23 พ.ค. 2023 เวลา 06:16 • หนังสือ

#26 HWG. — บทที่ 1️⃣6️⃣ (ส่วนที่ 1)

“ความทุกข์” ไม่ใช่ความจริง (ไม่มีอยู่จริง) ในชีวิตหลังความตาย
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗬𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗻𝗲. 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗶𝘀 𝗳𝗮𝗿 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘅 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱.
“เธอมีประสบการณ์ถึงโลกมิติที่สาม แต่เธอไม่ได้ดำรงอยู่ในมิตินั้นแค่เพียงมิติเดียว ความจริงสูงสุด (ปรมัตถ์สัจจ์) นั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เธอเคยคิดจินตนาการไว้มากนัก”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟲
บทที่ 1️⃣6️⃣
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝘄𝗲 𝗴𝗲𝘁 𝗯𝗮𝗰𝗸 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝗻𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗻 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲.'
N : เป็นอีกครั้งที่เรากลับมาสู่แนวคิดที่ว่า สภาวะจิตของบุคคลในขณะที่พวกเขาเสียชีวิตจะสร้างประสบการณ์ที่วิญญาณของพวกเขาจะได้ประสบใน “อีกด้านหนึ่ง”
𝗚𝗼𝗱 : "𝗬𝗲𝘀, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴. 𝗜'𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗶𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗵𝗲𝗿𝗲."
G : ถูกเผง นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกําลังพูดถึงอยู่ และฉันก็พูดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝗜 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝗿𝗲𝘃𝗶𝘀𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝘀𝗲𝗲𝗺 𝘁𝗼 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝘀𝗶𝘁 𝘄𝗲𝗹𝗹 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗺𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗜'𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗶𝗴𝘂𝗿𝗲 𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀. 𝗡𝗼𝘄 𝗜 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗜'𝘃𝗲 𝗴𝗼𝘁 𝗶𝘁."
N : ใช่ครับ และผมก็คิดทบทวนถึงเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เช่นกัน เพราะอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้นดูไม่ค่อยจะเข้ากันได้กับสิ่งที่ผมเข้าใจอยู่สักเท่าไหร่ และผมก็พยายามหาว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมรู้แล้วครับ
𝗚 : "𝗣𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲."
G : ไหนลองมาบอกให้ฉันฟังหน่อยสิ๊
𝗡 : 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗱𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗿𝗼𝗼𝗺 𝗳𝗼𝗿 𝗰𝗼𝗺𝗳𝗼𝗿𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗽𝗽𝗿𝗼𝗮𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗵𝗼𝗽𝗲—𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗮 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝗳𝗲𝗮𝗿 𝗼𝗿 𝘁𝗲𝗿𝗿𝗼𝗿 𝗼𝗿 𝗮𝗽𝗽𝗿𝗲𝗵𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗿𝗲𝗰𝗿𝗶𝗺𝗶𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝗱𝗼𝘂𝗯𝘁—𝗻𝗼𝗿 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗺𝗶𝗹𝗶𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗮𝗿𝗲.
N : แนวคิดเช่นนั้นไม่ได้มีไว้สําหรับผู้ที่กำลังจะตายโดยไร้ซึ่งความหวัง —รวมถึงผู้ที่พบว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะของความกลัว ความหวาดระแวง การตำหนิตนเอง หรือความสงสัย —หรือสำหรับกับครอบครัวของผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น
𝗚 : "𝗜 𝘀𝗲𝗲. 𝗜 𝘀𝗲𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴."
G : เข้าใจล่ะ ฉันเข้าใจแล้วว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻, 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗱𝗶𝗲 𝗮𝘀 𝗽𝗲𝗮𝗰𝗲𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝘀 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗲𝗲𝗺 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗴𝗴𝗲𝘀𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗻𝗲𝗰𝗲𝘀𝘀𝗮𝗿𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝘁𝗼 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗴𝗹𝗼𝗿𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
𝗜 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗱𝗶𝗲 𝗶𝗻...𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗱?--𝗮𝗽𝗽𝗿𝗲𝗵𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗮𝘁 𝗹𝗲𝗮𝘀𝘁, 𝗶𝗳 𝗻𝗼𝘁 𝗳𝗲𝗮𝗿 𝗼𝗿 𝗱𝗿𝗲𝗮𝗱 𝗼𝗿 𝗰𝗼𝗻𝗳𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝘀𝗵𝗼𝗰𝗸 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝘂𝗱𝗱𝗲𝗻𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝗶𝘁, 𝗮𝘀 𝗶𝗻 𝗮𝗻 𝗮𝗰𝗰𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁, 𝗼𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿...
N : ครับ ผมหมายความว่า มีคนไม่มากนักที่สามารถตายได้ด้วยสภาวะจิตอันสงบสุขและมีความคาดหวังอันน่าอัศจรรย์อย่างที่พระองค์แนะนำว่ามันจำเป็นสำหรับพวกเขาที่จะได้ประสบกับความรุ่งโรจน์ของความตาย ผมคิดว่ามีผู้คนเป็นจำนวนมากในตอนที่ตายที่...ผมจะใช้คำว่าอะไรดี❓...เอาเป็นว่าอย่างน้อยที่สุดก็ตกอยู่ในสภาวะหวาดระแวง หวาดกลัว หรือสับสน หรือตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น ในอุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม...ประมาณนั้นครับ
𝗚 : "𝗜 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗿𝗻. 𝗬𝗲𝘁 𝗰𝗼𝗺𝗳𝗼𝗿𝘁 𝗰𝗼𝗺𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘀𝗼𝘂𝗹𝘀 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝗽𝗲𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗷𝗼𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝗹𝗼𝘃𝗲. 𝗔𝗹𝗹 𝘀𝗼𝘂𝗹𝘀 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗳 𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : ฉันเข้าใจความกังวลของเธอ ทว่าการปลอบโยนจะเกิดขึ้นเมื่อเธอรู้ว่าวิญญาณทุกดวงจะได้พบกับสันติสุข ความปีติ และความรักอย่างแน่แท้ และไม่ว่ายังไงวิญญาณทุกดวงก็จะได้เคลื่อนไปสู่ระยะที่สามของความตาย ที่ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้ของตนเอง (พระเจ้า) ได้อย่างแท้จริง
"𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 '𝗽𝗮𝗶𝗻'—𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹, 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹, 𝗼𝗿 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹—𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 '𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲.'
𝗜 𝗺𝗲𝗻𝘁𝗶𝗼𝗻𝗲𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 '𝗵𝗲𝗹𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗼𝗯𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗼𝘂𝘁 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗰𝗼𝗻𝗻𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗶𝘁."
ซึ่งในช่วงเวลาแห่งชีวิตหลังความตายนั้น (ในช่องว่างระหว่างภพนั้น) มันก็ไม่ได้มี “ความเจ็บปวด” ใดๆดำรงอยู่จริง —ไม่ว่าจะเป็นทางอารมณ์ ทางร่างกาย หรือทางจิตวิญญาณ— ที่ฉันได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองจะต้องตก “นรก” หลังจากที่ตาย จากนั้นก็ส่งตัวเองไปที่นั่น (ด้วยความเชื่ออย่างนั้น) ก็ไม่ได้ต้องทนทุกข์อะไร พวกเขาเพียงแค่สังเกตตัวเองที่กำลังมีประสบการณ์ถึงการตกนรกอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับประสบการณ์ที่กำลังได้รับอยู่นั้น
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘃𝗶𝗱𝗲𝗼.
N : พระองค์บอกว่ามันเหมือนกับการดูวิดีโอแนะนำ หรือวีดีโอที่ให้ความรู้อะไรสักอย่าง
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗲𝘃𝗲𝗹 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝘁𝗮𝗰𝗵𝗺𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀. 𝗬𝗼𝘂 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗴𝗶𝘃𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄 𝗶𝘁, 𝗽𝘂𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗶𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘄𝗶𝘀𝗱𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝘁𝗿𝗮𝗰𝘁, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿. 𝗜𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 '𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴."
G : ถูกต้อง นั่นคือการบรรลุถึงระดับของการวางเฉยอย่างแท้จริง★ เธอเพียงแค่ให้ประสบการณ์กับตัวเองเพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง และดึงเอาภูมิปัญญาใดๆก็ตามที่มีอยู่ในประสบการณ์เช่นนั้น (เช่น การตกนรก) ออกมาเพื่อเพิ่มพูนการตระหนักรู้ถึงความจริงของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ทุกข์อยู่จริงๆ เพราะในชีวิตหลังความตายมัน ‘ไม่มี’ สิ่งที่เรียกว่า “ความทุกข์”
★หรือจะเรียกว่า 'การปล่อยวางอย่างแท้จริง' ก็ได้ครับ คือแค่สังเกต รับรู้เฉยๆ แต่ไม่มีอารมณ์ร่วมใดๆ หรือ ไม่เกิดอารมณ์ใดๆ กับสิ่งที่สังเกตเห็นอยู่นั้น เกิดการวางเฉยด้วยความเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ของจริง —ผู้แปล–
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲? 𝗜𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴? 𝗜𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗷𝗼𝘆? 𝗜𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗶𝗻𝗲𝘀𝘀?
N : งั้นเราจะมีความรู้สึกอะไรบ้างไหมครับ❓ รู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้บ้างไหมนอกจากการวางเฉย❓ รู้สึกถึงความสุขได้บ้างมั้ย❓ รู้สึกเบิกบานสักนิดได้บ้างหรือเปล่า❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗲𝗴𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲."
G : ความรู้สึกเป็นสุขคือทั้งหมดที่มี เพราะในชีวิตหลังความตายนั้นไม่มีอะไรเลยที่เป็นลบ
𝗡 : 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗲𝗴𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲?
N : ไม่มีอะไรที่เป็นลบอยู่สักอย่างเลยหรือครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼𝘁 𝗮 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴."
G : ไม่มีเลยสักอย่างเดียว
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
N : แต่ผมคิดว่าพระองค์เคยบอกว่าคนๆนั้นจะได้รับประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่าจะมีประสบการณ์แบบเป๊ะๆในชีวิตหลังความตาย
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁."
G : ฉันเคยบอกแบบนั้น ถูกต้องแล้ว
𝗡 : 𝗦𝗼 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗰𝘁𝘀 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗼 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿, 𝘄𝗵𝗼 𝗳𝗲𝗲𝗹𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁'𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗰𝗮𝗻 '𝗲𝗮𝗿𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝘄𝗮𝘆' 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻, 𝗼𝗿 '𝗽𝗮𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝘀𝗶𝗻𝘀"? | 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗰𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁𝘀 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
N : แล้วถ้าคนๆนั้นคาดหวังความทุกข์ล่ะครับ❓แล้วเหล่าคนที่เลือกที่จะทนทุกข์เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถ “ทำให้” พวกเขาไปสู่สวรรค์หรือ “ชดใช้บาปที่พวกเขาก่อ” ได้ล่ะ❓ ผมจำได้ว่าพระองค์เคยบอกว่าวิญญาณสามารถประสบกับทุกสิ่งได้ตามที่มันต้องการในชีวิตหลังความตาย
𝗚 : "𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴... 𝗲𝘅𝗰𝗲𝗽𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁."
G : สิ่งที่ฉันเคยพูดทั้งหมดคือความเป็นจริง ดังนั้น เธอจะได้ประสบกับความทุกข์... เว้นแต่เธอจะไม่ทำอย่างนั้น
𝗡 : 𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝘁'𝘀 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗯𝗲𝗳𝗼𝗿𝗲—𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝗳𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 '𝘀𝗲𝗹𝗳' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁?
N : เพราะเป็นอย่างที่พระองค์พูดไว้ก่อนหน้านี้— นั่นคือเราก็แค่กำลังมองดูอยู่เฉย ๆ และไม่ได้ให้คุณค่าความหมายใดๆ★กับประสบการณ์ที่ “ตัวตนนั้น” กำลังประสบอยู่ใช่ไหมครับ❓
★เมื่อประสบการณ์นั้นไม่มีความหมายใดๆ จึงไม่เกิดอารมณ์ใดๆ — เช่น เราได้ยินใครสักคนพูดคำว่า ไอ้ควาย กับเรา แต่เราไม่ได้ให้ความหมายใดๆกับคำๆนั้น ไม่ได้ให้ความหมายว่า ควายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ควายหมายถึง โง่ ให้ความหมายว่านี่คือคำด่า ให้ความหมายว่าเรากำลังถูกด่า เมื่อไม่ให้ความหมายใดๆกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเลย อารมณ์ลบจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ จึงเกิดการวางเฉยอย่างแท้จริง รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเกิดการวางเฉยเป็นอัตโนมัติ เพราะไม่ได้คิดให้ความหมายใดๆ
ในแง่หนึ่ง การวางเฉยอย่างแท้จริง ก็คือ ความปิติสุข ความสงบสุขของจิตนั่นเอง –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗹𝘀𝗼 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲, 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝗳𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗻𝗼𝘁."
G : ใช่แล้ว และก็เป็นเพราะว่า ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถให้คุณค่าความหมายใดๆกับประสบการณ์ที่ส่วนหนึ่งของตัวเธอกำลังประสบอยู่นั้นได้ แต่เธอก็จะไม่ทำอย่างนั้น
𝗡 : 𝗬𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝘂𝘀𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲...
N : พระองค์รู้มั้ยครับว่าพระองค์กำลังทำให้ผมงงไปกันใหญ่แล้ว...
𝗚 : "𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗿𝗲𝗺𝗶𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂 𝗼𝗳 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗮𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆."
G : ให้ฉันได้เตือนความจำของเธออีกสักครั้งถึงสิ่งที่ฉันเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งมันจะสามารถอธิบายถึงเรื่องนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
𝗡 : 𝗬𝗲𝘀, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗴𝗼𝗼𝗱. 𝗥𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗻𝗼𝘄, 𝗮 𝗳𝘂𝗹𝗹𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗮𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗯𝗲 𝗴𝗼𝗼𝗱.
N : ขอบคุณครับ นั่นจะเป็นการดีมากๆถ้าพระองค์จะอธิบายให้ผมฟังแบบเต็มๆอีกสักรอบ
𝗚 : "𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗮𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗿𝗮𝗯𝗹𝗲, 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗿𝗮𝗯𝗹𝗲 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝘁𝗹𝘆 𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴.
𝗡𝗼𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗼 𝗽𝗼𝘄𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗲 𝗼𝗿 𝘀𝗵𝗲 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗽𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱.
G : ในห้วงขณะที่วิญญาณได้ประสบไม่ว่าจะกับสิ่งใดก็ตามที่ตัวมันรู้สึกไม่พึงปรารถนา ความรู้สึกไม่พึงปรารถนาที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้ประสบการณ์ภายในที่วิญญาณกำลังประสบอยู่นั้นเปลี่ยนไปในทันที นั่นเป็นเหตุให้วิญญาณไม่อาจรู้สึกเป็นทุกข์ได้ ไม่เว้นแม้แต่กับคนที่จินตนาการหรือมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าตนสมควรต้องถูกลงโทษ (หลังจากที่ตาย)
"𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘁 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝗱 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱, 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝗲 𝗿𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝘀 𝘀𝗼𝗼𝗻 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗼."
พวกเขาจะสร้างประสบการณ์ไปตามที่คิดจินตนาการเอาไว้ แต่พวกเขาจะไม่ได้รับประสบการณ์ตามอย่างที่พวกเขาคิด ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ในทันทีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ตามที่คิดเอาไว้นั้น (ในที่นี้ก็คือได้ประสบกับความทุกข์) พวกเขาจะเลือกที่จะไม่ประสบกับสิ่งนั้นต่อไปในทันที
𝗡 : 𝗘𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗮𝗻𝘁.
N : แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องการจริงๆ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲 𝗹𝗲𝘃𝗲𝗹 𝗼𝗳 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗽𝗿𝗲𝗰𝗹𝘂𝗱𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗮𝗻𝘆𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗮𝗻𝗱 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 '𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴' 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹.
G : ระดับของการตระหนักรู้ในชีวิตหลังความตายจะขัดขวางความเป็นไปได้ใดๆของใครก็ตามที่จงใจเลือกในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เพราะในชีวิตหลังความตายวิญญาณจะรู้และเข้าใจในทันทีว่ามโนคติ แนวคิด ความเชื่อและประสบการณ์ใดๆของ “ความทุกข์” นั้นไม่มีอยู่จริง
"𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘁 𝘀𝗽𝗲𝗻𝘁 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗵𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗶𝘀.
𝗜𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗶𝗻𝗱, 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗶𝘁𝘀 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀, 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗵𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗶𝘀.
ในระยะแรกของความตาย วิญญาณจะเข้าใจว่าร่างกายที่มันใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกทางกายภาพนั้นไม่ใช่ของจริง นั่น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมัน ส่วนในระยะที่สองของความตาย วิญญาณจะเข้าใจว่าจิตใจและความคิดทั้งหมดที่จิตคิดขึ้นมานั้นไม่ใช่ของจริง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมันเช่นกัน
"𝗔𝗟𝗟 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗺𝗶𝗻𝗱, 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗲𝗱 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗮𝗿𝗲 𝗶𝗺𝗽𝗮𝗰𝘁𝗲𝗱 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵,
𝗽𝗿𝗲𝗰𝗶𝘀𝗲𝗹𝘆 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗮𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆.
ความคิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่คับแคบจำกัด เกิดขึ้นจากมุมมองแบบมนุษย์ที่คับแคบจํากัด (เพราะการรับรู้ถูกจำกัดไว้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5) ซึ่งความคิดทั้งหมดที่เกิดจากจิตรับรู้แบบมนุษย์จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากในระยะที่สองของความตาย เพราะมุมมองของวิญญาณในชีวิตหลังความตายนั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า และแตกต่างอย่างมากจากตอนที่ตัวมันยังอยู่กับร่างกาย (ยังไม่ได้ทิ้งหรือออกจากร่างไป)
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝗻𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳. 𝗔𝘀 𝘀𝗼𝗼𝗻 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘀𝗲𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝗯𝗼𝗱𝘆, 𝗶𝘁𝘀 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘀𝗵𝗶𝗳𝘁𝘀 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁𝗹𝘆, 𝗮𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲.
𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀, 𝗶𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗿𝗼𝗽𝗲𝗹𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗿𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀—𝗻𝗼𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 '𝗯𝗮𝗱' 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀 𝗼𝗳 '𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻'—𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗿𝗼𝗽𝗽𝗲𝗱 𝗮𝘄𝗮𝘆, 𝗮𝗻𝗱 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱.
จากตำแหน่งของมุมมองที่เพิ่มขึ้นนี้ วิญญาณจึงเริ่มสร้างและมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง (ไม่ได้ถูกปิดกั้นด้วยจิตใจและร่างกายอีก) ทันทีที่วิญญาณเห็นและตระหนักรู้ว่าตัวมันเองไม่ใช่ร่างกาย มุมมองของมันจะเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมืออย่างที่เธอคงคิดตามได้ไม่ยาก
แท้ที่จริงแล้วนี่คือสิ่งที่ขับเคลื่อนวิญญาณไปสู่ระยะที่สามของความตาย เพราะเมื่อความคิดทั้งหมด —ไม่ใช่แค่ความคิดที่ “ไม่ดี” เท่านั้น แม้แต่ความคิดดีๆที่เกี่ยวกับ 'สวรรค์' ก็ด้วย— ถูกละทิ้งไป (เพราะวิญญาณรู้และเข้าใจแล้วว่าความคิดแบบมนุษย์ทั้งหมดไม่ใช่ของจริง) ตัวมันก็จะได้รับประสบการณ์ถึงความจริงสูงสุด
"𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼, 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝘃𝗲𝘀 𝘀𝗶𝗻𝗰𝗲𝗿𝗲𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗲 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗲 𝗱𝗲𝘀𝗲𝗿𝘃𝗲𝘀 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗱𝗲𝗲𝗺 𝗵𝗶𝗺𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝗼𝗳 𝗵𝗶𝘀 𝗚𝗼𝗱,
𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗼𝗳 𝗿𝗲𝗱𝗲𝗺𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝗮 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀 𝘁𝗼 𝗮𝗰𝗵𝗶𝗲𝘃𝗲 𝗶𝘁, 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗲𝘀 𝗻𝗼 𝗹𝗼𝗻𝗴𝗲𝗿 𝗺𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝗳𝘂𝗹 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗹𝗮𝗿𝗴𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹.
ด้วยเหตุนั้น แม้แต่ในกรณีของบุคคลที่เชื่ออย่างแท้จริงว่าตนต้องทนทุกข์ สมควรได้รับความทุกข์ การทนทุกข์เป็นหนทางเดียวที่จะไถ่บาปตัวเองจากสายตาของพระเจ้าได้ ความคิดแห่งการไถ่บาปและความคิดที่ว่าการทนทุกข์เป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุถึงเป้าหมายหรือความสุขนิรันดรได้นั้น จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าความหมายใดๆอีกต่อไปในมุมมองที่กว้างขึ้นของวิญญาณ
"𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗰𝗮𝗻 𝘄𝗮𝘁𝗰𝗵 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝘁𝗿𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿 𝗶𝗻 𝗶𝘁𝘀 𝗼𝘄𝗻 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗹𝗹, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗼𝗼𝗻 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘀𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝗳𝘂𝗹 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲."
วิญญาณสามารถมองดูตัวเองที่กำลังพยายามทนทุกข์อยู่ในนรกที่สร้างขึ้นมาเองได้ แต่ในไม่ข้าวิญญาณก็จะพบว่าประสบการณ์ดังกล่าวไม่มีคุณค่าความหมายใดๆที่จะต้องสร้างขึ้นให้ตัวมันเองได้ประสบ
𝗡 : 𝗜 𝗱𝗶𝗱𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗮 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗜𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗿𝗲𝗮𝘁𝗼𝗿 𝗼𝗳 𝗜𝘁𝘀 𝗢𝘄𝗻 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆.
N : ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับวิญญาณที่จะแสดงออกถึงความเป็นผู้สร้างความเป็นจริงของตัวเอง เพราะวิญญาณสามารถสร้างทุกอย่างได้ตามที่ตัวมันปรารถนาไม่ใช่หรือครับ❓
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲𝘀𝘀. 𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼 𝗿𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀—𝗯𝗲𝘆𝗼𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 '𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴' 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗻𝘃𝗼𝗹𝘃𝗲𝗱.
G : คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าวิญญาณสร้างได้หรือไม่ได้ แต่คำถามอยู่ที่ว่าสิ่งที่วิญญาณสร้างขึ้นมานั้นมีคุณค่าความหมายใดๆหรือไม่ วิญญาณไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องสร้างประสบการณ์บางอย่าง—นอกไปจากความเป็นจริงที่เกี่ยวข้องกับ “การจดจำรำลึก” (ให้ได้อีกครั้ง)
𝗢𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗵𝗮𝘀 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝗺𝗲𝗿𝗲𝗹𝘆 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗺𝗶𝗻𝗱, 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗰𝗵𝗶𝗲𝘃𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝘀𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝘁𝗼 𝗮𝗰𝗵𝗶𝗲𝘃𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗶𝘁𝘀 𝗼𝘄𝗻 𝗵𝗲𝗹𝗹, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗯𝗲 𝗺𝗲𝗮𝗻𝗶𝗻𝗴𝗹𝗲𝘀𝘀.
เมื่อวิญญาณจำได้แล้วว่าความทุกข์ไม่ใช่ความจริง (ไม่มีอยู่จริง) แต่เป็นเพียงแค่ประสบการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นในจิตใจของมนุษย์ (ด้วยจิตใจแบบมนุษย์ ที่มีมุมมองอันคับแคบจำกัด) ตัวมันก็ประสบความสำเร็จแล้วในสิ่งที่มันพยายามจะทำให้สำเร็จด้วยการสร้างนรกนั้นขึ้นมา หลังจากนั้นประสบการณ์เช่นนั้นก็จะไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป★
★เพราะวิญญาณจำได้แล้วว่าความทุกข์ในนรก หรือ ความสุขในสวรรค์ ที่เกิดจากความคิดของจิตใจมนุษย์ไม่ใช่ความจริง แต่ตัวมันที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า (แล้วแยกตัวออกมา) ต่างหากที่เป็นความจริง แล้วมันจะหยุดอยู่ตรงนั้น (นรก-สวรค์ หรือประสบการณ์ใด ๆที่ไม่ใช่ความจริง) ไปทำไม มันก็ต้องเคลื่อนต่อไป (เข้าสู่ระยะที่สามของความตาย) เพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าสิ –ผู้แปล–
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲, 𝗶𝗻 𝗮 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲, 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 '𝗸𝗻𝗼𝘄𝘀 𝘁𝗼𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵' 𝘁𝗼 𝗴𝗲𝘁 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗼𝘂𝘁 𝗼𝗳 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀. 𝗜𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝗮 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗼𝗿𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗵𝗶𝘀 𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗿𝗶𝗰𝗸𝘀 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻—𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗻 𝗮𝘂𝗱𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗼𝗻𝗲: 𝗵𝗶𝗺𝘀𝗲𝗹𝗳. "
นั่นเป็นเพราะในแง่หนึ่ง วิญญาณ “รู้มากเกินไป” ที่จะได้รับอะไรเพิ่มเติมจากประสบการณ์ดังกล่าว (ตกนรก หรือ ขึ้นสวรรค์ ฯลฯ) มันก็เหมือนกับนักมายากลที่แสดงกลของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า —ให้กับคนดูเพียงแค่คนเดียว ซึ่งนั่นก็คือ #ตัวเขาเอง★ (เล่นกลให้ตัวเองดูซ้ำไปซ้ำมา ว่าง่ายๆ)
★เพราะมีเราเพียงหนึ่งเดียว –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗜 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝗶𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗽𝗿𝗲𝘁𝘁𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝗺𝗮𝗴𝗶𝗰𝗶𝗮𝗻 𝘁𝗼 𝗸𝗲𝗲𝗽 𝗵𝗶𝗺𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝘀𝘁𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗵𝗶𝘀 𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗿𝗶𝗰𝗸𝘀.
N : ผมคิดว่ามันค่อนข้างยากสำหรับนักมายากลที่จะทำให้ตัวเองยังคงสนใจในกลอุบายของตัวเอง (คงเบื่อตายไปแล้ว)
𝗚 : "𝗜𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁. 𝗜𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲, 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗯𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗶𝗺𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗳𝗳𝗲𝗿."
G : มันไม่แค่ยากหรอก แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก เพราะในแง่นั้น ในบริบทเช่นนั้น อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับวิญญาณที่จะได้ประสบกับความทุกข์
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗻𝗶𝗲𝘀𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁? 𝗡𝗼𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗹𝗲 𝗶𝘁 𝘄𝗮𝘀 𝗱𝗲𝗰𝗶𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝘀𝘁𝗲𝗱 𝗼𝗿 𝗻𝗼𝘁?
N : แม้แต่ช่วงเวลาที่สั้นที่สุดก็เป็นไปไม่ได้เลยหรือครับ แค่พริบตาเดียวอะไรแบบนั้น❓ ไม่แม้แต่ในขณะที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังตัดสินใจว่าจะสนใจหรือไม่สนใจดี❓
𝗚 : "𝗡𝗼. 𝗡𝗼𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹.
G : ถูกแล้ว ไม่เลยแม้เพียงแค่พริบตาเดียว
"𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 '𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗶𝗻𝗶𝗲𝘀𝘁 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁.' 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗾𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗿𝗲𝘀𝗶𝗱𝗲𝘀 𝗶𝗻𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 '𝘁𝗶𝗺𝗲,' 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆. 𝗬𝗲𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲𝗱 𝗮𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗮 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗹𝗳𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗶𝗻𝘀𝘁𝗮𝗻𝘁."
เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ช่วงเวลาที่สั้นที่สุด” คำถามของเธออยู่ภายใต้ความเป็นจริงของเธอ ที่เป็นสิ่งที่เธอเรียกมันว่า “เวลา” และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นไปตามลำดับ แต่ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับวิญญาณหลังความตายที่ฉันได้อธิบายไปทั้งหมดนี้นั้น เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน
𝗡 : 𝗪𝗮𝗶𝘁 𝗮 𝗺𝗶𝗻𝘂𝘁𝗲. 𝗬𝗼𝘂, 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗶𝗻 '𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲𝘀.' 𝗦𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗻𝗲, 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗼𝗻.
N : เดี๋ยวก่อนนะครับ พระองค์เองนั่นแหละที่บอกว่า ความตายเกิดขึ้นแบบ “เป็นขั้นตอน” หรือมีระยะ นั่นคือ ระยะที่หนึ่ง ระยะที่สอง และระยะที่สาม
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา