14 พ.ค. 2023 เวลา 23:00 • อาหาร

Meat aging (การบ่มเนื้อ) มีกี่แบบ แล้วทำไมถึงทำให้เนื้ออร่อย มาดูกัน^^

การบ่มเนื้อสัตว์ (meat aging) คือการเก็บรักษาเนื้อสัตว์หลังจากการทำให้ตุย(เสียชีวิต) เพื่อให้เนื้อพ้นจากระยะ Rigor motis (การหดเกร็งตัว) โดยทั่วไปการบ่มเนื้อสัตว์จะแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกันนะครับ ดังนี้
  • Wet aging คือการบ่มเนื้อโดยนำเนื้อสัตว์ไปบรรจุในถุงสุญญากาศ (vacuum packaging)*การ Vacuum คือการดูดอากาศออกนะทุกคน เพื่อให้เกิดการบ่มภายในถุง วิธีนี้จะช่วยรักษาความฉ่ำของเนื้อ มีความนุ่มเพิ่มขึ้น และลดการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์(เพราะน้องเชื้อโรคบางตัวไม่มีอากาศหายใจนั่นเอง) ทำให้มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น แต่ในแง่ความอร่อยด้วยความที่เนื้อฉ่ำน้ำมาก เนื้อจะมีรสชาติไม่เข้มข้นมากนัก
  • Dry aging คือการบ่มเนื้อให้มีรสชาติล้ำลึกมากขึ้น โดยการบ่มให้แห้งด้วยการนำเนื้อมาแขวนไว้ในห้องเย็น อุณหภูมิ1-4 องศาเซลเซียส ความชื้นประมาณ 70-80% ส่วนใหญ่มักบ่มประมาณ 30-45 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้นครับ เพื่อให้เนื้อพ้นจากระยะ Rigor motis(ภาวะหมดเกร็งตัวของเนื้อ) และให้เอ็นไซม์ในเนื้อย่อยสลายตัวเองทำให้นุ่มขึ้น แต่การบ่มแบบนี้ทำให้เกิดการสูญเสียน้ำของเนื้อจนเกิดเปลือกแข็งๆดำๆรอบชิ้นเนื้อ เพราะเนื้อเราตากลม ตากอากาศเย็นๆนะครับ แต่เนื้อที่ได้จะมีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว และที่สำคัญมีรสชาติที่เข้มข้น
ขอบคุณรูปภาพจาก https://thestandard.co/dry-aged-beef/
เนื้อ Dry-Aged เริ่มได้รับความนิยมและเริ่มคุ้นหูเรามากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเนื้อจะมีกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ มีความเข้มข้นสูงเพราะน้ำในเนื้อน้อยลง รสชาติอร่อย จึงเริ่มเป็นที่นิยมในบุคคลทั่วไป
และสาเหตุที่ทำให้ราคาเนื้อ Dry-Aged มีราคาสูงเพราะว่า
  • 1.
    ระยะเวลาในการบ่มที่นานประมาณ30-45 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้น ซึ่งนานกว่าแบบ Wet aging
  • 2.
    ต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างพอเหมาะ ซึ่งมีความสำคัญมากในการรักษาเนื้อไม่ให้เสีย
  • 3.
    เนื้อจะหดเล็กลง จากการสูญเสียน้ำออกไป
  • 4.
    ผิวหน้าของเนื้อนั้นจะแห้งจากการตากลมและความเย็นจึงต้องตัดออก ทำให้เหลือส่วนที่ใช้กินได้จริงๆนิดเดียว
  • จึงทำให้เนื้อมีราคาสูงนั่นเองจ้า
  • Food-ทราย " รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ได้ "
โฆษณา