Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
16 มิ.ย. 2023 เวลา 04:27 • หนังสือ
#32 HWG. — บทที่ 2️⃣0️⃣ (ส่วนที่ 1) :
“ความตายคือกระบวนการที่เธอใช้สร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗧𝗛𝗘 𝗡𝗜𝗡𝗧𝗛 𝗥𝗘𝗠𝗘𝗠𝗕𝗥𝗔𝗡𝗖𝗘
ความทรงจำที่ 9️⃣
𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗯𝘆 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗲𝘀𝘁𝗮𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆.
“ความตายคือกระบวนการที่เธอใช้สร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟮𝟬
บทที่ 2️⃣0️⃣
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗢𝗸𝗮𝘆, 𝘀𝗼 𝘄𝗲 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗮𝗿𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗿𝗮𝗻𝗴𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗵𝗼𝘄 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗴𝗼𝗻𝗲, 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿, 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺, 𝘁𝗿𝗮𝘃𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗠𝘆 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.
N : โอเคครับ เราได้พูดกันถึงการที่ผมได้เดินทางจากโลกทางกายภาพไปสู่อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ ด้วยการเดินทางผ่านแกนกลางหรือจุดศูนย์กลางแห่งความเป็นผมเพื่อไปยังอีกด้านหนึ่ง ที่เป็นความจริงที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงเหมือนกับแอปเปิลได้กลายเป็นส้ม
𝗪𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗜 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝗼𝗳 𝗖𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝗽𝗽𝗲𝗻𝘀 𝘁𝗵𝗲𝗻?
และเมื่อผมได้เข้าสู่ความจริงที่ต่างไปนี้ เมื่อผมได้ไปถึง “อีกด้านหนึ่ง” ของจุดศูนย์กลางแห่งความเป็นผมแล้วจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหรือครับ❓
𝗚𝗼𝗱 : "𝗛𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝘀 𝗼𝗻 𝗵𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲 𝗖𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗹𝗲𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗳𝗲𝗲𝗹 '𝗰𝗲𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱' 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗮𝗸𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 '𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀' 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘆𝗼𝘂.
G : ประสบการณ์ที่เธอจะได้รับในอีกด้านหนึ่งจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอออกจากจุดศูนย์กลางไปอย่างไร หากเธอสามารถปล่อยวางปัญหาต่างๆ (ก่อนตาย) ของเธอได้ที่แกนกลาง เธอจะรู้สึก “โล่ง” เพราะเธอไม่ได้นำ “ปัญหาหลัก”★ เหล่านั้นติดไปกับเธอด้วย
★ คือ ความรู้สึกที่เราไม่อาจจัดการกับมันได้ก่อนตาย เช่น ความอาฆาตแค้น ความรู้สึกผิด ความกลัว ความวิตกกังวลกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่ ลูก ทรัพย์สิน ฯลฯ หรือก็คือความยึดติดในสิ่งต่างๆ อะไรแบบนั้นเป็นต้นครับ –ผู้แปล–
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺, 𝗶𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝗱𝗼 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗹𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗴𝗼, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲,' 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗻𝗳𝗿𝗼𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗲𝗮𝗹 𝘄𝗶𝘁𝗵.
หากเธอไม่สามารถปล่อยวางปัญหาหลักต่างๆเหล่านั้นของเธอได้ หรือเธอก็แค่ไม่ต้องการที่จะปล่อยวางพวกมัน (ยึดติด) เธอก็จะนำทุกปัญหาหลักที่เธอยังปล่อยวางไม่ได้อย่างถ่องแท้ไปยัง “อีกด้านหนึ่ง” ด้วย ซึ่งเธอจะได้เผชิญหน้ากับพวกมันทั้งหมดอีกครั้งและมีโอกาสจัดการกับพวกมัน
"𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗲𝗻𝗱𝗲𝗱 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀,
𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗺, 𝗯𝘂𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝘁𝘂𝗿𝗻 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝘁𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗧𝘂𝗻𝗻𝗲𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗺𝗼𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗺𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗯𝗲𝗴𝗶𝗻𝗻𝗶𝗻𝗴."
หากเธอจบชีวิตของตัวเองด้วยความตั้งใจที่จะหลบหนีจากปัญหาหลักเหล่านี้ แต่หลังจากที่เธอตาย เธอจะไม่ได้หนีจากปัญหาหลักเหล่านี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง แต่จะเลือกย้อนกลับทางเดิมไปยังโลกทางกายภาพ โดยใช้อุโมงค์เวลาเส้นเดิม (ที่มีเส้นเรื่องแบบเดิม) และเคลื่อนผ่านประสบการณ์แบบเดิมทั้งหมดใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้น
1
𝗡 : 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲𝗳𝗲𝗿 𝘁𝗼 '𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀,' 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝗺𝗲𝗮𝗻?
N : “ปัญหาหลัก” ที่ว่านั้นหมายถึงอะไรหรือครับ❓
𝗚 : "𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗲𝗮𝗿 𝗼𝗳 𝗮𝗯𝗮𝗻𝗱𝗼𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁, 𝗼𝗿 𝗼𝗳 𝗻𝗼𝘁 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗼𝗿𝘁𝗵𝘆 𝗼𝗿 𝗴𝗼𝗼𝗱 𝗲𝗻𝗼𝘂𝗴𝗵, 𝗼𝗿 𝗮 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝗼𝗳 𝗶𝗻𝘀𝘂𝗳𝗳𝗶𝗰𝗶𝗲𝗻𝗰𝘆, 𝗼𝗿 𝗮𝗻 𝗶𝗱𝗲𝗮 𝗼𝗳 𝘀𝗲𝗽𝗮𝗿𝗮𝘁𝗲𝗻𝗲𝘀𝘀, 𝗼𝗿 𝗮𝗻𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝗮 𝗻𝘂𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗳𝗮𝗹𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳.
G : ปัญหาหลักที่ว่านั้นหมายรวมถึง ความกลัวการถูกทอดทิ้ง หรือ ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอหรือไม่ดีพอ หรือ การมีความคิดเห็นว่าอะไรๆก็มีไม่พอ หรือ การมีแนวคิดที่เกี่ยวกับการแบ่งแยก หรือ ความคิดที่ผิดพลาดใดๆก็ตามที่เธออาจมีเกี่ยวกับตัวเอง
"𝗨𝗹𝘁𝗶𝗺𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆, 𝗮𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗿𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗼𝗻𝗲 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲: 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆. 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗜𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗺𝗮𝘆 𝘁𝗮𝗸𝗲 𝗺𝗮𝗻𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝗳𝗼𝗿𝗺𝘀, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗱𝗼𝘄𝗻 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗻𝗹𝘆 𝗤𝘂𝗲𝘀𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜𝘀: 𝗪𝗵𝗼 𝗔𝗺 𝗜?
ที่สุดแล้ว ปัญหาหลักทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาเดียวเท่านั้น : นั่นคือปัญหาที่เกี่ยวกับ #ตัวตนของเธอ ปัญหาหลักต่างๆอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันมายมาย แต่โดยแก่นแท้แล้วปัญหาหลักทั้งหมดมีรากมาจากคำถามเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ “#ฉันคือใคร❓”
"𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗿𝗮𝘃𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆—𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝗿𝗲-𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗮𝗻𝗲𝘄 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗻𝗲𝘅𝘁 𝗴𝗿𝗮𝗻𝗱𝗲𝘀𝘁 𝘃𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲𝘀𝘁 𝘃𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗵𝗲𝗹𝗱 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗔𝗿𝗲.
เธอกำลังเดินทางผ่านความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลาเพื่อรู้จักตัวเองและมีประสบการณ์ถึงตัวเองอย่างเต็มที่ —และจากนั้นเธอจะก็สร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้งในเวอร์ชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยมีเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ
"𝗗𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘂𝗽𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗴𝗶𝘃𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱, 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗿𝗶𝘃𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝘃𝗲𝗻𝘁𝘂𝗿𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 '𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝗶𝗻 𝗼𝗻𝗲 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗿 𝗮𝗻𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿."
เธอเดินทางมาถึงแกนกลางของความเป็นเธอและดั้นด้นไปยัง “อีกด้านหนึ่ง” ด้วยความมุ่งมั่นที่จะได้ประสบกับสภาวะแห่งการเป็นในอีกแบบหนึ่ง ส่วนสภาวะในอีกด้านหนึ่งที่เธอจะได้ประสบจะเป็นแบบใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของประสบการณ์ที่เธอมอบให้ตัวเองในโลกทางกายภาพ
𝗡 : 𝗠𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗴𝘂𝗮𝗿𝗮𝗻𝘁𝗲𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝗺𝘆𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆, 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝘆 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝗜 𝗵𝗮𝘃𝗲?
N : ประสบการณ์ที่ผมได้รับตอนที่อยู่ที่แกนกลาง ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้ผมรู้จักตัวเองได้อย่างถ่องแท้ และสามารถปล่อยวางปัญหาใดๆก็ตามที่ผมมีได้เลยหรือครับ❓
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗪𝗜𝗟𝗟 𝗯𝗲 𝗼𝗻𝗲 𝗼𝗳 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆. 𝗜𝗻𝗱𝗲𝗲𝗱, 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘆𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆.
𝗬𝗲𝘁, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝘆 𝗼𝗿 𝗺𝗮𝘆 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗶𝘀𝘀𝘂𝗲𝘀 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲. 𝗜𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗲𝗽𝗲𝗻𝗱 𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗴𝗼 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗞𝗻𝗼𝘄. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
G : ประสบการณ์ของเธอที่แกนกลางจะเป็นส่วนหนึ่งของการได้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ อันที่จริงแล้วเธอจะไม่มีวันรู้จักตัวเองได้อย่างถ่องแท้ที่นั่นหรอก อย่างไรก็ตาม ณ ที่แกนกลางเธออาจเลือกที่จะปล่อยวางปัญหาใดๆก็ตามที่เธอมีหรือไม่ก็ได้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับที่ที่เธอปรารถนาที่จะไป อะไรที่เธอปรารถนาที่จะรู้ และอะไรที่เธอปรารถนาที่จะมีประสบการณ์ต่อไป
𝗡 : 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱.
N : ไม่เข้าใจครับ
𝗚 : "𝗜 𝘀𝗵𝗮𝗹𝗹 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗶𝗻 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗱𝗲𝘁𝗮𝗶𝗹 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘄𝗲 𝘁𝗮𝗹𝗸 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳-𝘁𝗵𝗲 𝗧𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗜𝗺𝗺𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳. 𝗙𝗼𝗿 𝗻𝗼𝘄, 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝘀: 𝗬𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗧𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗜𝗺𝗺𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗶𝗴𝗴𝗲𝘀𝘁 𝗠𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗙𝗿𝗲𝗲 𝗖𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲."
G : ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ให้ละเอียดมากขึ้นเมื่อเราพูดถึงประสบการณ์ที่เธอจะได้รับที่แกนกลาง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ตัวตนทั้งหมดได้หลอมรวมเข้ากับตัวตนเพียงหนึ่งเดียว – แต่สำหรับในตอนนี้ ให้เธอรู้ไว้แค่เพียงว่า : ไม่ว่ายังไงเธอก็จะแยกตัวออกมาจากสภาวะแห่งการหลอมรวมกับทั้งหมด จากนั้นเธอจะมาถึงช่วงเวลาของทางเลือกเสรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอจะเคยจินตนาการได้
𝗡 : 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗲𝗺𝗲𝗿𝗴𝗲? 𝗜 𝘄𝗼𝗻'𝘁 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲? 𝗜 𝘄𝗼𝗻'𝘁 𝗿𝗲𝗺𝗮𝗶𝗻 𝗶𝗻 𝗧𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗜𝗺𝗺𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗢𝗻𝗲?
N : ผมจะแยกตัวออกมางั้นหรือครับ❓ ผมจะไม่ยอมอยู่ที่นั่น❓ ผมจะไม่ยอมคงอยู่ในสภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้นตลอดไปงั้นหรือครับ❓
𝗚 : "𝗡𝗼"
G : ไม่
𝗡 : 𝗗𝗼 𝗜 𝘀𝘁𝗮𝘆 𝗼𝗻 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲,' 𝘁𝗵𝗲𝗻, 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗹 𝗲𝘁𝗲𝗿𝗻𝗶𝘁𝘆? 𝗜𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗜 𝘀𝘁𝗮𝘆?
N : งั้นหลังจากที่แยกตัวออกมาแล้วผมจะไปอยู่ที่ “อีกด้านหนึ่ง” ใช่ไหมครับ❓ ซึ่งผมจะไม่กลับไปที่ด้านเดิมอีกและจะอยู่ที่อีกด้านไปตลอดกาล❓
𝗚 : "𝗡𝗼. 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝘁𝗼 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲'—𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗶𝘀𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 '𝗮𝗽𝗽𝗹𝗲' 𝗵𝗮𝘀 𝘁𝘂𝗿𝗻𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮𝗻 '𝗼𝗿𝗮𝗻𝗴𝗲' (𝗼𝗿, 𝗶𝗻 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘄𝗼𝗿𝗱𝘀, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝘄𝗵𝗼𝗹𝗲 𝗻𝗲𝘄 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆)
—𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘇𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝗿𝗲𝗮𝘀𝗼𝗻, 𝗳𝗼𝗿 𝗮 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗼𝗻 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝗶𝘀 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗿𝗼𝘂𝘀 𝘄𝗼𝗿𝗸, 𝗲𝘅𝗰𝗶𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘄𝗼𝗿𝗸, 𝗷𝗼𝘆𝗳𝘂𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗸, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗱𝗼𝗻𝗲, 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗷𝗼𝘂𝗿𝗻𝗲𝘆 𝗯𝗮𝗰𝗸.
G : ไม่หรอก เมื่อเธอไปถึง “อีกด้านหนึ่ง” แล้ว —เมื่อเธอพบว่า “แอปเปิล” ได้กลายเป็น “ส้ม” (หรือพูดในอีกแง่ก็คือ เธอได้เคลื่อนเข้าสู่ความจริงใหม่ทั้งหมดแล้ว)— เธอจะตระหนักรู้ได้ว่าเธอมาที่นี่เพื่อเหตุใด เพื่อจุดประสงค์ใด และงานของเธอใน “อีกด้านหนึ่ง” นั้นก็เป็นงานอันน่ามหัศจรรย์ เป็นงานที่น่าตื่นเต้น น่าสนุกสนานและบันเทิงเริงใจ และเมื่อเธอทำงานเหล่านั้นเสร็จ มันก็ได้เวลาแล้วที่เธอจะต้องเดินทางกลับ
"𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗧𝗿𝘂𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳, 𝘁𝗵𝗲 𝗙𝘂𝗹𝗹 𝗦𝗲𝗹𝗳, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗿𝗼𝗱𝘂𝗰𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗮𝗻𝗱 𝗿𝗲𝗺𝗶𝗻𝗱𝗲𝗱 𝗼𝗳 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲.
𝗧𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝗲𝗿𝗳𝗲𝗰𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗼𝗳 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗼𝘂𝘁𝘀𝗶𝗱𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗮𝗸𝗲 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝘄𝗮𝘆 𝗮𝗹𝗼𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗶𝗻𝗴 𝗖𝗼𝗿𝗿𝗶𝗱𝗼𝗿 𝗼𝗳 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘂𝘁𝗲𝗿 𝗲𝗱𝗴𝗲 𝗼𝗳 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲."
ตัวตนที่แท้จริง หรือ ตัวตนที่สมบูรณ์ เธอจะได้รับการแนะนำให้รู้จักและได้รับการย้ำเตือนถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอดังกล่าวในตอนที่เธออยู่ ณ ที่แกนกลาง ซึ่งสภาพแวดล้อมของ “อีกด้านหนึ่ง” นั้นสมบูรณ์แบบสำหรับการตระหนักรู้ถึงตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ในตอนที่เธออยู่นอกแกนกลาง★ และด้วยเหตุนั้น เธอก็เลยเดินทางไปตามทางเดินแห่งกาลเวลาที่ต่อเนื่องกันไปจนถึงขอบด้านนอกของ “อีกด้านหนึ่ง”
★ ผมจะใช้คำว่า 'ฝั่งนี้' แทนฝั่งของโลกทางกายภาพ ส่วน 'อีกฝั่งหนึ่ง' จะใช้แทนฝั่งของโลกวิญญาณ (หรือมิติทางจิตวิญญาณ) นะครับ
ที่ซึ่งฝั่งนี้ (ตอนเป็นมนุษย์) เราไม่อาจตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราได้อย่างสมบูรณ์ เพราะการรับรู้ที่จำกัดของจิต แต่ในอีกฝั่งหนึ่ง เราจะสามารถตระหนักรู้ได้อย่างสมบูรณ์ว่าแท้จริงแล้วเราคือใคร ประมาณว่า หลังจากเราตาย เราจะเคลื่อนไปที่แกนกลาง ที่ซึ่งเราจะได้รับการบอกว่า เฮ้ เธอคือพระเจ้านะ เธอสามารถเป็นอะไรก็ได้นะ
และเพื่อการได้รู้ว่าเรานั้นเป็นพระเจ้าจริงๆนะ เราจึงต้องเดินทางไปที่อีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่ฝั่งนั้นมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการตระหนักรู้ถึงตนเองได้อย่างสมบูรณ์ว่าแท้จริงแล้วเราคือพระเจ้านะ ซึ่งในฝั่งเดิม เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เราจึงต้องไปยังอีกฝั่ง ประมาณนั้นครับ
นี่ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของพุทธอีกแล้ว ที่บอกว่าเธอต้องปฏิบัติตนเพื่อ "ข้ามห้วงแห่งมหรรณพ" (ที่พุทธให้ความหมายคำๆนี้ว่า 'ทะเลทุกข์' แต่จริงๆ 'ทะเลแห่งประสบการณ์' น่าจะตรงกับความจริงมากกว่า) ไปยัง 'อีกฝากฝั่งหนึ่ง' ให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาที่ฝั่งนี้อีก แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เราก็ต้องกลับมาที่ฝั่งนี้อีกอยู่ดี 😄 –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗧𝗲𝗹𝗹 𝗺𝗲 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝗽𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗶𝘀 '𝘄𝗼𝗿𝗸' 𝗺𝘆 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲'?
N : ได้โปรดบอกผมอีกครั้งด้วยครับ ว่าอะไรคือ “งาน” ที่วิญญาณของผมจะต้องทำใน “อีกด้านหนึ่ง” ครับ❓
𝗚 : 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗻𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁 𝗼𝗿 𝗮𝗿𝗱𝘂𝗼𝘂𝘀. 𝗜𝘁 𝗶𝘀, 𝗶𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝗮 𝗴𝗿𝗲𝗮𝘁 𝗷𝗼𝘆. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗷𝗼𝘆 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲𝗱 𝗱𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗧𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗜𝗺𝗺𝗲𝗿𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗘𝘀𝘀𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹, 𝗮𝘀 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗿𝗲. 𝗧𝗵𝗶𝘀 '𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻.' 𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗲𝘅𝗮𝗰𝘁𝗹𝘆 𝗵𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘄𝗼𝗿𝗸 𝗶𝘀 𝗱𝗼𝗻𝗲.
G : งานที่ว่านั้นไม่ได้ยากหรือลำบากอย่างที่เธอเข้าใจว่างานควรจะเป็น (ตามความเข้าใจแบบมนุษย์) ในความเป็นจริงแล้ว งานดังกล่าวคือความเบิกบานอันยิ่งใหญ่ เป็นความเบิกบานที่เธอได้รู้ว่าเธอได้รับประสบการณ์อะไรมาบ้างในระหว่างที่หลอมรวมอยู่กับแก่นแท้ของเธอได้อย่างแท้จริง นั่นก็คือการที่เธอได้ตระหนักรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใครจริงๆ ซึ่งนี่ก็คือ “#สวรรค์” (เป็นสวรรค์ที่แท้จริงที่ไม่ได้เกิดจากการจินตนาการไปเองของเธอ) ฉันจะอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจนในภายหลังว่างานที่ว่านี้จะเสร็จสิ้นได้อย่างไร
"𝗜𝗺𝗺𝗲𝗱𝗶𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗳𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗿𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝗵𝗼𝗽𝗲 𝗯𝗲𝗰𝗮𝗺𝗲 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆. 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗿𝗲𝘃𝗲𝗮𝗹𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁—𝗮𝗻 𝗶𝗹𝗹𝘂𝘀𝗶𝗼𝗻.
𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗲𝘆𝗲𝘀 𝘄𝗲𝗿𝗲 𝗼𝗽𝗲𝗻𝗲𝗱, 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝗲𝗻𝗹𝗮𝗿𝗴𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗻𝗵𝗮𝗻𝗰𝗲𝗱, 𝗮𝗻𝗱, 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗲𝘁 𝗴𝗼 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁 𝗮𝗻𝗱 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳𝘀 𝗵𝗲𝗹𝗱 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗶𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀𝗲𝘀 𝗲𝗻𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗰𝗼𝗻𝗱 𝘀𝘁𝗮𝗴𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵, 𝘆𝗼𝘂 𝗯𝗲𝗴𝗮𝗻 𝗳𝗼𝗿𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗲𝘄 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳𝘀.
ทันทีที่เธอตายลง (เคลื่อนออกจากโลกทางกายภาพ) และก้าวเข้าสู่ระยะที่สามของความตาย ความหวังจะกลายเป็นความจริง ทุกภาพมายาแห่งชีวิตทางกายภาพจะถูกเปิดเผยว่า—มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ตาของเธอจะเปิดกว้าง มุมมองของเธอจะกว้างไกลขึ้นและถูกยกระดับขึ้น และเมื่อเธอละทิ้งหรือปล่อยวางความคิดและความเชื่อที่เกิดจากจิตใจของเธอที่เธอยึดถือไว้ก่อนตายผ่านกระบวนการต่างๆที่อยู่ในระยะที่สองของความตายทั้งหมดได้แล้ว เธอจะเริ่มก่อร่างสร้างความเชื่อของเธอขึ้นมาใหม่★
★เมื่อมุมมองเปลี่ยนไป ความเชื่อจึงเปลี่ยนตาม –ผู้แปล–
"𝗡𝗼𝘄 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳, 𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴, 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲.
ปัจจุบันขณะเป็นประตูสู่ความเชื่อ ความเชื่อเป็นประตูสู่การรู้ การรู้เป็นประตูสู่การสร้าง และการสร้างเป็นประตูสู่ประสบการณ์
"𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻, 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗼𝗼𝗿𝘄𝗮𝘆 𝘁𝗼 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴, 𝗯𝗲𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗮𝗰𝘁𝗶𝘃𝗶𝘁𝘆 𝗼𝗳 𝗮𝗹𝗹 𝗟𝗶𝗳𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗚𝗼𝗱."
ประสบการณ์เป็นประตูสู่การแสดงออก การแสดงออกเป็นประตูสู่การเป็น การเป็นคือกิจกรรมของทุกสรรพชีวิต และเป็นหน้าที่เพียงอย่างเดียวของพระผู้เป็นเจ้า★
★หน้าที่เพียงอย่างเดียวของพระเจ้าก็คือ 'การเป็น' นั่นเอง เป็นให้ได้หลายหลายที่สุด (ในทุกๆรูปแบบเท่าที่จะเป็นได้) ว่าง่ายๆครับ –ผู้แปล–
𝗡 : 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝗸𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝘆, 𝗯𝘂𝘁 𝗜 𝗮𝗺 𝘀𝘂𝗿𝗽𝗿𝗶𝘀𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗮𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝘀 '𝗵𝗼𝗽𝗲' 𝗮𝗻𝗱 '𝗯𝗲𝗹𝗶𝗲𝗳' 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲.
N : ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมแปลกใจที่ได้ยินว่ามีพื้นที่หรือสนามให้กับสิ่งที่เรียกว่า “ความหวัง” และ “ความเชื่อ” ดำรงอยู่ได้หรือเป็นจริงได้ในชีวิตหลังความตายด้วย
𝗚 : "𝗛𝗼𝗽𝗲' 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆. 𝗡𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗺𝗼𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗹𝗲𝘀𝘀. 𝗔𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗼𝘂𝗴𝗵𝘁𝘀 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝗶𝗲𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗺𝗼𝗻𝗹𝘆 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗯𝘂𝘁 𝗮 𝗳𝗶𝗲𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗖𝗼𝘀𝗺𝗶𝗰 𝗳𝗶𝗲𝗹𝗱 𝗼𝗳 𝗜𝗻𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗲 𝗣𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗶𝗹𝗶𝘁𝗶𝗲𝘀.
𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗵𝘂𝗴𝗲, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝘃𝗮𝘀𝘁, 𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗾𝘂𝗶𝘁𝗲 𝗯𝗮𝘀𝗶𝗰 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝘂𝗻𝗱𝗮𝗺𝗲𝗻𝘁𝗮𝗹 𝗶𝗻 𝗶𝘁𝘀 𝗰𝗵𝗲𝗺𝗶𝘀𝘁𝗿𝘆, 𝗶𝗻 𝗶𝘁𝘀 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝗲𝘁𝗶𝗰 𝗲𝗹𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁𝘀, 𝗶𝗻 𝗶𝘁'𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘀𝘁𝗿𝘂𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻. 𝗜𝗻 𝗳𝗮𝗰𝘁, 𝗶𝘁𝘀 𝗲𝗹𝗲𝗴𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗹𝗶𝗲𝘀 𝗶𝗻 𝗶𝘁𝘀 𝘂𝘁𝘁𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝗶𝗰𝗶𝘁𝘆 𝗮𝘁 𝗶𝘁𝘀 𝗯𝗮𝘀𝗶𝘀.
G : “ความหวัง” ก็เป็นพลังงานเช่นกัน ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นพลังงาน ความคิดทั้งหมดก็เป็นพลังงาน และสิ่งที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าชีวิตหลังความตายนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่นอกเหนือไปจาก "สนามแห่งพลังงาน" เป็นสนามแห่งจักรวาลของความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
มันใหญ่โตมโหราฬและกว้างใหญ่ไพศาล แต่มันกลับเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนใดๆเลยในด้านคุณสมบัติทางเคมี ในด้านองค์ประกอบของธาตุ (อิเล็กตรอน, โปรตอน, นิวตรอน ฯลฯ) ในด้านโครงสร้างและกระบวนการทำงาน อันที่จริงแล้วความงดงามของสนามแห่งพลังงาน (หรือชีวิตหลังความตาย) อยู่ที่มันมีความเรียบง่ายอย่างที่สุดเป็นพื้นฐานนี่แหละ★
★สัจจะความจริงนั้นไม่ซับซ้อนอะไรเลย มันเรียบง่ายตรงไปตรงมา –ผู้แปล–
"𝗧𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗼𝗿 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹𝘀 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗮𝘀 𝗮𝘂𝘁𝗼𝗺𝗮𝘁𝗼𝗻𝘀, 𝗵𝗮𝘃𝗶𝗻𝗴 𝗻𝗼 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗼𝗿 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀.
𝗤𝘂𝗶𝘁𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗿𝗮𝗿𝘆, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴𝘀 𝗮𝗻𝗱 𝗲𝗺𝗼𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗿𝘂𝗻 𝗵𝗶𝗴𝗵, 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝘅𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗳𝗶𝗲𝗹𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘀𝗼𝘂𝗹𝘀 𝗿𝗲𝗺𝗲𝗺𝗯𝗲𝗿 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗞𝗻𝗼𝘄 𝗼𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻 𝗪𝗵𝗼 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗥𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗔𝗿𝗲.
ชีวิตหลังความตายไม่ใช่ช่วงเวลาหรือสถานที่ที่วิญญาณดำรงอยู่เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดๆเลย ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ชีวิตหลังความตายคือที่ที่ความรู้สึกและอารมณ์จะพุ่งสูง (มีความเข้มข้นสูง)★ เพื่อสร้างขอบเขตหรือสนามแห่งประสบการณ์ภายใน★★ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวงจะสามารถใช้เพื่อให้จดจําและระลึกได้อีกครั้งว่าตัวตนที่แท้จริงของตนคือใคร
★เช่น ความรู้สึกตอนอยู่ในโลกทางกายภาพอยู่ในระดับ 1 แต่ตอนอยู่ในโลกวิญญาณจะเพิ่มขึ้นไปอีกพันเท่า อะไรแบบนั้นครับ
★★สนามแห่งประสบการณ์ภายใน มาถึงตรงนี้คงจะเข้าใจกันแล้วนะครับว่ามันหมายถึงอะไร ซึ่งก็คือ สนามแห่งประสบการณ์ที่อยู่ภายในตัวเราที่เป็นพระเจ้า ที่เป็นตัวตนใหญ่หรือตัวตนรวม เพื่อให้ตัวตนเล็กๆทั้งหมดของตน (สรรพชีวิตทั้งมวล) มีพื้นที่ให้ได้มีประสบการณ์ถึงความเป็นพระเจ้าของตนได้ในทุกๆรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้นั่นเอง –ผู้แปล–
"𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵' 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗯𝘆 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗿𝗲-𝗲𝘀𝘁𝗮𝗯𝗹𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁𝗶𝘁𝘆. 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗰𝗮𝗹𝗹𝗲𝗱 '𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻' 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗱𝗼 𝘁𝗵𝗶𝘀. 𝗛𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗻 𝗮𝗰𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲, 𝗯𝘂𝘁 𝗮 𝗦𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗼𝗳 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴.
𝗧𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝗹𝗼𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝘀, 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗻 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘀𝗺𝗼𝘀. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮 𝘄𝗮𝘆 𝗼𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗶𝗻 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻' 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗰𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻—𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗿𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗗𝗶𝘃𝗶𝗻𝗶𝘁𝘆 𝗜𝘁𝘀𝗲𝗹𝗳, 𝗶𝗻, 𝗮𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳.
“ความตาย” คือกระบวนการที่เธอใช้เพื่อสร้างตัวตนของเธอขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เธอเรียกว่า “สวรรค์” ก็คือที่ที่เธอจะทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตามสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นสถานที่แห่งหนึ่งหรือพื้นที่แห่งหนึ่งหรืออะไรในเชิงนั้น แต่มันคือ 'สภาวะแห่งการเป็น'
“อีกด้านหนึ่ง” ก็ไม่ใช่สถานที่สักแห่งหนึ่งในจักรวาล แต่มันคือการแสดงออกของจักรวาล มันคือ 'วิถีแห่งการเป็น' (ในสิ่งต่างๆ-เป็นสภาวะต่างๆ) ของจักรวาล มันคือ “การอยู่ในสวรรค์เพื่อเป็นในสิ่งต่างๆ” ผ่านกระบวนการสำแดงตัวตน —ที่ซึ่งเป็นการสำแดงความเป็นพระเจ้าของตนออกไป ภายในตนเอง ในฐานะที่เป็นตนเอง ผ่านตัวตน (อันหลากหลายจำนวนอนันต์) ของตัวเอง
"𝗗𝗼 𝘆𝗼𝘂 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘄?
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วหรือยัง❓
"𝗢𝗻 '𝘁𝗵𝗲 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲' 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗼𝘃𝗲 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗺 𝘀𝗼 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗯𝗲𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝗞𝗻𝗼𝘄 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝗻𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿𝗲𝗱 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗬𝗼𝘂𝗿 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹, 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗽𝗲𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗼𝗳 𝗱𝗶𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘁𝗼 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗶𝘁 𝗜𝗡 𝘆𝗼𝘂, 𝗔𝗦 𝘆𝗼𝘂.
“อีกด้านหนึ่ง” ที่ว่าก็คือการที่เธอเคลื่อนออกจากแกนกลางหรือแก่นแท้ของความเป็นเธอ และเข้าสู่อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณเพื่อที่เธอจะได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เธอได้ประสบ ณ ที่แก่นแท้ของความเป็นเธอได้อย่างแท้จริงได้มากขึ้น ผ่านมุมมองของระยะทาง★ และจากนั้นเธอจะสร้างสิ่งที่เธอได้ตระหนักรู้นั้นขึ้นมาใหม่ “ใน” ตัวเธอ “เป็นตัวเธอ” ในแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้
★ประมาณว่า ยิ่งเราถอยออกไปไกลจากจุดศูนย์กลางมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีมุมมองหรือมองเห็นได้กว้างมากขึ้นเท่านั้นครับ เช่น มุมมองของเราตอนที่อยู่ตรงกลางของผลแอปเปิ้ล (ทำให้เราเห็นมันได้แค่บางส่วน) กับ ตอนที่อยู่ด้านนอกผลแอปเปิล (เราจะสามารถเห็นแอปเปิลได้ทั้งผล) นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งในแง่นี้ มันทำให้เราเข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของเราได้ถ่องแท้ขึ้นนั่นเอง–ผู้แปล–
𝗡 : 𝗚𝗼𝘀𝗵, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗲𝗻𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗠𝘆 𝗕𝗲𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘀𝗼 𝗮𝘄𝗲𝘀𝗼𝗺𝗲?
N : โห อะไรที่ผมได้ประสบที่แกนกลางหรือแก่นแท้แห่งการเป็นผมจะสุดยอดได้ขนาดนั้นครับ❓
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲 𝘁𝗿𝘂𝗲 𝗦𝗲𝗹𝗳, 𝘁𝗵𝗲 𝗙𝘂𝗹𝗹 𝗦𝗲𝗹𝗳. 𝗧𝗵𝗲 𝗚𝗹𝗼𝗿𝘆 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗪𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗪𝗵𝗼 𝗬𝗼𝘂 𝗔𝗿𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗼𝗳 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗟𝗶𝗳𝗲 𝗜𝘀.
G : ตัวตนที่แท้จริง หรือ ตัวตนอันสมบูรณ์แบบของเธอไงล่ะ เธอได้ประสบกับความรุ่งโรจน์และความมหัศจรรย์ของตัวตนที่เธอเป็น และว่าชีวิตนั้นคืออะไร (ความหมายที่แท้จริงของชีวิต)
"𝗜𝗻 𝘀𝗵𝗼𝗿𝘁 : 𝗚𝗼𝗱."
พูดอย่างย่อๆก็คือ : เธอได้พบกับพระเจ้า นั่นเอง
𝗡 : 𝗪𝗲𝗹𝗹, 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝗹𝗶𝗸𝗲? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝘁 𝗹𝗶𝗸𝗲?
N : แล้วพระเจ้าที่ผมได้พบที่แกนกลางหรือที่แก่นแท้แห่งความเป็นผมเป็นยังไงครับ❓ พระองค์จะมีลักษณะเป็นแบบไหนครับ❓
𝗚 : "𝗜 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂 𝗹𝗮𝘁𝗲𝗿, 𝗶𝗻𝘀𝗼𝗳𝗮𝗿 𝗮𝘀 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗽𝗼𝘀𝘀𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗲𝘀𝗰𝗿𝗶𝗯𝗲 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗹𝗶𝗺𝗶𝘁𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗼𝗳 𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗿𝗲𝘀𝗲𝗻𝘁 𝗰𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝗰𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻.
G : ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟังในภายหลัง จะอธิบายเท่าที่จะสามารถอธิบายได้ภายใต้ข้อจำกัดของการสื่อสารด้วยภาษาในปัจจุบันของเรา
"𝗙𝗼𝗿 𝗻𝗼𝘄, 𝗶𝘁 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝗯𝗲 𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗯𝗲𝗻𝗲𝗳𝗶𝗰𝗶𝗮𝗹 𝘁𝗼 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗼𝘂𝗿 𝗺𝗲𝘁𝗮𝗽𝗵𝗼𝗿."
สำหรับตอนนี้ การใช้การอุปมาของเราต่อไปนั้นจะเป็นประโยชน์กับเธอได้มากที่สุด
𝗡 : 𝗙𝗶𝗻𝗲.
N : ก็ได้ครับ
(((มีต่อ)))
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
1
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
HOME WITH GOD
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย