25 พ.ค. 2023 เวลา 06:58 • หนังสือ

#27 HWG. — บทที่ 1️⃣6️⃣ (ส่วนที่ 2)

“เธอกำลังมีประสบการณ์อยู่ในโลกสามมิติ แต่เธอไม่ได้กำลังมีประสบการณ์ด้วยตัวตนแค่เพียงตัวตนเดียว ความจริงสูงสุด (ปรมัตถ์สัจจ์) นั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เธอเคยคิดจินตนาการไว้มากนัก”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗡 : 𝗪𝗮𝗶𝘁 𝗮 𝗺𝗶𝗻𝘂𝘁𝗲. 𝗬𝗼𝘂, 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗶𝗻 '𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲𝘀.' 𝗦𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗻𝗲, 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝘁𝘄𝗼, 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗼𝗻.
N : เดี๋ยวก่อนนะครับ พระองค์เองนั่นแหละที่บอกว่า ความตายเกิดขึ้นแบบ “เป็นขั้นตอน” หรือมีระยะ นั่นคือ ระยะที่หนึ่ง ระยะที่สอง และระยะที่สาม
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁, 𝗮𝗰𝗰𝗼𝗿𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘁𝗲𝗿𝗺𝗶𝗻𝗼𝗹𝗼𝗴𝘆. 𝗬𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆—𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗲𝗮𝗰𝗵 𝗻𝗲𝘄 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 '𝗲𝗿𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴' 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗹𝗱. 𝗔𝗻𝗱 𝘀𝗼 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗹𝗱 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗲𝗱. 𝗬𝗼𝘂 '𝗮𝗿𝗲' 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 '𝗮𝗿𝗲' 𝗥𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗡𝗼𝘄, 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗮𝘀 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗹𝘀𝗲."
G : ถูกต้องแล้ว ตามระบบคำศัพท์ (ภาษา) ของเธอน่ะนะ (หรือตามความเข้าใจด้วยจิตรับรู้ของมนุษย์) แต่ทว่าวิญญาณจะได้รับประสบการณ์ถึงขั้นตอนเหล่านั้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน โดยแต่ละประสบการณ์ใหม่จะ 'ลบ' ประสบการณ์เก่าออกไป และราวกับว่าประสบการณ์เก่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น เธอ 'เป็น' ในสิ่งที่เธอ 'เป็น' อยู่ในตอนนี้ และมันก็เหมือนกับว่าเธอไม่เคยเป็นอย่างอื่นมาก่อนเลย
𝗡 : 𝗜'𝗺 𝘀𝗼𝗿𝗿𝘆, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀𝗻'𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲. 𝗬𝗼𝘂'𝘃𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝘁𝗼𝗽𝗽𝗲𝗱 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 𝗵𝗲𝗿𝗲.
N : ขอโทษนะครับ แต่นั่นไม่สมเหตุสมผลเอาสะเลย พระองค์เพิ่งหยุดมีเหตุผลตอนนี้นี่แหละ
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗮𝗹𝗹𝗲𝗻𝗴𝗲 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝘀𝗽𝗲𝗮𝗸 𝗶𝗻 𝗲𝗮𝗿𝘁𝗵𝗹𝘆 𝘁𝗲𝗿𝗺𝘀 𝗼𝗳 𝗮 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗼𝘂𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱. 𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆."
1
G : ความท้าทายในที่นี้ก็คือ การพยายามอธิบายถึงสถานการณ์หรือประสบการณ์ที่อยู่นอกเหนือโลกทางกายภาพให้อยู่ภายใต้บริบทของโลกทางกายภาพ แต่เอาเป็นว่า ทุกสิ่งนั้น “เกิดขึ้นไปตามลำดับ” และ “เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน”
𝗡 : 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗮𝗸𝗲𝘀 𝗲𝘃𝗲𝗻 𝗹𝗲𝘀𝘀 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲! 𝗧𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻 𝗲𝗶𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗢𝗿 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆. 𝗜𝘁 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗯𝗲 𝗯𝗼𝘁𝗵.
N : นั่นยิ่งทำให้รู้สึกสมเหตุสมผลน้อยลงไปอีก❗ สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นไปตามลำดับ หรือไม่ก็เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน มันไม่สามารถเป็นทั้งสองอย่างได้หรอกครับ
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗰𝗮𝗻'𝘁?
G : ทำไมจะไม่ได้ล่ะ❓
"𝗜 𝗮𝗺 𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗯𝗼𝘁𝗵."
ให้ฉันบอกกับเธอว่า ทั้งหมดของชีวิตนั้นเป็นทั้งสองอย่างที่กล่าวมา
𝗡 : 𝗔𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 '𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹' 𝗮𝗻𝗱 '𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀'?
N: ทั้งหมดของชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่ “เกิดขึ้นไปตามลำดับ” และเหตุการณ์ทั้งหมดที่ “เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน” ทั้งสองอย่างเลยงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁."
G : นั่นถูกต้องแล้ว
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝗼𝗸𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝗯𝗹𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗺𝘆 𝗺𝗶𝗻𝗱. 𝗜 𝗮𝗺 𝘂𝗻𝗮𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗵𝗼𝗹𝗱 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝗻 𝗺𝘆 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆.
N : เอ่อ, เอางั้นก็ได้ครับ แต่เรื่องนี้ทำให้ผมตะลึงจนอึ้งไปแล้ว ผมไม่สามารถรับเอาแนวคิดนี้ไว้ในความจริงของผมได้จริงๆ
𝗚 : "𝗖𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆? 𝗖𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝘁𝗿𝗲𝘁𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗮𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆?
G : เธอสามารถเข้าใจถึงเรื่องของ 'ความเป็นไปได้' อยู่ใช่ไหม❓ หากไม่ได้ เธอสามารถเปิดใจของเธอให้กว้างเพื่อให้ตนเองสามารถยอมรับถึงเรื่องของ 'ความเป็นไปได้' ได้ไหมล่ะ❓★
★ความเป็นไปได้ ที่ว่านี้ ก็คือ ไม่ว่าอะไรก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น แม้ว่าเราอาจจะไม่เชื่อ หรือใช้เหตุผลทั้งหมดบนโลกมาอธิบายยังไงมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นอยู่ใช่ไหม? ประมาณนั้นครับ –ผู้แปล–
"𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘄𝗼𝗿𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗮𝗻𝗴𝘂𝗮𝗴𝗲, 𝘀𝗼 𝘄𝗲'𝗹𝗹 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝘂𝗽. 𝗟𝗲𝘁'𝘀 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 '𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀.' 𝗜𝘁 𝗶𝘀 '𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹 𝗮𝗻𝗱 '𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀' 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲."
มันไม่มีคำศัพท์สำหรับประสบการณ์นี้ในภาษาของเธอ ดังนั้นเราจะต้องสร้างมันขึ้นมาสันอัน ใช้คำว่า ทั้งหมดของชีวิตก็คือ “#การเกิดขึ้นพร้อมกันไปตามลำดับ” ก็แล้วกัน เพราะชีวิตเป็นทั้งเหตุการณ์ที่ 'เกิดขึ้นไปตามลำดับ' และเหตุการณ์ทั้งหมดที่ 'เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน'★
★sequentaneous (คำนี้ไม่มีในดิกชันนารี) เกิดจากคำว่า 'sequential (ต่อเนื่องไปตามลำดับ) บวกกับคำว่า 'simultaneous' (พร้อมกันในขณะเดียวกัน) ดังนั้นผมก็เลยแปลว่า 'เกิดขึ้นพร้อมกันไปตามลำดับ' ครับ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗼 𝘀𝗮𝘆. 𝗜 𝘀𝘂𝗽𝗽𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗮𝗺 𝘄𝗶𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗮𝗱𝗺𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆,
𝗯𝘂𝘁 𝗜 𝗰𝗮𝗻 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗴𝗼 𝘀𝗼 𝗳𝗮𝗿. 𝗘𝘃𝗲𝗻 𝗶𝗳 𝗜 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗴𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗲𝗽𝘁𝘂𝗮𝗹𝗹𝘆, 𝗜 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝘁𝗶𝗮𝗹𝗹𝘆. 𝗜 𝗰𝗮𝗻'𝘁 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁.
N : ผมไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี ผมสันนิษฐานว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามก็คงสามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น ผมคิดว่างั้นนะ และผมก็เต็มใจยอมรับว่าผมไม่รู้ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับความจริงสูงสุด ผมคงสามารถทำได้แค่พยายามทำความเข้าใจมันให้ได้มากที่สุด และแม้ว่าผมจะทำความเข้าใจถึงแนวคิดนั้นได้แล้ว (ด้วยสมอง–คิดวิเคราะห์ด้วยเหตุและผล) แต่ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะมีประสบการณ์แบบนั้นได้ยังไง ผมไม่สามารถจินตนาการถึงประสบการณ์แบบนั้นได้เลยครับว่ามันจะเป็นยังไง★
★เช่น คนที่ไม่เคยกินทุเรียนกิโลละ 10,000 สามารถฟังจากที่คนอื่นบอกได้ไม่ว่าจะ 10 คน 100 คน 1,000 คน ได้หมด แต่ก็ไม่เข้าใจจริงๆอยู่ดีว่ารสชาติของมันเป็นยังไง นอกจากได้กินจริงๆ (มีประสบการณ์) ด้วยตัวเองนั่นแหละ ถึงจะ อ๋อ.......มันเป็นอย่างนี้นี่เอง อะไรแบบนั้นเป็นต้นครับ –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗟𝗲𝘁 𝗺𝗲 𝘀𝗲𝗲 𝗶𝗳 𝘄𝗲 𝗰𝗮𝗻 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀—𝘀𝗼𝗺𝗲 '𝗿𝗲𝗮𝗹' 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀—𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘁 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗹𝗮𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝘆𝗼𝘂, 𝗼𝗿 𝗺𝗮𝗱𝗲 𝗮𝘁 𝗹𝗲𝗮𝘀𝘁 𝗮 𝗹𝗶𝘁𝘁𝗹𝗲 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿."
G : ให้ฉันดูว่าเราจะหาคำศัพท์อื่นได้อีกไหม – คำที่ใช้แทน “ความจริง” หรือประสบการณ์นั้นได้จริงๆ– ที่ซึ่งมันอาจทำให้เธอเข้าใจมันได้กระจ่างชัดขึ้น
𝗡 : 𝗙𝗶𝗻𝗲, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗶𝘁 𝗶𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆. 𝗢𝗿 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗜 𝘀𝗮𝘆, 𝗜 𝗻𝗲𝗲𝗱 𝗶𝘁 𝘀𝗲𝗾𝘂𝗲𝗻𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆...★
N : ดีเลยครับ เพราะผมต้องการความช่วยเหลือที่นี่ และผมต้องการมันในขณะนี้เลย หรือผมควรจะต้องพูดว่า ผมต้องการให้ความช่วยเหลือ 'เกิดขึ้นพร้อมกันไปตามลำดับ' ดีครับ...★
★ตรงนี้เกี่ยวกับโครงสร้างของภาษาอังกฤษครับ นั่นคือ การเติม -ly เข้าไปท้ายคำศัพท์ ซึ่งคือคำที่ถูกเติม -ly บางคำก็เป็น Adverb (ขยายกิริยา) และ บางคำก็เป็น Adjective (ขยายคำนาม) แต่ก็มีบางคำที่เป็นทั้งคู่ คือทั้ง Adverb และ Adjective
ดังนั้นที่นีลเติม -ly เข้าไปในคำที่พระเจ้าคิดขึ้นมาใหม่นั้น (sequentaneous-ly) ก็เป็นการเล่นคำที่สื่อถึงความหมายว่า มันมีความหมายทั้งสองแบบนั่นเอง
ดีนะที่ผมเก่งไม่งั้นไม่เห็นว่านีลกำลังเล่นคำอยู่นะเนี่ย 😁 –ผู้แปล–
𝗚 : "𝗣𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁. 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁!"
G : เยี่ยม นั่นเป็นคำที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
"𝗡𝗼𝘄, 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗺𝗲 𝗮 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁. 𝗡𝗼𝘁 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝘁𝗵𝗲 𝗚𝗼𝗹𝗱𝗲𝗻 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗡𝗼𝘄.
ตอนนี้ ให้เธอลองจินตนาการถึงความจริงที่ว่า ในโลกหลังความตายนั้น #เวลาไม่มีอยู่จริง มันไม่ใช่ในแบบที่เธอคิด ที่นั่นมันมีเพียงแค่ห้วงขณะเดียวเท่านั้น นั่นคือ ห้วงปัจจุบันขณะอันงดงามอันเป็นนิรันดร์ (หรือ นิรันดรขณะแห่งปัจจุบัน)
"𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗲𝗱, 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗼𝘄, 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻—𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗥𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗡𝗼𝘄.
ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น (อดีต) ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ (ปัจจุบัน) และ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปทั้งหมดทั้งมวล (อนาคต) —ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะนี้
"𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀, 𝗻𝗼𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗣𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝗟𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲, 𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗧𝗵𝗲 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀, 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗶𝘁. 𝗬𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘁."
นี่คือความจริงสำหรับทุกชีวิตของเธอ มันไม่ได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตที่เธอเรียกมันว่าชาตินี้ หรือชีวิตหลัง ความตายในชาตินี้เท่านั้นหรอกนะ ซึ่งความแตกต่างก็คือ ในชีวิตหลังความตายเธอจะรู้ เข้าใจ และมีประสบการณ์ถึงทุกชีวิตของเธอได้ทั้งหมด★
★นี่ทำให้ผมนึกถึง วิชชาทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้าเลยครับ (ตรัสรู้ถึงความจริงทั้งสามอย่างนี้จึงได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า) ที่พุทธบ้านเราตีความหมายออกมาว่า [และผมตีความว่า] (เอ่อชาวพุทธทุกท่านอย่าด่าผมนะครับ 😅 :
1
1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติ รู้ชาติในอดีต รู้ภพในอดีต)
ระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
[ญาณนี้ก็จะไม่ใช่แค่การระลึกชาติในอดีตได้ทั้งหมด แต่จะเป็นตระหนักรู้ได้ถึงตัวตนทั้งหมดของเราในทุกๆชาติภพ ว่ากำลังมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ มีประสบการณ์อยู่ ในปัจจุบันขณะนี้ไปพร้อมๆกันนี่แหละ]
2. จุตูปปาตญาณ (รู้การจุติ การอุบัติ รู้ภพใหม่ ด้วยทิพย์จักษุ)
รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ได้ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม
[ญาณนี้ก็จะเป็นว่า ตระหนักรู้ได้ถึงตัวตนของทุกสรรพชีวิตอื่นๆได้ทั้งหมดแบบที่กล่าวไว้ข้างบน]
3.อาสวักขยญาณ (รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว สิ้นภพ)
จิตโน้มไปเพื่ออาสวักขยาน ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จิตย่อมหลุดพ้น มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
[ส่วนญาณนี้ก็จะกลายเป็น ตระหนักรู้หรือจำได้ทั้งหมดแล้วว่า เราทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน และ มีเราเพียงหนึ่งเดียว เราคือสิ่งนั้น ดังนั้น การเกิดในรอบนี้ วัฏจักรนี้ เพื่อมามีประสบการณ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อกลับไปหลอมรวมกับต้นกำเนิด เพื่อกลายเป็นต้นกำเนิด (ย้ำว่าแค่วัฏจักรนี้เท่านั้นนะครับ) จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป และก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นอันเป็นทั้งหมดได้แล้วในปัจจุบันขณะนี้ (ไม่ต้องรอตายก่อนหรือต้องทิ้งร่างไปก่อน )] –ประมาณนั้นครับ 😄
–ผู้แปล–
𝗡 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗮 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱. 𝗬𝗼𝘂 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗰𝗰𝘂𝗿𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝗺𝘆 𝗶𝗻𝗰𝗮𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁?
N : โอเคครับ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะครับ❗ พระองค์เพิ่งจะพูดว่าทุกชีวิตของผมเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกัน นี่พระองค์กำลังหมายถึงภพชาติทั้งหมดของผมก็กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกันด้วยงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀. 𝗕𝘂𝘁 𝗜 𝗮𝗹𝘀𝗼 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝗻𝗰𝗮𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻."
G : ถูกต้อง และฉันก็ยังหมายรวมถึงทั้งหมดของเส้นทางชีวิตอันหลากหลายเป็นจำนวนมากอื่นๆที่เธอเดินผ่าน (หรือมีประสบการณ์) ในภพชาตินี้ด้วย
𝗡 : 𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗽𝗮𝘀𝘀 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗹𝗶𝗳𝗲𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗼𝗻𝗰𝗲?
N : พระองค์หมายความว่าผมผ่านชีวิตนี้หรือภพชาตินี้ไปมากกว่าหนึ่งครั้งงั้นเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁. 𝗔𝗻𝗱 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀, 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀, 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆."
G : ถูกต้องแล้ว และความเป็นไปได้ก็มีอยู่มากมาย ประสบการณ์นั้นมีมากมาย ซึ่งทั้งหมดนั่น ก็กำลังเกิดขึ้นอยู่พร้อมกันในขณะเดียวกันและเป็นไปตามลำดับอยู่ในขณะนี้
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗶𝗺𝘂𝗹𝘁𝗮𝗻𝗲𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆...𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲 '𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀.' 𝗔𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗲𝗹𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝘀 '𝗽𝗮𝗿𝗮𝗹𝗹𝗲𝗹 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲𝘀' 𝗿𝘂𝗻𝗻𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝘂𝗿𝘀, 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗲 '𝗜 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 '𝗺𝗲' 𝗶𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀?
N: แต่ถ้าทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะเดียวกันและเป็นไปตามลำดับด้วยจริงๆ...นั่นก็หมายความว่ามันจะต้องมี “ความเป็นจริงแห่งทางเลือกอื่นๆ” อยู่ด้วย นี่พระองค์กำลังบอกผมว่ามันมี “จักรวาลคู่ขนาน” ดำรงอยู่ข้างๆ ที่กำลังดำเนินไปและเป็นไปพร้อมๆกับจักรวาลของเรา ที่ซึ่งมี “ผม” ที่ก็คือ “ผมอีกคนหนึ่ง” ที่กำลังมีประสบการณ์แบบอื่นอยู่❓★
𝗚 : "𝗜 𝗮𝗺."
G : ฉันกำลังบอกแบบนั้น ถูกต้องแล้ว
★ตรงนี้จะเข้าใจยากหน่อยครับ คือ เรามีตัวตนจำนวนมากมาย ที่กำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ในห้วงเวลาอื่นๆ (หรือ ชาติภพอื่นๆของเราในห้วงเวลาอื่นๆ)
เช่น 300 ปีก่อน, หรือ อีก 1000 ข้างหน้า ฯลฯ เป็นต้น ให้นึกว่า เวลามันไม่ได้เป็นเส้นตรง ที่เลื่อนไหลจากก่อนหน้านี้ มาถึงตอนนี้ แล้วไหลต่อไปข้างหน้า แต่เป็นวงกลม ซึ่งพอมองเวลาเป็นวงกลมแล้วเนี่ย ตรงไหนล่ะ ที่จะชี้ลงไปได้ว่า เป็นอดีต หรือ ปัจจุบัน หรือ อนาคต?
ให้ลองนึกว่าเราเป็นผู้สังเกตที่มองลงมาจากมุมสูงหรือจากภายนอกวงกลม (หรือเวลา) หากเวลาเป็นเส้นตรง แล้วสมมติว่าเรามองไปทางซ้าย (แทนอดีต) เราก็จะไม่เห็นว่าจุดเริ่มต้นของอดีตอยู่ตรงไหน เช่นกัน หากมองไปขาว จุดสิ้นสุดของอนาคตจะอยู่ที่ใด? แต่พอเป็นวงกลมที่ทั้งหมดเชื่อมกัน เราถึงเห็นมันทั้งหมดได้พร้อมกันในขณะเดียวกันไงล่ะ (นี่แหละคือมุมมองของวิญญาณ)
ทีนี้แม้ในชาตินี้ของเราก็ยังมีตัวตนอันหลากหลายของเราซ้อนทับอยู่เช่นกัน เช่น ณ จุดเชื่อมต่อหรือจุดแห่งทางแยก ของการตัดสินใจในชีวิตนี้ของเรา เช่น การมีแฟน หรือ การงาน ฯลฯ เราได้เลือกเป็นแฟนกับคนๆนี้ไหม หรือเลือกงานนี้ไหม? ถ้าเลือกเป็นแฟนกับคนๆนี้ ก็คือเราได้เลือกเดินไปตามเส้นทางแห่งประสบการณ์นี้ (มีแฟน หรือ รับงานนี้)
แล้วอีกเส้นทางชีวิตที่เราไม่ได้เลือกล่ะ? คือเส้นทางที่ไม่ได้เป็นแฟนกับคนๆนี้ หรือรับงานนี้ ถามว่าประสบการณ์ในเส้นทางนั้นเราไม่สามารถมีได้แล้วใช่ไหม? ไม่ใช่หรอก เพราะมันมีตัวตนเราอีกตัวตนหนึ่งเดินไปบนอีกเส้นทางนั้นแล้ว (แค่คิดถึงเส้นทางนั้น พลังแห่งความคิดนั้นก็ได้สร้างตัวตนของเราอีกตัวตนหนึ่งแล้วส่งเข้าสู่เส้นทางแห่งประสบการณ์นั้นแล้ว)
และที่เรารับรู้ถึงตัวตนในอีกเส้นทางหนึ่งไม่ได้เพราะจิตรับรู้ของเรามันจำกัด เรารับรู้ได้ถึงตัวตนนี้ที่เลือกเป็นแฟนกับคนๆนี้หรืองานนี้ได้เท่านั้น แต่ตัวตนในอีกเส้นทางหนึ่งเรารับรู้ไม่ได้ ลองคิดดูว่าหากเรารับรู้ถึง 100 ตัวตนได้พร้อมกัน เราจะใช้ชีวิตกันยังไง? จะมีประสบการณ์อย่างละเอียดได้ยังไง? คงรับรู้ได้เพียงแค่ภาพเบลอๆ เพราะทุกอย่างคงซ้อนทับกันไปหมด
(ซึ่งนี่จริงๆแล้วก็เป็นประการณ์อีกแบบหนึ่งเช่นกันครับ หากพูดแบบพุทธเราคงต้องได้ญาณก่อนกระมังครับ จิตที่มีญาณมีกำลังมหาศาล คงทำอะไรได้มาก รับรู้อะไรได้มาก เป็นอจินไตยกับคนที่จิตไม่มีญาณ เพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าคนมีญาณ รับรู้หรือทำอะไรได้บ้าง)
แต่หากถามว่าคนทั่วๆไปเช่นตัวเรา รับรู้อีกตัวตนหนึ่งของเราไม่ได้จริงๆหรือ? ก็ไม่อีก เราสามารถรับรู้ถึงอีกตัวตนหนึ่งของเราได้ในตอนที่เราฝัน ความฝันจริงๆแล้วก็คือชีวิตของอีกตัวตนหนึ่งของเรานั่นแหละ หรือก็คือประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่เรากำลังมีอยู่ในอีกระนาบหนึ่งหรืออีกมิติย่อยหนึ่งนั่นแหละ
ทีนี้ คำถามคือ ทางแยกแบบนี้ในชีวิตนี้ของเรามีอยู่จำนวนมากมายเท่าไหร่กัน? จะมีตัวตนในชาตินี้ของเราอยู่มากมายแค่ไหนกัน? ไหนจะเป็นแบบเดียวกันนี้กับตัวตนอื่นๆในห้วงเวลาอื่นๆของเรา? แล้วไหนจะคนอื่นๆทั้งหมด สิ่งมีชีวิตอื่นๆทั้งหมด ก็คือเราอีกล่ะ? (เพราะมีเราหนึ่งเดียว) ตัวตนของเราจึงมีเป็นจำนวนอนันต์ (นับไม่ได้) ในแง่นี้
แต่หากจำได้ว่าเราก็คือพระเจ้านะ ทั้งหมดนี้มันก็เป็นไปได้ นี่แหละคือความหมายของ 'ความเป็นไปได้' ที่พระองค์กล่าวถึงข้างบนครับ
หัวแตกไปยังครับทุกคน 😅 ปรมัตถ์สัจจ์มันสนุกอย่างนี้นี่เอง (มั้งครับ 😅) เอาคร่าวๆประมาณนี้ก่อนก็แล้วกันครับ แค่นี้ก็สมองพังแล้วผมว่า 😄 (เมื่อก่อนผมก็เคยพังไปแล้วเหมือนกัน ฮะๆ)
1
–ผู้แปล–
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼𝗹𝗱 𝗺𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘂𝘁𝘀𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗽𝗮𝗿𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝘀𝗲𝗲𝗺 '𝘄𝗮𝘆 𝗼𝘂𝘁' 𝘁𝗼 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘆𝗼𝘂'𝗿𝗲 𝗰𝗲𝗿𝘁𝗮𝗶𝗻𝗹𝘆 𝗸𝗲𝗲𝗽𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗿𝗼𝗺𝗶𝘀𝗲. 𝗟𝗼𝘁𝘀 𝗼𝗳 𝗳𝗼𝗹𝗸𝘀 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱 𝘀𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗹𝗮𝘀𝘁 𝘀𝗰𝗲𝗻𝗮𝗿𝗶𝗼 𝗶𝘀 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗽𝗹𝗮𝗶𝗻 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗳𝗶𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻.
N : พระองค์บอกผมในตอนแรกว่าบางส่วนของบทสนทนานี้อาจดูเหมือนเป็น “ทางออก” ให้กับผู้คน และแน่นอนว่าพระองค์ก็กำลังรักษาสัญญานั้นอยู่ แต่หลายคนอาจบอกว่าเรื่องที่พระองค์เพิ่งกล่าวถึงไปนั้นเป็นเพียงแค่นิยายทางวิทยาศาสตร์ที่มีพล็อตเรื่องแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ รวมถึงยังน่าเบื่อหน่อยๆด้วย
𝗚 : "𝗔𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝗶𝘀𝗻'𝘁. 𝗔𝘀 𝗜 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿, 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝘀 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲."
G : และมันก็ไม่ใช่นิยายทางวิทยาศาสตร์ อย่างที่ฉันพูดไปแล้วก่อนหน้านี้ นี่คือวิทยาศาสตร์ขนานแท้ (เป็นความจริงไม่ใช่นิยาย)
𝗡 : 𝗧𝗵𝗶𝘀, 𝘁𝗼𝗼, 𝗶𝘀 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲? 𝗧𝗮𝗹𝗸 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝘁𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗶𝘀 𝘀𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲?
N : นี่ก็เป็นวิทยาศาสตร์เหมือนกันงั้นหรือครับ❓ การพูดถึงความเป็นจริงแห่งทางเลือกอื่นๆ (จักรวาลคู่ขนาน) ก็คือวิทยาศาสตร์ด้วย❓
𝗚 : "𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝘀? 𝗔𝘀𝗸 𝗮𝗻𝘆 𝗾𝘂𝗮𝗻𝘁𝘂𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗶𝘀𝘁 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁."
G : เธอคิดว่าเธอดำรงอยู่แค่ในโลกที่มีแค่สามมิติเท่านั้นเหรอ❓★ ลองไปถามนักฟิสิกส์ควอนตัมคนไหนก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิ
★หมายความว่า ความเป็นจริงทางควอนตัมนั้น มีมิติดำรงอยู่มากมายนับไม่ถ้วน –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗪𝗲 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗮 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗻𝗲.
N : เราไม่ได้ดำรงอยู่ในโลกที่มีเพียงแค่สามมิติ และเราก็ไม่ได้ดำรงอยู่ในโลกสามมิติแค่เพียงที่เดียว
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲-𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝗯𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗹𝗶𝘃𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗻𝗲."
G : “เธอกำลังมีประสบการณ์อยู่ในโลกสามมิติ แต่เธอไม่ได้กำลังมีประสบการณ์ด้วยตัวตนแค่เพียงตัวตนเดียว
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻?
N : หมายความว่าไงครับนั่น❓
𝗚 : "𝗜𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗶𝘀 𝗳𝗮𝗿 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘅 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲𝗱. 𝗜𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗺𝗲𝗲𝘁𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘆𝗲. 𝗜 𝘁𝗲𝗹𝗹 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗔𝗟𝗟 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗶𝗺𝗲𝘀.
𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗮 𝗺𝘂𝗹𝘁𝗶𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝗳𝗶𝗲𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝗶𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀. 𝗔𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 '𝘆𝗼𝘂' 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗰𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲𝘀, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗲𝗿𝗲, 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗻𝗼𝘄."
G : หมายความว่าความจริงสูงสุดนั้นซับซ้อนกว่าที่เธอเคยคิดจินตนาการไว้มากนัก หมายความว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าแค่ที่ตาเห็น ฉันกำลังบอกกับเธอว่า 'ความเป็นไปได้ทั้งหมดนั้น' มันมีอยู่แล้วหรือดำรงอยู่แล้วตลอดเวลา (ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง) ซึ่งเธอกำลังเลือกความเป็นไปได้ใดๆก็ตามที่เธอปรารถนาอยู่ในขณะนี้เพื่อมีประสบการณ์จากหลากหลายมิติของความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดนั้น และยังมี “เธอ” คนอื่นๆอีกที่กำลังทำการเลือกที่แตกต่างกันออกไปอยู่ในตอนนี้ อยู่ ณ ขณะนี้
𝗡 : 𝗔𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗺𝗲?
N : ตัวผมคนอื่นๆงั้นเหรอครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗿𝗿𝗲𝗰𝘁."
G : ถูกต้องแล้ว
𝗡 : 𝗔𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 '𝗜" 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗺𝘂𝗹𝘁𝗶-𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆?
N : พระองค์กำลังบอกว่ามี “ตัวผม” ที่ดำรงอยู่พร้อมกันในหลากหลายมิติงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗜 𝗮𝗺."
G : ฉันกำลังบอกแบบนั้น ใช่แล้ว
======จบบทที่ 16======

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา