดำรงไว้ซึ่งจักรวาลนี้ ผู้ภักดีจะได้รับคําตอบด้วยญาณจากพระเจ้าในปีติภาวะเมื่อได้รวมกับพระองค์ “วิถีการทําหน้าที่ที่ถูกต้อง โดยไม่หวังผลของการกระทำ เมื่อรวมกับการภาวนาถึงเราด้วยเทคนิคโยคะ ย่อมเหนือกว่าการภาวนาโดยไม่กระทำการงานภายนอก”
วิถีการทำหน้าที่โดยไม่หวังผลของงานกับการภาวนาถึงพระเจ้า เป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ภักดีได้ชดใช้กรรม ด้วยการใช้ความอยากทางโลกรับใช้พระเจ้า ด้วยวิธีนี้จิตของผู้ภักดีจะจดจ่ออยู่กับการงานอันบริสุทธิ์ ซึ่งต่างจากจิตที่ว่างเปล่าของคนเกียจคร้าน
แม้นักบวชในกุฏิอาจละการมีสัมผัสสัมพันธ์กับวัตถุภายนอกได้ง่าย แต่ท่านก็ไม่อาจสลัดความใคร่ในวัตถุที่ติดเป็นอนุสัยมาจากชาติก่อน ยากนักที่จะขจัดมารความอยาก อารมณ์ ความโลภ และความกำหนัดในจิตใจของผู้ที่ไร้วินัยในตน นักบวชอาจละวางทางโลก แต่ก็หนีศัตรูในจิตใจไปไม่พ้น เพราะมันไล่ตามท่านไปถึงในถ้ำ
ในกรณีเช่นนี้ จะดีกว่าถ้าท่านอยู่ในโลกอย่างไม่เป็นของโลก เพราะในสภาพนี้ จิตของผู้ภักดีจะไม่หงุดหงิดโหยหาโลก อย่างที่นักบวชอาจรู้สึกขณะอยู่ในที่เร้น ทุกคนจะพบว่าการปลีกเร้นเป็นความทรมาน ถ้าจิตของเขายังพะวงอยู่กับสิ่งที่ตนได้ละวาง ไม่ได้อยู่กับความเป็นทิพย์และพระสิริซึ่งดูดกลืนทั้งสิ้นไว้
โยคีที่เอิบอาบอยู่กับพระเจ้าไม่จําเป็นต้องทำหน้าที่ทางโลก เพราะท่านได้ถอนรากความอยากอย่างเห็นแก่ตัวทั้งในชาตินี้และในอดีตชาติอย่างหมดจดแล้ว ด้วยวิถีอันเหนือกว่าในการกระทําเพื่อพระเจ้าและการภาวนาถึงพระองค์ โยคีไม่ยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียพระองค์ ขณะที่นักบวชในกุฏิที่จิตยังว้าวุ่นไม่ได้ปฏิบัติโยคะศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อตัดอารมณ์ จึงไม่อาจรวมกับพระเจ้าได้ตลอดไป
จะดีกว่า สำหรับผู้แสวงหาพระเจ้า ถ้าเขาไม่คลุกคลีกับสภาพแวดล้อมทางโลก แต่อยู่ในอาศรมภายใต้การแนะนำของคุรุที่แท้ ทำการงานเพื่อพระเจ้าด้วยการรับใช้ผู้อื่น ฝึกการไม่หวังผลจากการกระทํา บ่มเพาะความปีติอยู่กับพระเจ้า ด้วยการภาวนาถึงพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง
ชีวิตเช่นนี้เหนือกว่าการคิดละวางกิจกรรมภายนอก แต่ไม่กระทำอย่างจริงจัง จึงกลายเป็นการหลบเลี่ยงการงานอันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ แม้การแต่งกายด้วยผ้าครองของมุนี หรือครองจีวรนักบวชก็ไม่พึงกระทำ ถ้าจิตใจยังไม่เป็นนักบวช ไม่เลิกละความใคร่ในโลกีย์ และเอิบอาบ อยู่กับพระเจ้า (เพราะจะทำให้ชาวโลกหมดความเลื่อมใสศาสนา) การเป็นชาววัดไม่มีความหมายอันใด ถ้าภายในไม่เบิกบานอยู่กับพระเจ้า
ชาวโลกผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ อาจได้ประโยชน์ ถ้าเขาแสวงหาการปลีกเร้นเป็นบางช่วง หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น เขาควรไปเยือนอาศรมที่เขาจะได้เห็นและซึมซับการมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตามวิธีที่ถูกต้องแท้จริง
คุณค่าของการปลีกเร้นเป็นบางช่วงเวลานั้น เป็นสิ่งที่ไม่พึงจะดูเบา เพราะจะทำให้มนุษย์มีโอกาสคิดถึงแต่พระเจ้าได้อย่างไม่มีสิ่งใดรบกวน หลังจากนั้นแล้ว ผู้ภักดีที่ได้พลังใหม่ๆสามารถกลับสู่โลกหรือสู่อาศรม ทำหน้าที่ตามปกติต่อไป
แต่ถ้าบุคคลคิดว่ายามราตรีนั้นเป็น “ป่าสงบ เป็นห้องเงียบ" เขาก็ไม่จําเป็นต้องเสียเงินเสียทองหรือเดินทางอย่างยุ่งยากเพื่อไปแสวงหาความสงบ เหนืออื่นใด ผู้แสวงหาต้องเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้าไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทันทีที่หลับตา ความเงียบจะรายรอบกายเขา บรมเทพแห่งจักรวาลเต้นเป็นความเกษมสดใหม่อยู่ในหัวใจของเขา เมื่อปิดตา ผู้ภักดีทุกคนจะเห็นแสงประเสริฐส่องสว่างอยู่เบื้องหลังความมืด ในความสงบล้ำ “จงนิ่ง และรู้ว่าเราคือพระเจ้า”★
★สดุดี 46:10 “เจ้าไม่ต้องไปสวรรค์เพื่อพบพระเจ้า ไม่ต้องพูดเสียงดัง หยั่งกับพระเจ้านั้นอยู่ไกล เจ้าไม่ต้องร้องขอปีกเหมือนปีกนกเขา เพื่อบินไปถึงพระองค์ แต่จงนิ่งเสีย แล้วเจ้าจะพบพระเจ้าในตัวเจ้าเอง” —นักบุญเทเรซา แห่ง อวิลา
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา