13 พ.ค. 2023 เวลา 20:09

สรุป Law of Irrationality เนื้อหาจาก Laws of Human Nature

Laws of Human Nature : Law of Irrationality จากปัญหา - รู้จัก Low grade Irrationality
Master Your Emotional Self : Law of Irrationality
ปัญหา
1.เราคิดว่าเราใช้เหตุผลในการดำรงชีวิต สามารถวางแผนกุมชะตาชีวิตตัวเองได้
แต่เราไม่รู้ว่าความรู้สึกและอคติมีผลต่อความรู้สึกเรามากแค่ไหน ทำให้เราหลงเชื่อคนผ่านภาพลักษ์ หลงรักคนผิด จ้างคนเข้าทำงานผิด พยายามหาข้อมูลยืนยันสิ่งที่เราเชื่อและเพิกเฉยต่อข้อมูลตรงข้าม
ตัดสินใจบางอย่างด้วยความรู้สึกและคิดว่าตัวเองใช้เหตุผล
ง่ายๆคือถ้าเรามีเหตุผลจริงเราคงจะดูแลความรู้สึกตัวเองไม่ให้มีผลต่องานได้ แล้วหลายๆอย่างในชีวิตคงจะพัฒนากว่านี้ เราคงไม่อิจฉาคนที่โพสต์อวดตัวเองเพราะรู้ว่าเขาจะโพสต์แค่หน้าฉากที่ดูดี เราคงไม่ซื้อไอโฟนทุกรุ่น กินอาหารซื้อของตามเทรนด์เพียงเพราะอยากทำตัวเข้าสังคม
สาเหตุที่เราเป็นแบบนั้นเราต้องมาดูวิวัฒนาการความรู้สึกซึ่งพาเราไปสู่ปัญหาที่
2. สมองส่วนล่างสุด(Limbic)อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านานเกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณในสมัยก่อนเราใช้เพียงสัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอดและเวลาผ่านไปสมองส่วนNeocortex ก็ด้เพิ่มขึ้นมา ซึ่งใช้กับการสื่อสาร เหตุและผลทำให้เราพอมีเหตุผลขึ้นมา
แต่พื้นฐานมนุษย์ยังคงเดิมเรายังคงตัดสินใจโดยสัญชาตญาณและไร้เหตุผล ความรู้สึกมีอิทธิพลต่อความคิดเราและสมองLimbic กับNeocortexที่ไม่เชื่อมต่อกันทำให้เราไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกได้โดยตรง ทำให้เราได้แต่ตีความและต่อให้ตีความหลายครั้งก็อาจผิด บางทีเราคิดว่าเราโกรธนายA แต่จริงๆเราอิจฉา
บางทีเราอาจโกรธนาย B แต่ที่มาของมันคืออดีตที่เจ็บปวดของเราที่คนคล้ายๆนาย B ทำกับเราไว้ เหมือนผู้หญิงที่ถูกคนในบ้านตัวเองข่มขืนคงไม่แปลกใช่มั้ยถ้าเขาจะเกลียดผู้ชาย
Rationality:ความสมเหตุสมผล/ความมีเหตุผล :
คือความสามารถที่จะต่อต้านพฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกของมนุษย์ จากการตอบสนองเป็นการคิดแทนซึ่งสิ่งเหล่านี้อาศัยการฝึกตนให้ต่อต้านความรู้สึกอย่างต่อเนื่องมากกว่าการที่คิดว่าผ่านโลกมาเยอะแล้วจึงถูก
แล้วเราจะแก้ปัญหาได้ยังไง ?
อย่างแรกเราต้องรู้ว่าความคิด/พฤติกรรมเราส่วนใหญ่มีไว้เพื่อหลบหนีความเจ็บปวดและสร้างความสุข
ต้องรู้จักรูปแบบความไร้ความสมเหตุสมผล 2 แบบ Low grade irrationality , High grade irrationality แล้วค่อยสร้าง Rationality
ซึ่งวันนี้เราจะพุดถึง Low grade Irrationality
Low-grade Irrationality : ความรู้สึก/อารมณ์ที่สืบทอดจากเหตุการณ์ในอดีตมันมีผลต่อการคิดและตัดสินใจแล้วเราไม่ค่อยรู้ตัว เช่น คุณอาจไม่ชอบคนที่ชอบใช้ความรุนแรง คุณอาจมีอคติกับคนที่มีรอยสัก เพราะมองว่าคนสักมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงหรือไม่ก็คุณเคยโดนคนมีรอยสักทำร้าย มายกตัวอย่าง
-Confirmation Bias:เราจะพยายามหาข้อมูลที่สมทบแนวคิดเราและหลีกเลี่ยงการพิจารณาอีกแนวคิดที่แย้งจากเรา เวลามีคนเสนอไอเดียต่อเจ้านายตัวเองเขาจะหาข้อมูลที่สนับสนุนและทฤษฎีที่ดูดีเอามากๆ หากเขาเอาข้อมูลที่แย้งมาด้วยจะทำให้โอกาสที่เจ้านายจะรับไอเดียเขาจะน้อยลง
แบบเดียวกับสิ่งที่ผู้ให้คำปรึกษาเจอบ่อยๆคือเมื่อเราให้คำแนะนำใครไปคนที่มาขอคำแนะนำมักจะมาเพื่อให้เขาสนับสนุนสิ่งที่เขาคิดและไอเดียอื่นนอกจากนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เวลาคิดเราต้องให้เวลากับความคิดอีกฝั่งที่เราเชื่อด้วยพยายามหาแนวคิดที่แย้งกับเราแล้วหาว่าทำไมมันถึงสมเหตุสมผล และเวลาตรวจสอบข้อมูลควรจะตรวจสอบด้วยตัวเองด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะกับทฤษฎีที่ดูดีเกินไป
-Conviction Bias : มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากเชื่อแล้วจะยิ่งเชื่อในแนวคิดหนึ่งง่ายขึ้นเมื่อผู้พูดมีอารมณ์ร่วมกับมัน เราอาจเชื่อแนวคิดหัวหน้าเพราะคำเปรียบเปรยที่งดงาม วาทะที่มั่นใจและเดือดดาล
บางครั้งเราสามารถตอบได้ว่านักวิชาการที่มีความมั่นใจสูงที่แสดงความเห็นแบบฟันธงมีแนวโน้มที่จะไม่รู้จริงพูดเหมือนผลลัพธ์ที่จะเกิดมีเพียงหน้าเดียวเพราะความไม่รู้ถึงขีดจำกัดทำให้มนุษย์นั้นมั่นใจแล้วความมั่นใจนั้นจะนำพาไปสู่หายนะ
ระวังอีกข้อเวลาที่เราอยากซื้อของบางอย่างเซลล์อาจทำท่าเหมือนเดาใจเราได้ว่าเราอยากได้อะไรแล้วเขาแนะนำสินค้าที่ดูเหมือนจะดีที่สุดซึ่งบางทีเขาอาจแค่อยากลดล้างสต็อคก็ได้เขาเพียงแค่ทำให้คุณเชื่อในตัวเขา
-Heuristic :มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนพอไร้ซึ่งคำอธิบายเราจะหาสิ่งที่เรารู้และคิดว่ารู้อยู่แล้วมาอธิบาย
ตัวอย่างที่เราจะเจอได้บ่อยในประเทศในสมัยที่เรายังไม่รู้เหตุที่ทำให้เด็กก่ออาชญากรรม เราเลือกที่จะโทษเกม แล้วคนเราชอบเพราะหลักการมันง่ายเพราะเกมมันรุนแรงแล้วเด็กชินกับความรุนแรงเลยใช้ความรุนแรง
ทั้งที่จริงๆการก่ออาชญากรรมมันมีหลายตัวแปรกว่านั้น ทั้งยีนความรุนแรง สภาพจิตใจ สภาพสังคมที่มีผลต่อเขา ความคิดเขาที่มีต่อมนุษย์
แล้วหลายครั้งการก่อเหตุของเด็กมันเป็นเพราะ
ความต้องการความสนใจหรือรู้สึกเหนือกว่า
มันคล้ายกับมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่สร้างไฟได้ครั้งแรกแล้วไม่รู้มันมาได้ไง
เลยอ้างเทพพระเจ้าล่ะครับ
-Blame Bias:เราทำผิดแล้วเราพยายามเรียนรู้จากมันเพื่อพยายามไม่ให้ตัวเองทำอีก พอเวลาผ่านไปเราลืมบทเรียนของเราแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆมีความผิดพลาดแบบเดิมๆ
การวิเคราะห์ความผิดพลาดตัวเองนั้นมันยากกว่าที่คิดนะ ความลงลึกมันไม่มากขนาดที่วิจารณ์คนอื่นเพราะเราไม่กล้าทำลายความคิดที่เรามองตัวเองว่าเราเป็นคนที่ประพฤติดี เป็นพ่อพระ แทบไร้ข้อผิดพลาดความเชื่อนั้นมันโดนทำร้ายพอเรานั่งวิเคราะห์
เราจึงเลือกที่จะโทษ และหาคำอธิบายว่าอะไรทำให้เราพลาดเพราะต่อให้มันไม่ถูกทั้งหมดแต่มันชัดเจนซึ่งเราชอบอะไรที่ชัดเจนแบบขาว-ดำ
พอลูกคุณทำร้ายคนจนออกข่าวก็โทษว่าเพื่อนไม่ดีเพราะต่อให้มันไม่ถูกทั้งหมดแต่มันชัดเจนว่าถ้าเพื่อนไม่ชวนมันก็ไม่ทำ
แทนที่จะโทษว่าไม่เคยสอนให้คบเพื่อน จัดการอารมณ์ หรือทำให้ลูกตัวเองรู้สึกถูกรักและสำคัญมากพอจนไม่ต้องพึ่งพาเพื่อนหรือต้องทำร้ายคนอื่นให้รู้สึกดี
พอลงเงินลงทุนที่เขาบอกได้เงินเร็วแล้วตลาดหุ้นร่วงเราก็โทษรัฐบาล/บริษัท ดูแลไม่ดีทั้งที่เป็นสิ่งที่ควรจะรู้หรือเดาได้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้น
ถ้าเราเรียนรู้จากความผิดพลาดจริงๆเราคงไม่ทำอะไรผิดซ้ำๆใช่มั้ย ?
-Group Bias: เราคิดว่าความคิดมันเป็นของเราไม่ได้มาจากใคร จริงๆมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมแล้วมันพึ่งพาการรวมกลุ่มในการอยู่รอด
การแยกเดี่ยวเท่ากับตายในสมัยดึกดำบรรพ์ทำให้เราไม่อยากโดดเดี่ยว แล้วเราก็จะรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเวลาที่มีคนคิดแบบเดียวกับเรา บางทีคุณอาจเคยขอให้ใครพูดถึงประเด็นบางอย่างเพื่อให้เขาอยู่ข้างคุณ คุณผู้หญิงอาจหาคนช่วยเถียงเวลาที่มีคนมาถากถาง ผมอาจดูคลิปดราม่าเพื่อหาคำพูดยืนยันแนวคิดผมแทนที่จะฟังแนวคิดใหม่ๆ
-Superior Bias : เราคิดว่าตัวเองนั้นเหนือกว่าคนอื่นซึ่งเราไม่พูดมันออกมาหรอกแต่ว่าในงานวิจัยผู้ร่วมทดลองมักบอกว่าตนนั้นทำตัวดีกว่า มีเหตุผลกว่า ฉลาดกว่าคนอื่นๆซึ่งความคิดเหล่านี้ทำให้เราไม่สนใจข้อผิดพลาดเราหรือทำให้ลืมไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับผู้มีอำนาจ เพราะด้วยความเชื่อว่าเราดีกว่าเหนือกว่า
จะมีครั้งที่เรามองว่าคนที่เห็นต่างจากเรานั้นไร้เหตุผล เหมือนกลุ่มสายปฏิวัติที่มองกลุ่มอนุรักษ์นิยมว่าไร้เหตุผล เหมือนกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองกลุ่มปฏิวัติว่าต้องการล้มเจ้าอย่างเดียว
โฆษณา