Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อรรถเสวนา
•
ติดตาม
29 มิ.ย. 2023 เวลา 17:35 • ปรัชญา
สัดส่วนวิญญาณ
เรื่องราวเร้นลับหนึ่ง ที่ไม่เคยตกกระแสความสนใจของผู้คนจำนวนมาก ก็คือ เรื่องของชีวิตหลังความตาย เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตที่จะมีขึ้นหลังจากความตาย เราคงต้องมาทำความรู้จักวิญญาณเหล่านี้ก่อน เบื้องต้น คำว่า วิญญาณในที่นี้ หมายถึง ส่วนของนามกาย ที่หลงเหลืออยู่ หลังขาดจาก ปราณกาย และ รูปกาย
โดยนามกายเหล่านี้ จะมีความละเอียดกว่า ปราณและรูป ที่เคยทรงอยู่ และเข้าไปอยู่ในมัชณิมภูมิ หรือ ภูมิกลางที่อยู่ระหว่างจินตภูมิ ที่รูปกายของนามกายนั้นเคยอยู่ กับ จินตภูมิที่ละเอียดขึ้นไป หรือ หยาบลงไป ขึ้นกับว่า นามกายนั้น มีความหยาบลง หรือ ละเอียดขึ้น หลังจากได้ตายจากภูมิเดิมนั้นแล้ว
นามกายเหล่านี้ มีความหยาบละเอียดไม่เท่ากัน นามกายของมนุษย์ในมิติดาวโลกนี้ ย่อมหยาบกว่า นามกายของภูมิมนุษย์ที่ละเอียดกว่า ดังเช่น ภูมิที่มนุษย์รู้จักกันในนามว่า ลับแล ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ที่อยู่ในภูมิลับแล จึงย่อมละเอียดกว่า ภูมิกลาง ที่นามกายของมนุษย์ในมิติดาวโลกนี้เข้าไปอยู่ หลังจากเสียชีวิตแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ชาวลับแลสามารถแลเห็นและพบปะกับ นามกายของชาวมนุษย์ได้
หรือ กล่าวแบบเข้าใจกันง่ายจะได้ว่า ชาวลับแลเห็นวิญญาณคนตายจากมิติโลกนี้ได้ ทั้งยังสามารถสื่อสารได้เป็นปกติ หากวิญญาณคนตายเหล่านั้น มีสติพอที่จะรับรู้การสื่อสารได้ ในทางตรงกันข้าม นามกายของชาวมนุษย์จากมิติโลก กลับไม่สามารถพบเห็นชาวลับแลได้ หากพวกเขาไม่ต้องการให้พบเห็น นั่นหมายความว่า นามกายของชาวมนุษย์แห่งดาวโลก ยังหยาบกว่า รูปกายของชาวลับแล
เมื่อเข้าใจได้แล้วว่า จินตาธร หรือ วิญญาณ ในที่นี้ ก็คือ นามกายของคนตาย ที่เข้าไปอยู่ในภูมิกลาง หรือ ภูมิว่างที่อยู่ระหว่างจินตภูมิ ก็จะขอขยายความต่อไปว่า ทุกภูมิในอนุจินตา หรือ มนุษยภูมิ จะมีภูมิกลางเหล่านี้กลางกั้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหยาบละเอียดเพียงใด ขณะที่บดีจินตา อภิจินตา และ ญาณจินตา จะไม่มีโครงสร้างภูมิกลางเช่นนี้ แต่จะเป็นเพียงช่องว่างระหว่างภูมิ
เป็นภาวะที่กำลังเปลี่ยนผ่าน จากภูมิหนึ่งไปเป็นอีกภูมิหนึ่งที่ละเอียดกว่า และมีแต่บดีจินตา หรือ ทิพยภูมิ ที่มีนามกายเข้าไปสู่ภูมิกลางเหล่านี้ได้ ขณะที่อภิจินตา หรือ พรหมภูมิ จะไม่ใช้นามกาย แต่เป็นจินตาธร และญาณจินตา หรือ อรูปพรหมภูมิ จะใช้ จินตาธร หรือ แค่เพียงจินตายตนะก็ได้ หลายท่านอาจยังไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์แปลกๆ ที่ใช้ เพราะต้องอ้างอิงจากคัมภีร์ของซายน์ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาก
คงต้องยอมรับว่า เรื่องเหล่านี้คงจะยากเกินกว่า จะทำความเข้าใจได้โดยง่าย เพียงการอธิบายไม่กี่ประโยค สำหรับท่านที่สนใจ ให้ไปหาคัมภีร์ของซายน์มาศึกษาเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะ คัมภีร์โลกาธาตุ และ ชาติสัมพันธ์ จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆ ได้มากกว่า สำหรับในบทความนี้ ที่เป็นเพียงเรื่องเล่าเชิงประสบการณ์ จึงไม่ขอลงลึกไปกว่านี้
เอาเป็นว่า เราท่านได้เข้าใจตรงกันแล้วว่า วิญญาณมีความหมายว่าอย่างไร และ ดำรงอาศัยอยู่ในที่ไหน ต่อไปเราก็จะมาพูดถึง ประเภทของวิญญาณ หรือ นามกายของมนุษย์แห่งดาวโลก หลังจากได้เสียชีวิตตายจากมิติภูมิของดาวโลกแห่งนี้แล้ว เพื่อทำความเข้าใจว่า พวกเขามีสภาวะอยู่ได้มากน้อยเพียงใด
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันเป็นปฐม ไว้ในที่นี้ก่อนก็คือ วิญญาณทั้งหลาย ที่ยังตกค้างอยู่ในภูมิกลางนี้ ต้องบอกว่าส่วนใหญ่ มิได้อยู่ในสภาวะกร้าวร้าว เหมือนที่ปรากฏอยู่ใน ภาพยนต์แนวสยองขวัญ ที่เหล่ามนุษย์ในดาวโลกคุ้นเคยกัน ถ้าจะให้แบ่งสภาวะของวิญญาณ ก็น่าจะพอจำแนกได้คร่าวๆ ดังนี้คือ ประมาณ 60% จะอยู่ในสภาวะที่จมอยู่กับ มรณะสัญญา หรือ ความทรงจำก่อนตาย และมักจะยังไม่รู้ว่าตนได้เสียชีวิต จากโลกนี้ไปแล้ว
อีก 20% พอจะมีสติรับรู้ว่า ตนได้ตายแล้ว ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น อีก 3 กลุ่มย่อยคือ กลุ่มที่หนึ่ง ประมาณ 10% เป็นกลุ่มที่ยอมรับความจริง แต่ยังไม่รู้ว่า มีนิรยบาล คอยตามหา พวกนี้จะเร่ร่อนไปเรื่อย และหลบอาศัยอยู่ตามสถานที่รกร้างวังเวง ซึ่งปัจจุบัน จะแสวงหาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนประชากรมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น
กลุ่มที่สอง ประมาณ 6% เป็นกลุ่มที่ยังไม่อาจยอมรับความจริงได้ และมักจะพยายามหาทางกลับไปหา ครอบครัวเดิมของพวกตน ซึ่งต้องถือว่าเป็นปัญหามาก ทั้งต่อคนเป็นและคนตาย ถ้าครอบครัวเดิม มีคนเป็นอยู่อาศัยมาก เมื่อวิญญาณไปถึงและพยายามอยู่ร่วม ก็จะถูกพลังหยาง หรือ พลังชีวิตของคนเป็น ครอบงำ รบกวน ทำให้พลังหยิน หรือ พลังวิญญาณของคนตาย เกิดภาวะไม่เสถียร
จนอาจคงสภาพอยู่ไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่า ไข้วิญญาณ จะมีอาการเหมือนคนที่เป็นไข้หนัก ไร้สติ พร่ำเพ้อไปเรื่อย ถ้าปล่อยไว้นาน วิญญาณนั้นจะอยู่ในสภาพที่มีนามกายเจือจาง ยากต่อการตรวจหา โดยนิรยบาล ทำให้วิญญาณต้องทนทุกข์ อยู่กับสภาวะป่วยไข้ของตนเองไปตลอด
เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจ เพิ่มเติมกันอีกสักเล็กน้อยว่า นามกายของคนตาย ถ้าเข้าสู่ภูมิกลางที่อยู่โน้มไปทางภูมิที่ละเอียดกว่า ย่อมแสดงว่า นามกายเหล่านี้ อาจมีความละเอียดมากกว่า หรือ เท่ากับ นามกายของคนเป็น ที่ยังมีชีวิตอยู่ ในกรณีที่ละเอียดกว่า นามกายทั้งสอง คือ คนเป็นกับคนตายจะสื่อสารกันไม่ได้ โดยคนตายจะเห็นคนเป็น แต่ คนเป็นไม่เห็นคนตาย
ส่วนกรณีที่ละเอียดเท่ากัน ก็อาจสื่อสารกันได้บ้าง ในสภาวะที่เอื้ออำนวย ส่วนจะชัดเจนเพียงใด ก็ขึ้นกับปัจจัยอีกหลายประการ ที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันดี สำหรับมนุษย์ในดาวโลกนี้ ก็คือการสื่อสารผ่านทางความฝัน หรือ บางครั้งก็อาจสัมผัส ได้ถึงบางส่วนของนามกาย เช่น รูป เสียง กลิ่น และแม้แต่ผิวสัมผัสกันโดยตรง
ส่วนกรณีที่ นามกายของคนตาย ตกไปทางภูมิกลางที่อยู่โน้มไปทางภูมิที่หยาบกว่า นามกายเหล่านั้น ก็ย่อมจะหยาบกว่านามกายของคนเป็น ในกรณีเช่นนี้ นามกายของคนเป็นจะสัมผัส นามกายของคนตายได้ หากปัจจัยเอื้ออำนวยอย่างถูกส่วนเพียงพอ แต่คนตายไม่อาจรับรู้ถึงสัมผัสเหล่านั้น โดยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ยิ่งเป็นภูมิที่มีความหยาบมากขึ้นเพียงใด รูปกายของภูมิที่ละเอียดกว่า ก็ไม่อาจแทรกเข้าไปยังภูมิที่หยาบกว่า
แม้แต่ภูมิระหว่างกลางเหล่านั้น เหตุผลก็เป็นเพราะในภาวะภูมิที่ยิ่งหยาบ ก็จะยิ่งมีภาวะที่ทึบตันหนาแน่น จนยากจะใช้สสาร หรือ รูปกายแทรกผ่านเข้าไปได้ เหมือนกับที่ร่างมนุษย์ไม่สามารถแทรกผ่านเข้าไปในเนื้อหินได้ การเข้าสู่ภูมิที่มีความหยาบมากๆ จึงต้องอาศัยเพียงนามกายเท่านั้น โดยต้องอาศัยภาวะการฝึกฝนโดยตรง หรือ อาจเป็นเหตุบังเอิญ ที่ปัจจัยต่างๆ มีความถูกส่วน พอดิบพอดี
ในทางตรงกันข้าม ถ้าครอบครัว มีคนอยู่น้อย แต่มีวิญญาณมารวมตัวกันมาก ซึ่งอาจเกิดจาก การชักนำมาของวิญญาณผู้ตาย หรือ มีวิญญาณมาสิงสู่ ในอาคารสถานที่แห่งนั้นอยู่แล้ว ในสภาวะเช่นนี้ ก็จะเกิดผลอีกด้านหนึ่ง คือ พลังหยินของคนตาย จะครอบงำพลังหยางของคนเป็น ทำให้พลังชีวิตของคนเป็นถูกลดทอนจนเจือจาง สุดท้าย คนเหล่านั้นก็จะอยู่ในสภาวะที่ หดหู่ ซึมเซา หมดอาลัยตายอยากในชีวิต จนอาจเจ็บป่วย และเสียชีวิตไปในที่สุด หรือ อาจถึงขั้นกระทำ อัตตวินิบาตกรรม หรือฆ่าตัวตายได้
กลุ่มที่สาม ประมาณ 4% เป็นกลุ่มที่ยอมรับความจริง และรู้เรื่องการมีอยู่ของนิรยบาล กลุ่มนี้ถือเป็นตัวปัญหา เพราะมักจะหลบหนีหลีกเลี่ยง การตาม หาของนิรยบาล ทำให้การทำงานยุ่งยากมากขึ้น และต้องอาศัยศิลปะการชักนำชั้นสูง ที่ละเอียดอ่อน เนื่องจาก ภารกิจหลัก ของนิรยบาล ในการมาโน้มน้าวนำพาวิญญาณทั้งหลายไป ก็เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือ การแทรกซ้อน ระหว่างคนเป็นและคนตายดังกล่าว ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ต้องการให้วิญญาณ เกิดความตื่นตระหนก จนเสียสติ เพราะจะยากต่อการช่วยเหลือในภายหลัง
การกระทำของนิรยบาล จึงต้องเป็นไปอย่างละมุนละม่อม มิได้มีความดุดันเกรี้ยวกราด เหมือนที่หลายคติความเชื่อของมนุษย์ วาดจินตนาการเป็นภาพลักษณ์เอาไว้ จนผิดเพี้ยนตรงข้ามกับความจริงทั้งหมด ด้วยจุดประสงค์ เพียงต้องการข่มขู่ให้มนุษย์ด้วยกันหวาดกลัว โดยมิได้มีความเข้าใจอย่างแท้จริง ต่อสภาวะธรรมชาติวิสัย ของมวลหมู่วิญญาณทั้งหลายนั้น
และการข่มขู่นี้เอง ที่กลายเป็นสัญญา หรือ ความทรงจำ ตกค้าง ทำให้วิญญาณในกลุ่มที่สามนี้ เกิดความหวาดกลัวต่อนิรยบาล และหาทางดิ้นรนหลบหนี กระทั่งสร้างเป็นปัญหา ทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายดังกล่าว วิญญาณอีกประมาณ 12% จะเป็นพวกที่มีอิทธิมโนระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต ทำให้หลังจากตายแล้ว กลายเป็นวิญญาณที่มีอิทธิทางใจ สามารถกระทำการที่มากกว่าวิญญาณปกติ
แต่พวกนี้จะรู้เรื่องของนิรยบาล จึงมักเก็บตนซ่อนกาย ไม่เปิดเผย และมักจะรวบรวม เหล่าวิญญาณเร่ร่อนไว้เป็นบริวาร ชอบซุกซ่อนอาศัยอยู่ตามอาคาร หรือ สถานที่รกร้าง และอาจแสดงอาการขับไล่ มนุษย์ที่ล่วงล้ำเขตแดนของตน ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม กลุ่มสุดท้ายประมาณ 8% จะเป็นวิญญาณที่จมอยู่กับความเครียดแค้นอาฆาต วิญญาณเหล่านี้ จะเฝ้าติดตามสนองผลคนที่ทำร้าย หรือ ทำให้ตนเสียชีวิต รวมถึงพวกที่ซึมเศร้าสุดขีด
พวกนี้ก็จะเวียนวนค้นหา หรือ ติดตามคนที่ตนผูกพัน หรือ หลงรัก อันเป็นเหตุให้ตนต้องตาย ส่วนจะมีความพยายามมากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นกับความเข้มข้นของเจตจำนงว่า มีความแรงกล้าเพียงไหน ถือเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหาได้ไม่น้อยทีเดียว ในกรณีของสองกลุ่มหลังนี้ มีความเป็นไปได้ ที่สายงานนิรยบาล อาจต้องใช้มาตรการเด็ดขาด ในการไล่ล่า จับกุม เพื่อนำตัวไปกักขังไว้ ในสถานที่เป็นการเฉพาะ
เพื่อไม่ให้ก่อปัญหากระทบต่อระบบโดยภาพรวม ซึ่งแม้จะฟังดูเอาจริงเอาจัง แต่ก็ต้องเรียนว่า การใช้ความรุนแรง เฉียบขาด จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ที่ทางเลือกอื่นใช้ไม่ได้ผลจริงๆ แล้วเท่านั้น ปฏิบัติการของสายงานนิรยบาล จึงเป็นไปตามลำดับ จากเบาไปหาหนักเสมอ
พูดถึงนิรยบาลมามากแล้ว ต่อไปก็จะขอนำเสนอ เพื่อแนะนำเรื่องราวของบุคลากร ในสายงานนี้ ให้ทุกท่านได้รับรู้พอเป็นสังเขป เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างมาก เกินกว่าจะกล่าวถึงได้หมด ในบทความเดียวนี้ รวมไปถึงวัตถุประสงค์ที่ สายงานนี้จะต้องมาชักนำ เหล่าวิญญาณ ไปสู่สถานที่อันเหมาะสม ให้รู้ว่า ทำไมต้องมาชักนำพาไป และจะนำไปไว้ในสถานที่เหมาะสมแห่งใดกัน
โดยสรุปแล้ว สายงานนิรยบาล หรือ นิช์ราณะ จะเป็นส่วนหนึ่งของสายปกครอง หรือ สายปกป้อง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุม ความสงบทั้งหมด โดยภาพรวมทั่วทั้งจินตธาตุ เพื่อไม่ให้มีความสับสนวุ่นวาย จนกลายเป็นความโกลาหนที่ไร้ขอบเขต การจำกัดวงพื้นที่ของเหล่าวิญญาณผู้ที่ตายจากจินตภูมิเดิม จึงถือเป็นหน้าที่หนึ่ง ของสายปกครองดังกล่าว โดยมีสายงานนิรยบาลนี้ เป็นผู้รับผิดชอบ
โดยปกติแล้ว สายงานนิรยบาล ที่ทำหน้าที่นำพาวิญญาณทั่วไป จะมีจำนวนมาก และมีความหยาบละเอียด กระจายไปตามจินตภูมิทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของ อนุจินตา ระดับหยาบ เพราะยิ่งมีความละเอียดสูงขึ้นไป วิญญาณจะมีญาณ หรือ เครื่องรู้ ที่มีศักยภาพในการรับรู้ ทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก มากขึ้นตามลำดับ
ทำให้จินตภูมิโดยภาพรวม ในย่านที่ละเอียดเหล่านั้น ไม่ค่อยมีปัญหา เกี่ยวกับวิญญาณมากนัก ที่สำคัญชนชาวที่อยู่ในจินตภูมิ ย่านที่ละเอียดมากๆ นั้น มักจะมีอายุกาลยาวนาน จนอาจกล่าวได้ว่า สายงานนิรยบาล แทบจะไม่มีงานให้ทำเลยทีเดียว
บุคลากรระดับที่ทำหน้าที่ นำพาวิญญาณคนตาย อาจรู้จักในภาษาของชาวโลกมนุษย์คือ พวกยมทูต หรือ เจตภูติ ต่างกันตรงที่พวกเขามิได้มีรูปร่างหน้าตา ที่หน้ากลัวเหมือนที่ชาวมนุษย์ ได้จินตนาการวาดภาพพจน์เอาไว้ ที่สำคัญคือ สายนิรยบาลเหล่านี้ จะเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยม มีความสุขุมลุ่มลึก เพราะพวกเขาได้รับการฝึกฝนมา เพื่อนำพาวิญญาณไปอย่างสงบ ละมุนละม่อม ไร้การบังคับฝืนใจใดๆ
แม้แต่ในกรณีที่เป็นวิญญาณอาฆาตรุนแรง พวกนี้อาจขัดขืนด้วยมโนอันแรงกล้า ก็จะมีสายนิรยบาลอีกพวกหนึ่ง ที่ถือได้ว่า เป็นพวกมือปราบ มาทำการกำราบโดยตรง และแน่นอนว่า พวกมือปราบเหล่านี้ จะได้รับอนุญาตให้ใช้กำลังบังคับได้ หากมีความจำเป็น
สายงานนิรยบาลอีกกลุ่มที่มีความสำคัญ ก็คือกลุ่มที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล บรรดาวิญญาณที่อยู่ในครอบฟ้า หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นครอบฟ้าวิญญาณ โดยจะเป็นที่อยู่ของเหล่าวิญญาณ ที่ได้รับการนำพามาจากกลุ่มงานยมทูต ซึ่งวิญญาณเหล่านั้น จะถูกกักตัวให้พักอยู่เฉพาะภายในครอบฟ้า จนกว่าจะถึงอายุขัย หรือ อายุกาล ที่กำหนดเอาไว้ในภูมิชะตา
โดยจะยึดถือเอาตามกาลเวลา ในแต่ละจินตภูมิ ที่เหล่าวิญญาณนี้เคยไปใช้ชีวิตอยู่ แน่นอนว่า ในแต่ละมณฑล ย่อมมีกาลเวลาแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่ว่าจะใช้ระบบนับเวลาประเภทไหน ยกตัวอย่างเช่น ดาวโลกแห่งทอเรีย เป็นปราการมณฑลที่ใช้ระบบนับเวลา ด้วยการหมุนรอบตัวเอง และ การหมุนรอบดวงอาทิตย์ ของดาวเคราะห์โลก ขณะที่ดาวอื่นๆ ที่มีระบบการนับเวลาแบบเดียวกัน ก็อาจมีอัตราการหมุนรอบตัวเอง และ โคจรรอบดาวแม่ ที่แตกต่างกันไป
ครอบฟ้าวิญญาณเหล่านี้ จะถูกตั้งสถิตไว้ในเขตภูมิกลาง ที่อยู่ระหว่างจินตภูมิ โดยจะอยู่ชิดไปทางชายแดน ของภูมิกลาง ในแต่ละด้านที่อยู่ติดกับจินตภูมิ ที่เหล่าวิญญาณนั้นตายจากมา โดยจะอยู่ห่างจากเขตพรมแดน ที่เป็นรอยต่อของจินตภูมิกับภูมิกลาง เข้ามาอีกระยะหนึ่ง จนพ้นเขตอิทธิพลความโกลาหนของพลังงาน ที่ภาวะเปลี่ยนผ่านนั้น แต่จะไม่ถึงช่วงกลางของภูมิกลางเหล่านั้น
ซึ่งจะถูกใช้เป็นสถานที่อยู่ของเหล่าวิญญาณ ที่ต้องพักรอการสนองผล ในกรณีที่วิญญาณเหล่านั้น ไม่มีจินตกัมมา ที่ต้องไปจุติยังจินตภูมิใดเป็นการเฉพาะ หลังจากถึงกาลแห่งอายุขัยแล้ว โดยจะแบ่งเป็นมาตราส่วนของความละเอียดแตกต่างกันไป จากระดับจินตภูมิหยาบ ไปหาจินตภูมิละเอียด โดยวิญญาณที่มาจากจินตภูมิด้านใด ก็จะไปพักรอในย่านที่ตรงกับ คลื่นวิญญาณของตนมากที่สุดเป็นหลัก
ที่ใช้คำว่า ครอบฟ้า ก็เนื่องจาก วิญญาณจะถูกกักไว้ ที่ศูนย์กลางของครอบฟ้า โดยมีอาการเหมือนหลับฝันนิ่งอยู่ แล้ววิญญาณจะจมอยู่กับความทรงจำเดิมๆ ที่ผุดพรายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงมีลักษณาการเหมือนกับวิญญาณ มองเห็นรอบตัวได้ 360 องศา รอบทิศทาง เหมือนเป็นทรงกลม สุดแล้วแต่ความเคยชินเก่าของวิญญาณเหล่านั้น อย่างเช่น วิญญาณของคนในดาวโลกแห่งทอเรีย ที่รับรู้ทุกอย่างเป็นแบบ ครอบฟ้าครึ่งทรงกลม
เพราะมนุษย์ในดาวโลก อาศัยอยู่บนพื้นดาวเคราะห์ ที่เป็นแผ่นดินแข็ง จึงเห็นรอบตัวได้แค่หนึ่งครอบฟ้าเท่านั้น ขณะที่วิญญาณจากดาวดวงอื่น อาจอาศัยอยู่ในอากาศ อย่างเช่นดาวแก้สยักษ์ พวกเขาก็อาจมองเห็นแบบ ครอบฟ้าทรงกลมเต็มได้ การที่ต้องนำพาวิญญาณมากักไว้ในครอบฟ้า ก็เพื่อไม่ให้วิญญาณถูกรบกวน หรือไปสร้างผลกระทบต่อโลกภายนอก ในระหว่างพักรอให้ครบอายุขัย
ประเภทของครอบฟ้าวิญญาณนั้น แบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นกับลักษณะของวิญญาณแต่ละกลุ่ม แต่ที่เป็นกลุ่มหลักๆ พอจะแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มคือ กลุ่มที่ 1 ครอบฟ้าเดี่ยว จะเป็นครอบฟ้าวิญญาณทั่วไป ที่ใช้กักดวงวิญญาณ เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นวิญญาณคนตายธรรมดาทั่วไป ที่ยังไม่รู้ตัวว่าตนตายแล้ว
กลุ่มที่ 2 ครอบฟ้ารวม เป็นครอบฟ้าวิญญาณขนาดใหญ่ ที่มีดวงวิญญาณมาอยู่รวมกันมากกว่าหนึ่ง มีขนาดใหญ่เล็กตามปริมาณวิญญาณ ที่มาอยู่รวมกันนั้น โดยจะมีสภาพเหมือน ฉากเหตุการณ์ก่อนตาย ของวิญญาณเหล่านั้น ซึ่งมักจะเกิดจาก โศรกนาฏกรรมแบบตายหมู่ ที่มีคนตายพร้อมกันจำนวนมากๆ โดยจะเป็นเฉพาะวิญญาณที่ยังไม่ถึงอายุขัยเท่านั้น และล้วนยังไม่รู้ตัวว่าตนตายแล้ว
กลุ่มที่ 3 ครอบฟ้าอาศัย เป็นครอบฟ้าวิญญาณ ที่กักเฉพาะวิญญาณหนึ่งเดียว แต่รู้ว่าตนตายแล้ว ครอบฟ้าเหล่านี้ จึงมีสภาพเหมือนสถานที่พักดั้งเดิม ที่ดวงวิญญาณเหล่านั้นจากมา พวกเขามิได้หยุดนิ่งกับที่ แต่สามารถเคลื่อนไหวทำกิจกรรม อยู่ภายในครอบฟ้าของตนนั้น
กลุ่มที่ 4 ครอบฟ้ากักกัน เป็นครอบฟ้าวิญญาณ ที่ใช้กักวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว เป็นพวกที่รู้ตัวว่าตายแล้ว และมีอิทธิมโน ทั้งที่เกิดจาก การปฏิบัติบำเพ็ญ หรือ พวกที่มีเจตจำนงอันแรงกล้า ตั้งแต่ก่อนตาย ครอบฟ้าเหล่านี้ ต้องควบคุมดูแลอย่างรัดกุมแน่นหนา ภายในครอบฟ้า อาจเป็นเหมือนครอบฟ้าอาศัย หรือ แดนกักขัง ที่วิญญาณต้องถูกตรึง หรือ ผนึก เอาไว้ แล้วแต่ความแรงกล้าของอิทธิมโนที่มี
(ไขรหัสลับปริศนา ep.1 สัดส่วนวิญญาณ)
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ไขรหัสลับปริศนา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย