4 มิ.ย. 2023 เวลา 03:37 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 15)

🍀ผู้รู้บรมวิญญาณดำรงอยู่ในบรมภาวะ🍀
⚜️ โศลกที่ 1️⃣8️⃣ ⚜️ หน้า 599—602
โศลกที่ 1️⃣8️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
บัณฑิตผู้หยั่งรู้ตน เห็นเสมอกันในพราหมณ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและวินัย ในโค ช้าง สุนัข และจัณฑาล
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
เมื่อหมกมุ่นอยู่กับภาพยนตร์อย่างขาดปัญญา ผู้ชมจึงยอมรับว่าสิ่งทั้งหลาย “แตกต่าง” กันไป เป็นภูเขา มหาสมุทร ท้องฟ้า สมณะ พ่อค้า ขอทาน โค สุนัข ช้าง แต่ความแตกต่างนั้นเป็นเพียงภาพที่ปรากฏ ในแก่นแท้นั้น ภาพลักษณ์ทั้งหลายประกอบด้วยแสงและเงาที่สัมพันธ์กันเท่านั้นเอง
ที่กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายในโลกเป็นสิ่งสัมพัทธ์นั้น เพราะทุกสิ่งดำรงอยู่ได้ด้วยการสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ จิตปกติของมนุษย์เป็นจิตสัมพัทธ์ — เช่น เขารับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ก็ด้วยการตีความสิ่งนั้นในสัมพันธภาพกับสิ่งอื่น เขาไม่สามารถรู้เอกภาวะอันทรงความสมบูรณ์ได้ด้วยจิตสัมพัทธ์ ซึ่งพระเจ้าประทานมาเพื่อให้ ได้ชมธรรมชาติที่มีความหลากหลาย
จิตธรรมดา จิตใต้สำนึก อภิจิตสำนึก —จิตอหังการทุกรูป— ที่ตื่นอยู่ มีลักษณะเช่นนี้ทั้งสิ้น เป็นจิตสัมพัทธ์ แต่อภิจิตอันพิสุทธิ์แห่งวิญญาณสามารถเข้าถึงบรมวิญญาณ เข้าถึงชีวิตและธาตุที่ครอบคลุมทุกสิ่งในจักรวาล★
★หลายทศวรรษ หลังจากท่านปรมหังสา โยคานันทะเบียนอรรถาธิบายนี้ ฟิสิกส์ยุคใหม่ได้ค้นพบข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ยืนยันสัจจะซึ่งอินเดียโบราณได้บันทึกไว้เกี่ยวกับ 'ความเป็นหนึ่งเดียวของจักรวาล' ไมเคิล ทัลบอต ได้เขียนไว้ใน The Holographic Universe (New York: Harper Collins, 1991) ว่า :
"มีหลักฐานได้ว่า โลกและทุกสิ่งในโลก —นับแต่เกร็ดหิมะ ต้นเมเปิ้ล ไปจนถึง ดาวตกและประจุไฟฟ้าที่วิ่งวน— ล้วนเป็นแค่ภาพปรากฏที่ฉายจากสิ่งจริงเหนือกาละและเทศะที่เราดำรงอยู่"
“(หนึ่งใน) สถาปนิกหลักผู้เสนอแนวคิดนี้คือ เดวิด โบห์ม นักฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของไอน์สไตน์และเป็นนักฟิสิกส์ควอนทัมที่โลกยกย่องมากที่สุดคนหนึ่ง...
หนึ่งในข้อเสนอสุดตื่นเต้นของโบห์ม คือ ความจริงที่เราสัมผัสอยู่ในชีวิตประจำวันนั้น แท้จริงแล้วเป็นมายา เช่นเดียวกับภาพโฮโลกราฟ ที่มีระเบียบการดำรงอันลึกล้ำ ซึ่งเป็นความจริงอันไพศาลมาแต่เดิม อยู่เบื้องหลัง ระเบียบนี้คือที่เกิดของปรากฏการณ์และสิ่งทั้งหลายในโลกกายภาพของเรา เช่นเดียวกับ ฟิล์มโฮโลกราฟ ทำให้เกิดภาพโฮโลกราฟ โบห์มเรียกความจริงอันลึกล้ำนี้ว่า "ระเบียบภายใน" (implicate แปลว่า “หุ้มไว้) ส่วนระเบียบในระดับการดำรงอยู่ของเรานั้น โบห์ม เรียกว่า "ระเบียบภายนอก" (explicate)...
“แต่ที่น่าฉงนมากที่สุดก็คือ โบห์มพัฒนาแนวคิดองค์รวมได้อย่างสมบูรณ์ เพราะทุกสิ่งในจักรวาลนี้ถูกสร้างจากเนื้อเดียวกันของธาตุโฮโลกราฟในระเบียบภายใน เขาจึงเชื่อว่าไม่ถูกต้องที่จะมองว่าจักรวาลประกอบด้วย “ส่วนต่าง ๆ” อย่างที่มองเหล่าน้ำพุร้อนที่พุ่งจากอ่างน้ำพุว่าแยกต่างหากจากน้ำที่ไหลอยู่ในอ่าง
“ข้อเสนอนี้ลึกซึ้งนัก ไอน์สไตนได้เคยทำให้โลกพิศวง เมื่อเขาเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพโดยชี้ว่า กาละกับเทศะไม่แยกจากกัน หากแต่เชื่อมร้อยเข้าด้วยกันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นทั้งหมด ที่เขาเรียกว่า ความต่อเนื่องของกาลเทศะ ทั้ง ๆ ที่ในระดับระเบียบภายนอกนั้น สิ่งทั้งหลายดูเหมือนจะแยกจากกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งคือส่วนขยายจากสิ่งอื่นซึ่งล้วนเป็นเนื้อเดียวกัน
และสุดท้ายแล้ว ทั้งระเบียบภายในและระเบียบภายนอกต่างรวมเข้าด้วยกัน... 'สิ่งหนึ่ง' ซึ่งไพศาลได้สยายอวัยวะแขนขานับไม่ถ้วนเข้าไปสู่ วัตถุ อะตอม มหาสมุทรอันปั่นป่วน และดวงดาวที่เปล่งแสงอยู่ในจักรวาล
“แต่โบหมก็ได้เตือนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่า จักรวาลคือมวลมหาศาลที่ไร้ความแตกต่าง สิ่งต่าง ๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมที่ไม่อาจแบ่งแยก แต่ก็ยังคงลักษณะเฉพาะของตนไว้ และเขาขยายความเพิ่มเติม ด้วยการยกตัวอย่าง น้ำวน และวังวนอันเป็นส่วนประกอบของแม่น้ำ ถ้ามองผ่าน ๆ เสมือนว่าน้ำวนเป็นส่วนที่แยกจากแม่น้ำอย่างเป็นเอกเทศ ทั้งขนาด ทิศทาง อัตราการหมุน ฯลฯ แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนก็จะเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดขอบเขตว่าวังวนนั้นสิ้นสุด ณ ที่ใด และแม่น้ำเริ่มต้นที่ตรงไหน
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
บัณฑิตไม่ยอมรับการมองความจริงของโลก (การประกอบกันของภาพเคลื่อนไหว เสียง แสง กลิ่น รส และสัมผัส) แค่ในระดับผิวเผิน ท่านเห็นว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นการสําแดงของแสงทิพย์จักรวาล กับ เงาอันหลากหลาย (“เทคนิคคัลเลอร์”)
ผู้หยั่งรู้ตนเห็นบรมวิญญาณว่าเป็นสิ่งจริง และสิ่งสร้างนั้นเป็นเงาของอนันตภาวะ เมื่อกล่าวว่าจักรวาลไม่ใช่สิ่งจริง —“พรหมันเป็นสิ่งจริง การสำแดงแห่งพระองค์ไม่ใช่สิ่งจริง”— ไม่ได้หมายความว่า จักรวาลไม่ดำรงอยู่ แต่หมายความว่า พระเจ้าเท่านั้นคือความจริง ส่วนเงาการสําแดงในสิ่งสร้างนั้นไม่ใช่พระเจ้า เงาเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีวัตถุ เงาจึงไม่ใช่ความว่างเปล่า เงาปรากฏเหมือนสิ่งที่ทำให้เกิดเงานั้น แต่มันก็ไม่ใช่วัตถุสิ่งนั้น
.
◾ทุกสิ่งในโลกโลกีย์ล้วนเป็นประสบการณ์ฝันที่ไร้ความยั่งยืน◾
อาจอธิบายได้อีกอย่างว่า #ผู้ภักดีที่แท้เห็นสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไร้ชีวิตเสมอกัน คนหลับเห็นละครฝันอาจร้องขึ้นว่า “นั่นไงไอ้คนชั้นต่ำ❗ นี่ไง สมณะ เพื่อนของฉัน❗ ตรงนี้หนวกหูจัง — หมาเห่า วัวร้อง ช้างแผดเสียงแปร๋นแปร๋น❗” แต่พอรู้สึกตัวตื่น (ถ้าเขายังจำความฝันได้) เขาตระหนักว่า “สัตว์" ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย ล้วนเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งทั้งสิ้น
ทํานองเดียวกัน ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไร้ชีวิตในโลกไม่เป็นอะไรมากไปกว่าความฝันแห่งพระเจ้า บุคคลผู้รู้ตื่นอยู่ด้วยญาณปัญญาตระหนักว่า ทุกสิ่งในโลกโลกีย์นี้เป็นแค่การปรากฏชั่วคราวของความฝันแห่งพระเจ้า เมื่อผู้ภักดีเห็นโลกอันไพศาลหลากหลายในความเป็นหนึ่งแห่งพระเจ้า เขาจะรู้ได้อย่างถูกต้องว่า #โลกนี้คือสิ่งสร้างในความฝัน
เมื่อคนที่กำลังฝันสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา จิตของเขายังอยู่ในทวิภาวะ เขากึ่ง ๆ เชื่อว่าสิ่งที่ตนฝันนั้นเป็นจริง และกึ่ง ๆ เชื่อว่าสิ่งที่ฝันไม่ใช่สิ่งจริง เป็นเพียงการปรุงแต่งของจิต
ทำนองเดียวกัน เมื่อผู้ภักดี “กึ่งหลับกึ่งตื่น” อยู่ในความปีติ เขาจะเห็นโลกทั้งในความหลากหลาย และในความเป็นหนึ่งแห่งพระเจ้า เขาจึงเห็นสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่า โจร หรือ ปราชญ์ โค สุนัข หรือ ช้าง เป็นเรื่องของสสารหรือจิต —ฝันด้วยจิตหนึ่งเดียวแห่งพระเจ้า— ในภาวะนี้มนุษย์ผู้หยั่งรู้ เห็นสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิต และที่ไร้ชีวิต #เสมอกัน
ปีติในสมาธิขั้นแรก (สวิกัลปสมาธิ) ทำให้โยคีเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ภาวะไร้ความทรงจำใด ๆ ในปรากฏการณ์จักรวาล แต่เมื่อกลับสู่จิตปกติ ท่านพบว่า ยากนักที่จะดำรงการหยั่งรู้นั้นไว้ได้
และเมื่อปฏิบัติกริยาโยคะต่อไป ท่านจะเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แม้ขณะท่านกำลังตื่นและทํางานอยู่ในโลก พูดได้ว่าตอนนี้ท่านเข้าถึงภาวะ “กึ่งตื่น” ที่แม้ขณะลืมตาอยู่ท่าน ก็เห็นโลกรอบกายเป็นฝันจักรวาล ถ้าโยคีไม่พยายามปฏิบัติเพื่อก้าวต่อไป ภาวะ “กึ่งตื่น” นี้ก็จะหายไป ท่านจะกลับไปเห็นโลกตามที่มันปรากฏแก่ตาคนทั่ว ๆ ไป
แต่ถ้าพัฒนาลีกไปเรื่อย ๆ ผู้ภักดีจะดำรงความปีติไว้ได้ทั้งขณะลืมตาและหลับตา (นิรวิกัลปสมาธิ) เขาเรียนรู้ที่จะรวมจิตกับพระเจ้าอย่างเต็มที่ และจิตนั้นทำให้เกิดฝันจักรวาล ในภาวะนี้เขาสามารถเลือกได้ ว่าจะตื่นอยู่กับพระเจ้า โดยไม่เห็นฝันแห่งสิ่งสร้าง หรือจะอยู่ในภาวะ “กึ่งตื่น” ประจักษ์แจ้งว่าจักรวาลคือ ฝันต่าง ๆ นานา เมื่อเข้าถึง นิรวิกัลปสมาธิ แล้ว โยคีจะไม่เห็นโลก “ที่เป็นอยู่” อย่างที่ ชาวโลกทั่วไปเห็นกัน
วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้ค้นพบว่า วัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่เป็นอะไรมากไปกว่าอะตอมที่มีความสั่นสะเทือนต่าง ๆ กันไป เอกภพคือภาพยนตร์จักรวาลของอะตอมที่รำร่ายเคลื่อนไหวไปที่กลายเป็นประกายพลังงาน — ซึ่งมิใช่สสาร หากทว่าคือคลื่นความสั่นสะทือน
นี่คือก้าวใหญ่ที่โยคีผู้หยั่งรู้ตนสามารถพูดได้ว่า “จักรวาลนี้คือฝันแห่งพระเจ้า” ซึ่งอาจอธิบายได้ดังนี้ :
🔅 เมื่อได้ปีติขั้นแรกนั้น โยคีเบิกบานอยู่กับอภิจิต ท่านเริ่มเห็นแสงแห่งโลกทิพย์ เมื่อสมาธิของท่านลึกลงไป นิมิตที่ได้จะครอบคลุมโลกทิพย์ ซึ่งประกอบด้วยเกาะจักรวาลมากมายที่เคลื่อนคล้อยอยู่ในอากาศธาตุ จากนั้นโยคีสลายนิมิตจักรวาลทิพย์รวมกับความคิด แล้วดำรงอยู่ในภาวะรู้ตื่นอยู่กับบรมสุขตลอดกาล รู้สึกได้ว่าความเกษมนั้นครอบคลุมทั่วไปได้ที่สิ้นสุด
🔅 จากนั้น โยคีกลับลงมาสู่ทิพยอาณาอีกครั้ง แล้วกลับสู่กายจิต ท่านลืมตามองรอบ ๆ กาย ท่านเห็นแสงทิพย์วิญญาณจักษุรายรอบตัวท่าน ท่านสามารถใช้อำนาจจิตขยายการเห็นในตาทิพย์ ซึ่งท่านได้เห็นจักรวาลในลักษณะของเกาะน้อย ๆ ล่องลอยอยู่ทั่วไป มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มากหลายอยู่ที่นั่น กลุ่มก๊าซในอวกาศ จักรวาลไร้ที่สิ้นสุด ชั้นแล้วชั้นเล่า โซนแล้วโซนเล่า ทุกสิ่งเหล่านี้หมุนวนอยู่ในตัวท่าน และสุดท้ายจะพักอยู่ที่วิญญาณจักษุซึ่งขยายการเห็นไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดนั้น
🔅 ในภาวะนี้เองที่โยคีสามารถเห็นจักรวาลกายภาพและจักรวาลทิพย์ ซึ่งไม่เป็นอะไรมากไปกว่าพระดำริแห่งพระเจ้าที่สั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่แตกต่างกัน ต่อเมื่อโยคีทั้งที่ลืมตาหรือหลับตาสามารถสัมผัสจิตจักรวาลอันเกษมสุขนี้ได้ในทุกที่ และสามารถเห็นเกาะจักรวาลทิพย์ล่องลอยอยู่ในตัว ท่านจึงจะกล่าวได้ว่า ท่านหยั่งรู้ว่าสิ่งสร้างทั้งหลายคือความฝัน
ครูบาอาจารย์จะไม่ส่งเสริมให้ผู้ที่เริ่มเป็นโยคี พูดว่า "โลกนี้เป็นเพียงความฝัน” #เพราะเขาจะสร้างนิสัยไม่สนใจการทำหน้าที่ที่ถูกต้องของตน
บุคคลผู้มีจิตแห่งพระเจ้าเรียนรู้ที่จะฝันเมื่อต้องการฝัน และเห็นว่าโลกฝันของตนนั้นเป็นสิ่งจริง เขาเรียนรู้ด้วยว่า เมื่อตั้งใจสลายความฝัน เขาก็จะประจักษ์ในขณะนั้น ว่าสิ่งสร้างในความฝันของเขาเป็นเพียงปรากฏการณ์ในจิตมายา ฝันร้ายทั้งหลายมลายสิ้น เขารวมจิตกับพระองค์ผู้ทรงฝัน เป็นพยานเห็นการแสดง “มหึมาเลิศล้ำ" งดงามด้วยแสงสีที่น่าชม
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา