30 มิ.ย. 2023 เวลา 13:25 • ปรัชญา

จักรวาลทั้งสาม

หลายคนอาจได้พบเห็น หรือสัมผัสกับปรากฏการณ์ ที่แปลกประหลาด และไม่สามารถหาคำตอบ ที่เหมาะสมให้แก่ตนเองได้ จนกลายเป็นความสงสัย ที่ค้างคาอยู่ในใจ โดยไม่รู้ว่า จะไปหาคำตอบได้จากที่ใด และบ่อยครั้งที่ประสบการณ์เหล่านั้น เป็นเหมือนสัมผัส ที่ผ่านเข้ามา ในมิติภาวะของโลกปกติ แต่กลับไม่อาจควบคุม หรือกระทำซ้ำปรากฏการณ์เดิมนั้นได้ นั่นคือสาเหตุที่ผู้ซึ่งอ้างตน เป็นนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่ง เร่งรีบปฏิเสธทันทีว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เพราะไม่สามารถทดลองซ้ำได้
โดยอาจหลงลืมในข้อเท็จจริงที่ว่า ปรากฏการณ์เหล่านั้น จะเป็นอะไรก็ตาม แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริง และหลายเรื่อง ก็มีพยานรู้เห็นจำนวนไม่น้อย การที่ไม่สามารถอธิบาย บางสิ่งบางอย่างได้ ในทางวิทยาศาสตร์ที่แท้ ซึ่งตั้งอยู่บนหลัก ของเหตุและผล ย่อมไม่ด่วนตัดสินแต่ประการใด เพราะทุกปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นคือข้อเท็จจริง ที่ไม่อาจปฏิเสธ การศึกษาค้นคว้า เพื่อหาคำตอบอย่างเป็นระบบ จึงน่าจะเป็นกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ที่สมควรกระทำมากกว่า
ที่น่ายินดีประการหนึ่งก็คือ แนวโน้มของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เริ่มมีความโน้มเอียง ที่จะเปิดใจยอมรับ ในปรากฏการณ์พิเศษต่างๆ ซึ่งยังไม่สามารถหาคำอธิบาย ที่เป็นรูปธรรมได้ อย่างน้อยวิทยาศาสตร์บางสาขา ดังเช่น ฟิสิกส์ และชีววิทยายุคใหม่ ก็เริ่มที่จะเปลี่ยน โลกทัศน์มุมมองต่อธรรมชาติ ในทางฟิสิกส์โดยเฉพาะสาขาควอนตัม ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นฟิสิกส์สาขาเดียว ที่ค่อนข้างจะให้คำอธิบาย ต่อปรากฏการณ์ทางนามธรรม ได้เป็นอย่างดี
ด้วยหลักทฤษฎีความไม่แน่นอน ของไฮน์เซ็นเบิร์ก ได้เปลี่ยนมุมมองของฟิสิกส์โบราณ ที่กำหนดให้ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีกฏเกณฑ์ตายตัว กลายมาเป็นเพียง ความน่าจะเป็นอย่างหนึ่ง และมองสรรพสิ่งเป็นเพียง กลุ่มหมอกของอิเลคตรอน ที่ไม่อาจคาดเดาพฤติกรรมใดๆ ได้
ในขณะที่สายชีววิทยายุคใหม่ ในสาขาชีวพันธุกรรมนั้น เมื่อพัฒนาการองค์ความรู้เกี่ยวกับ รหัสมูลฐานของชีวิต ได้รับการศึกษา อย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น นักชีวะเหล่านั้นเริ่มแปลความหมาย ของชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก เพราะมันได้ทำลายอัตตวิสัย ที่แรงกล้าของความเป็น ตัวตนชัดเจนของมนุษย์ ให้กลายเป็นเพียงรหัสของข้อมูล ที่ปรากฏอยู่ในเกลียวของสารพันธุกกรรม อย่าง DNA เท่านั้น
การเปลี่ยนมุมมองโลกทัศน์ ในทัศนคติแปลกใหม่ที่กล่าวมาข้างต้น จึงโน้มเอียงมามีความใกล้เคียง กับหลักปรัชญาพื้นฐาน ทางซีกโลกตะวันออก อย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งที่โบราณชนในซีกโลกฟากนี้เรียนรู้ และทำความเข้าใจ มาเป็นเวลาเนิ่นนานนับพันปี กลับกลายเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญ ในการทำความเข้าใจจักรวาลยุคใหม่ ซึ่งหลายเรื่องราวที่นักวิทยาศาสตร์ตะวันตก เคยหัวเราะเยาะว่า เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระนั้น บัดนี้มันกลับมีข้อพิสูจน์ ที่เป็นทฤษฎี และสมการทางคณิตศาสตร์
ที่ยากจะปฏิเสธได้ว่า หลักปรัชญาความคิดโบราณดังกล่าว มีประเด็นที่เป็นนัยสำคัญอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และหลายคนเริ่มให้ความสนใจ ที่จะหันกลับมาศึกษาอย่างจริงจัง โดยการทำลายกรอบข้อจำกัด ของทัศนคติที่คับแคบ และหันมาทำการประสานรวม ศาสตร์ความรู้จากสองซีกโลกเข้าด้วยกัน และนั่นจะเป็นสิ่ง ที่จะทำให้พวกเขาสามารถทุะลุทลวง ผ่านข้อจำกัดของสามัญสำนึกปกติ และเข้าถึงความรู้ที่แท้ ของธรรมชาติ และจักรวาลได้ในที่สุด
กล่าวบรรยายมายืดยาว ผู้เขียนเพียงต้องการ ปูพื้นฐานความรู้ โดยการชี้ถึงที่มา ของประเด็นปัญหา และพัฒนาการของโลก ในวงการวิชาการหลายสาขา ที่เริ่มมีแนวโน้ม ในการค้นหาคำตอบ ได้อย่างถูกทาง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะขอให้ท่านผู้อ่าน ที่อาจจะยังติดอยู่กับ ความเข้าใจเดิมๆ ของโลกทัศน์ยุคเก่า และมิได้มีโอกาสติดตาม วิทยาการความรู้ใหม่ๆ ในปัจจุบัน จะได้เกิดความเข้าใจ ที่ตรงกันว่า โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว และคำตอบสำหรับ คำถามทั้งหลายจากนี้ไป
เชื่อว่ามันจะค่อยเผยตัวเองออกมา จากปริศนาที่ถูกมองข้ามไป ในช่วงที่สังคมโลก ได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่เน้น การพัฒนาทางวัตถุแต่อย่างเดียว ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า ในโลกยุคโบราณ มีหลายอารยธรรม ที่สามารถเข้าถึง ข่าวสารความรู้อันเร้นลับ ซึ่งผู้คนในปัจจุบันมองว่า เป็นปริศนา เนื่องเพราะพวกเขา เน้นที่จะอยู่บนพื้นฐานของโลกแห่งวัตถุ ที่จับต้องได้เท่านั้น มันจึงปิดกั้นพวกเขา จากองค์ความรู้ ซึ่งภูมิปัญญายุคโบราณ เคยก้าวข้ามไปแล้ว แต่ปัจจุบันยุคสมัยดังกล่าว กำลังจะหวนคืนมาอีกครั้ง
การที่มนุษย์บางส่วน เริ่มมองข้ามการดำรงอยู่ ของวัตถุที่เป็นตัวเป็นตน โดยเริ่มเข้าใจว่า สรรพสิ่งที่มองเห็น และจับต้องได้อยู่นั้น ลึกเข้าไปในองค์ประกอบย่อยที่สุด ก็มีแต่ความว่างเปล่า ในที่นี้คือว่างเปล่าจากวัตถุทั้งหลาย เพราะฟิสิกส์ยุคใหม่ค้นพบแล้วว่า วัตถุทั้งหลายในธรรมชาติ ล้วนประกอบไปด้วย หน่วยย่อยที่เรียกกันว่า โมเลกุลของสสาร
และโมเลกุลเหล่านั้น ก็เป็นเพียงพันธะทางเคมี ระหว่างอะตอมของธาตุชนิดต่างๆ โดยธาตุเหล่านั้น ก็ยึดโยงกันอยู่ด้วยแรงพื้นฐาน ทางนิวเคลียของอนุภาค อย่างน้อยสามชนิด นั่นคือ มีนิวตรอน และโปรตรอน เกาะกันแน่นเป็นแกนกลาง หรือนิวเคลียส และมีอิเลคตรอน หมุนวนอยู่โดยรอบ จนกลายเป็นกลุ่มหมอก ที่หนาแน่นห้อมล้อมเอาไว้ และอนุภาคเหล่านี้ ก็ประกอบไปด้วยอนุภาคย่อย อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
แม้ปัจจุบันจะค้นพบ อยู่ในจำนวนไม่มากนัก ขณะที่อนุภาคย่อยเหล่านั้น ก็แบ่งย่อยลงไปได้ อีกหลายระดับชั้น จนในที่สุดก็เป็นเพียง สภาวะที่ว่างเปล่า ซึ่งทางฟิสิกส์เรียกมันว่า สูญญากาศควอนตัม หรือสภาวะที่ว่างเปล่ายิ่งยวด แต่เปี่ยมด้วยพลังงานปริมาณสูง ที่พร้อมจะก่อเกิด อนุภาคย่อยชนิดต่างๆ ขึ้น
ในส่วนของสูญญากาศควอนตัมนี้เอง ที่ถือได้ว่าเป็นพรมแดนระหว่าง โลกแห่งสสารและพลังงาน ซึ่งผู้เขียนจะบรรยายถึงต่อไป ตอนนี้จะขอวกกลับไป ที่เรื่องของกลุ่มหมอกอิเลคตรอน เพื่อขยายความให้ท่านผู้อ่าน ติดตามผู้เขียนได้ทัน โดยจะขอพูดถึงที่มาของคำว่า กลุ่มหมอก เพราะเหตุใดจึงใช้คำนี้ เรื่องราวทั้งหมดก็มาจากทฤษฎี ความไม่แน่นอนของไฮน์เซ็นเบริก ที่กล่าวอ้างมาข้างต้น เนื้อหาในทฤษฎีนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่บอกว่า ไม่สามารถระบุพฤติกรรม หรือตำแหน่งที่อยู่ของอิเลคตรอน ได้อย่างแน่นอน
จนกว่าจะมีการกำหนด เงื่อนไขของการสังเกตุ ที่จำกัดเป็นกรณีๆ ไป ดังเช่นการระบุระดับของพลังงาน ค่าใดค่าหนึ่ง จึงจะบอกได้ว่า พฤติกรรมของอิเลคตรอน ในภาวะนั้นๆ มีความน่าจะเป็นเช่นใดบ้าง ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่า ในปัจจุบันยังไม่สามารถ มีเครื่องมือตรวจวัดใดๆ ที่เล็กกว่าอิเลคตรอน อุปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุด ในการใช้ขยายดูสิ่งที่เล็กย่อยต่างๆ ก็ใช้พื้นฐานของการยิง ลำอิเลคตรอนเข้าไป ตกกระทบกับวัตถุเหล่านั้น และตรวจรับผลที่สะท้อนกลับมา ซึ่งไม่เท่ากันในการแปร เป็นสัญญาณภาพให้เห็น
ด้วยเหตุนี้หากใช้อุปกรณ์ดังกล่าว ที่เป็นลำของอิเลคตรอน มาตรวจสอบพฤติกรรม ของอิเลคตรอน ด้วยหลักของโมเมนตัม เมื่อยิงลำอิเลคตรอนเข้าไป มันไม่เพียงไม่สามารถ ตรวจวัดผลอะไรได้ แต่กลับจะเข้าไปรบกวนระบบดั้งเดิม ที่กลุ่มอิเลคตรอนเหล่านั้นเป็นอยู่ จนทำให้ระบบทั้งหมดเสียสมดุลย์ จึงไม่อาจวัดค่าใดๆ ที่ถูกต้องได้ เพราะจะไม่ได้ค่า ที่เป็นพฤติกรรมปัจจุบัน ของกลุ่มอิเลคตรอนนั้น
และผลของการที่ไม่สามารถ ตรวจสอบได้โดยตรงนี้ นักฟิสิกส์จึงมองกลุ่มของอิเลคตรอน เป็นเหมือนกลุ่มหมอกที่คลุมเครือ ไม่สามารถสังเกตุการณ์ผ่านเข้าไปได้ การประเมินผลทั้งหมด จึงทำได้ในระดับ ของความน่าจะเป็นเท่านั้น และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ยิ่งลงลึกไปถึงระดับ ของอนุภาคย่อย ที่ประกอบขึ้นเป็นอิเลคตรอน หรืออนุภาคอื่นๆ จึงยิ่งยากที่จะคาดเดา พฤติกรรมที่แน่นอนได้ จนกลายมาเป็นหลักการพื้นฐาน ของการเกิดจักรวาลคู่ขนานขึ้น
เพื่อให้ท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจ เกี่ยวกับจักรวาลคู่ขนาน ผู้เขียนก็จะขอขยายความไว้ เป็นพื้นฐานสักเล็กน้อย เรื่องของจักรวาลคู่ขนานนั้น ปัจจุบันมีการแบ่งประเภทออกไป หลากหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ผู้เขียนจะขอพูด ในองค์รวมที่คล้ายกันคือ ตามหลักการของ ทฤษฎีจักรวาลคู่ขนานนี้ เชื่อกันว่า นอกจากโลกที่เราดำรงอยู่นี้ ยังมีมิติของโลกอื่นๆ ซ้อนกันอยู่กับโลกของเรา และสาเหตุที่ทำให้เกิดโลกต่างๆ เหล่านี้ขึ้น ก็เนื่องมาจากหลักความไม่แน่นอน หรือการเป็นเพียงความเป็นไปได้ ดังกล่าวข้างต้น
ดังนั้นเมื่อในกลุ่มหมอกอิเลคตรอนแต่ละกลุ่ม มีความเป็นไปได้มากมาย ที่จะเกิดขึ้นอย่างหลากหลาย และเพราะอิเลคตรอนเป็นส่วนหนึ่ง ในองค์ประกอบพื้นฐานของธาตุ ที่ก่อเกิดเป็นสสารและสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้สรรพสิ่ง จึงย่อมหลากหลายตาม จนทำให้เกิดมิติของโลกที่มีความแตกต่าง ของพฤติกรรม และรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน เป็นธรรมดา
ด้วยเหตุนี้นักฟิสิกส์จึงเชื่อว่า น่าจะมีโลกจำนวนมาก ที่คู่ขนานกันอยู่ โดยอาจมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ไปจนถึงแตกต่างกัน อย่างตรงกันข้ามเลยทีเดียว และหากอาศัยหลักความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวเนื่องกัน อย่างไม่อาจแบ่งแยกได้ของควอนตัม เพราะสรรพสิ่งล้วนมีกำเนิดมาจาก สูญญากาศควอนตัมเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ทั้งรูปธรรมที่เป็นสสารวัตถุ และความคิดที่เป็นนามธรรม ของอารมณ์ความรู้สึกนั้น ย่อมไม่อาจแยกขาดจากกันได้ โดยเฉพาะบางปรัชญายังเชื่อว่า ความคิดนั้นควบคุมวัตถุ หรือสร้างสรรค์วัตถุขึ้นได้ ด้วยคติความเชื่อนี้ นักฟิสิกส์สายจักรวาลคู่ขนาน จึงมีความคิดว่า เป็นไปได้ที่ความคิด จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ของอนุภาคย่อย และอิเลคตรอนในกลุ่มหมอกนั้นๆ ซึ่งย่อมส่งผลให้ พฤติกรรมของอิเลคตรอน แตกต่างกันไป จนทำให้เกิดเป็นโลก ที่มีพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ตามไปในที่สุด
ตัวอย่างที่น่าจะอธิบายความ ในกรณีนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ สมมติว่าท่านผู้อ่านขับรถ มาใกล้ถึงทางสี่แยก และกำลังตัดสินใจอยู่ ในขณะนั้นความเป็นไปได้ จึงเกิดขึ้นสี่ทางด้วยกัน คือวกรถกลับทางเดิม ตรงไป เลี้ยวขวา หรือเลี้ยวซ้าย ด้วยสภาวะของความคิด ที่เกิดขึ้นนี้เอง จึงได้ก่อเกิดความเป็นไปได้ขึ้น ทั้งสี่มิติภาวะด้วยกัน เพราะไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใด ก็ย่อมก่อเกิดเส้นทางของเหตุการณ์ และกาลเวลาในรูปแบบ ที่แตกต่างกันไปทั้งสิ้น และนี่คือหลักการที่มา ของจักรวาลคู่ขนานแบบพื้นฐานที่สุด
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการนำเรียนท่านผู้อ่าน ให้มีความเข้าใจ ในคติแนวคิดของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เพื่อที่จะปูพื้นให้เห็นว่า ปัจจุบันการพิสูจน์ความเป็นไปได้ของมิติ ที่ต่างออกไปจากชีวิต ในโลกปกติของผู้คนนั้น เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ แม้จะยังเป็นเพียงสมการทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายพัฒนาการทางวิทยาการที่ผ่านมา ก็ล้วนเริ่มต้นมาจากทฤษฎี และหลักการทางคณิตศาสตร์ ดังกล่าวทั้งสิ้น
เมื่อท่านผู้อ่านที่สนใจ และยึดในหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างมั่นคง ได้ทำความเข้าใจ สิ่งที่ผู้เขียนบรรยายมานี้แล้ว ก็เชื่อว่าน่าจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของท่าน ให้เผยกว้างออกไม่มากก็น้อย เพื่อที่จะรองรับสิ่งที่ผู้เขียน จะบรรยายต่อไป ซึ่งอยู่นอกเหนือออกไป จากสิ่งที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน จะสามารถเข้าใจได้ แต่ก็ไม่ถึงกับจะทิ้งห่างกันไปเสียทีเดียว
ผู้เขียนขอเริ่มที่คำถามว่า กำเนิดของสรรพสิ่ง มาจากที่ใดกันแน่ หลายหลักปรัชญา ได้แก้ไขปริศนาข้อนี้ไว้แล้ว โดยยกให้เป็นพลังอำนาจของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่อาจเรียกหาต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า หรือจิตรจักรวาล อะไรก็สุดแล้วแต่ ผู้เขียนคงไม่ขอเข้าไปก้าวก่าย ในคติความเชื่อเหล่านั้น แต่จะขอเสนอทฤษฎีแนวทางใหม่ ให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณา
โดยก่อนอื่นผู้เขียนจะขอแบ่งจักรวาลทั้งหมด ออกเป็นสามระดับด้วยกัน กล่าวคือ จักรวาลแห่งมวลรู้ จักรวาลแห่งมวลพลังงาน และจักรวาลแห่งมวลสาร ต่อไปก็จะค่อยขยายความ แต่ละจักรวาลในรายละเอียด พร้อมการอธิบายถึงความสัมพันธ์ ของจักรวาลทั้งสาม ที่ส่งผลให้ก่อเกิดเป็นสรรพสิ่งต่างๆ ขึ้น ดังที่เราได้สัมผัสพบเห็น กันอยู่ในปัจจุบัน
เริ่มต้นที่จักรวาลแห่งมวลรู้ก่อน โดยจักรวาลนี้ผู้เขียนขอกำหนดให้เป็น สถานที่อันเร้นลับ และกว้างใหญ่ไพศาล ภายในเป็นที่อยู่ของมวลรู้ ที่บริสุทธิ์สะอาด และเรืองรองด้วยรังสีแสง อันวิจิตรตะการตา เป็นจักรวาลของความสมบูรณ์ และเพราะความสมบูรณ์นี้ จึงไม่มีการตัดทอน หรือแต่งเติมสิ่งใดเข้าไปอีก เพราะไม่ตัดและต่อ จึงไม่เกิดข้อบกพร่องใดๆ จักรวาลนี้จึงเข้าถึง ความสมบูรณ์อยู่เช่นนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สภาพที่ไม่มีการแปรเปลี่ยนตลอดกาลนี้เอง ที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นิรันดรภาพ ด้วยเหตุนี้จักรวาลดังกล่าว จึงอาจตรงกับสิ่งที่หลายศาสนาพูดถึง อาทิเช่น ในพุทธศาสนาเรียกว่า นิพพาน ขณะที่ในคริสต์ศาสนา จะหมายถึงชีวิตนิรันดร์ หรือในเต๋าที่เรียกเป็นอมรสถาน คือเป็นอมตะปราศจากความตาย และไม่ว่าจะเรียกหาอย่างไรก็ตามที สิ่งหนึ่งที่ตรงกันก็คือ สภาวะแห่งควาเป็นนิรันดร และการเป็นที่อยู่ ของภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า มวลรู้นั่นเอง
มวลรู้เหล่านี้ไม่ใช่ชีวิต แบบที่เราเข้าใจ แต่ผู้เขียนขอเรียกว่า เป็นชีวิตที่แท้ เพราะพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วย ความรู้ที่มีชีวิตชีวา มีศักยภาพในการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างกว้างขวางตามความเป็นจริง ไร้สิ้นคติและอคติ เพราะปราศจากความคิดปรุงแต่ง จึงไม่มีการเปรียบเทียบ และแบ่งแยก อันเป็นสิ่งบ่อนทำลายความสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้ สิ่งที่อยู่ในจักรวาลนี้ จึงเป็นเพียงแต่ความรู้ ที่มารวมตัวกัน
ต่อไปก็จะขอพูดถึง ที่มาของมวลรู้เหล่านี้ โดยขอกล่าวถึงธรรมชาติภาวะย่อย ที่เป็นองค์ประกอบมูลฐาน ในจักรวาลดังกล่าว นั่นคือ ธาตุรู้อันบริสุทธิ์ และด้วยกลไกวงจร ของธรรมชาติในจักรวาลนี้ เมื่อสภาวะเหมาะสมธาตุรู้เหล่านี้ ก็จะมารวมตัวกันเข้า กลายเป็นมวลรู้รุ่นต่อไป แต่เนื่องจากธาตุรู้เหล่านี้ เป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์พร้อม เป็นนิรันดร์ ผลของการรวมตัว จึงยังคงได้ในสิ่ง ที่เป็นนิรันดร์เหมือนเดิม จึงกล่าวได้ว่า มวลรู้เหล่านี้สืบทอด ความเป็นนิรันดร์ต่อเนื่องมาจาก ธาตุรู้เหล่านั้น
ในขบวนการรวมตัวนี้เอง เมื่อธาตุรู้เข้ามารวมตัวกัน ในสภาวะแรกเริ่ม จนเกิดเป็นสภาวะของมวลรู้ขึ้น แต่ยังไม่สมบูรณ์ ทว่ากลไกการรับรู้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สภาวะในแรกเริ่มนี้ จึงทำให้มวลรู้เหล่านั้นอยู่ในสภาวะ ที่อาจเรียกว่า การหลับฝัน เพราะยังไม่รู้สึกตัว จึงมีสภาพเหมือนหลับอยู่ แต่กลไกความรู้ได้เริ่มทำงานแล้ว จึงเกิดสภาพของความฝันขึ้น และผลจากการฝันของมวลรู้ ที่ยังรวมตัวไม่สมบูรณ์นี้ จึงเป็นที่มาของจักรวาลที่สอง
นั่นคือจักรวาลแห่งมวลพลังงาน โดยจักรวาลนี้ก็เป็นผลพวง จากบทบาทของกระบวนการรับรู้ ที่ไม่สมบูรณ์นั้น เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผู้เขียนจึงขอเรียกมวลรู้เหล่านั้นว่า จิตเดิมคือผู้รู้ที่แท้ ขณะที่จิตเดิมยังหลับฝันอยู่นั้น ย่อมก่อเกิดเป็นตัวรู้ ที่ไม่สมบูรณ์ คือรับรู้ได้แต่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ โดยสภาวะของตัวรู้นี้ขอเรียกว่า วิญญาณ
เมื่อวิญญาณบังเกิดขึ้น ในลักษณาการเดียวกับ ที่เรานอนหลับอยู่บนเตียง และฝันไปว่ามีตัวเราอีกคน ก่อเกิดพฤติกรรมขึ้นในความฝัน จะสังเกตุได้ว่า ในความฝันนั้น คล้ายจะมีมิติภาวะของตนเองด้วย คือสภาพแวดล้อม ที่กายฝันนั้นเข้าไปดำรงอยู่ มิได้มีเพียงกายฝันเดี่ยวๆ ถ้าจะลำดับให้ดี ก็ต้องบอกว่า กายฝันเกิดก่อน และสภาพแวดล้อม จึงบังเกิดขึ้นตามแต่ความทรงจำ หรือความคิดของผู้ที่หลับฝัน
ในกรณีเดียวกันนี้ เดิมทีเมื่อจิตเดิมหลับฝัน และก่อเกิดวิญญาณขึ้น ตอนนั้นยังไม่มีจักรวาลอะไร กระทั่งวิญญาณเริ่มเกิดความสงสัยว่า ตนเป็นใครและอยู่ที่ไหน จึงเริ่มเกิดกระบวนคิดและปรุงแต่ง และเพราะความไม่รู้ จึงต้องสมมติสิ่งต่างๆ ขึ้น จนกลายเป็นโลก หรือจักรวาลส่วนตัว และเมื่อไปพบกับวิญญาณอื่นๆ ก็เริ่มที่จะเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน
เพราะต่างคนต่างสมมติ จึงเริ่มเกิดเป็นความหลากหลาย มีความสวยงามและน่าเกลียด ความใช่และไม่ใช่ ความถูกความผิด ติดตามมา ในเบื้องต้นเนื่องจากยังเป็นเพียง การสมมติในสภาวะที่ละเอียด ไร้รูปลักษณ์ เป็นแต่เพียงคลื่นพลังของความคิด จึงก่อเกิดเป็นจักรวาลแห่งมวลพลังงาน ที่แปรปรวนและซับซ้อน
จากนั้นเมื่อความแปรปรวน จากการสมมติปรุงแต่ง ที่แตกต่างกันเริ่มมีมาก ประเภทต่างคนต่างสมมติ จึงก่อให้เกิดความโกลาหล ที่ไร้ระเบียบ เหล่าวิญญาณที่อยู่รวมกัน จึงเริ่มสมมติกฏเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นใหม่ เพื่อจัดระเบียบของจักรวาล แห่งพลังงานให้เหมาะสม และกฏเกณฑ์เหล่านั้นเอง จึงเป็นกลไกลขับเคลื่อนจักรวาลแห่งมวลพลังงาน และผลพวงของมันมาโดยตลอด
โดยในศาสนาพุทธเรียกว่า กฏแห่งการกระทำ หรือกฏแห่งกรรมนั่นเอง โดยในตอนต้นนั้น เหล่าวิญญาณยังแสดงพฤติกรรมออกมา ในรูปของบทบาท ที่เป็นนามธรรม ผ่านกลไกที่ถูกสมมติขึ้น อีกสามอย่างนั่นคือ ความจำ ความคิด และความรู้สึก ทั้งสามสิ่งนี้เป็นกระบวนการ ที่วิญญาณใช้ในการประมวลผลข้อมูล หลังจากที่ได้รับรู้สิ่งต่างๆ เข้ามา โดยทั้งสามนี้ ผู้เขียนขอรวมเรียกว่าใจ หรือนาม
กระบวนการประมวลผลดังกล่าวของวิญญาณ จะเริ่มที่การรับรู้ เพราะวิญญาณเป็นตัวรู้อยู่แล้ว เมื่อรู้มาก็จะนำไปเปรียบเทียบ กับข้อมูลเก่าที่ตนเคยรับรู้มาก่อน ในส่วนของความจำ จากนั้นจึงนำสิ่งที่รับรู้มาใหม่กับข้อมูลเก่า มาทำการวิเคราะห์ ในกระบวนการที่เรียกว่า ความคิด ก่อนจะสังเคราะห์ขึ้น เป็นความรู้ใหม่ที่เรียกว่า ความรู้สึก ซึ่งจะถูกแสดงออกเป็น พฤติกรรมหรือบทบาทต่างๆ เช่น ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ
โดยส่วนที่แสดงออก ซึ่งพฤติกรรมนี้เอง จะเป็นส่วนที่วิญญาณได้เปิดเผยออก ในเชิงสัญลักษณ์ ให้วิญญาณอื่นได้รับรู้ ในที่นี้จึงขอเรียกว่า กาย หรือรูป โดยที่กายนี้ ถ้าเป็นส่วนที่ยังอยู่ ในจักรวาลของมวลพลังงาน ก็จะตรงกับพวกกายละเอียดต่างๆ แต่ถ้าหยาบลงมา ในอีกจักรวาลหนึ่งที่เป็นมวลสาร กายนี้ก็อาจปรากฏมา ในรูปของมนุษย์หรือสัตว์
สรุปแล้วจักรวาลแห่งมวลสาร ก็เป็นเพียงหนึ่งในสมมติ ของวิญญาณนั่นเอง โดยอาจจะเรียกว่าโลกธาตุ หรือเอกภพ ซึ่งเริ่มปรากฏสภาพของมวลสารที่หยาบกว่า ขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง และเมื่อมวลสารถูกสร้างขึ้น โดยองค์ประกอบแห่งการสมมติ มันจึงไม่คงที่ เมื่อเหตุอันเป็นองค์ประกอบเปลี่ยน มวลสารจึงแปรปรวนตามไป จนเป็นสาเหตุของวงจร แห่งการเกิดตายอันไม่จบสิ้น
แม้แต่กายที่รวมตัวขึ้นจากมวลพลังงาน ก็ไม่คงที่เช่นกันเพราะคลื่นพลังงาน ก็ล้วนเกิดจากการสมมติขึ้นของวิญญาณ เมื่อสมมติเปลี่ยนไป กายที่เป็นผลพวง ก็ย่อมแปรเปลี่ยนตามไป และนี่ก็คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า สังสารวัฏฏ์ หรือการเวียนว่ายตายเกิด อันไม่สิ้นสุด โดยวิญญาณทั้งหลาย จะยังคงดำรงอยู่สืบไป กระทั่งธาตุรู้รวมตัวสมบูรณ์ และมวลรู้นั้นพร้อมจะเข้าใจ ในความจริงแท้ เมื่อใดที่ได้รับการชี้แนะที่เหมาะสม จนมวลรู้นั้นเกิดความเข้าใจว่า ที่แท้ตนมิได้เป็นเพียงตัววิญญาณในฝัน แต่เป็นคนที่นอนอยู่
เมื่อนั้นมวลรู้ย่อมรู้สึกตัว เหมือนลืมตาตื่นขึ้น ความฝันทั้งหลาย จึงย่อมเลือนหายไปเป็นธรรมดา และมวลรู้นั้นก็จะพบว่า ความจริงตนไม่เคยไปไหน แต่อยู่ในจักรวาลของพวกตน มาโดยตลอด และสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ล้วนเป็นความฝันเพียงตื่นหนึ่งเท่านั้น ดังที่ในพุทธศาสนาใช้คำว่า พุทธะคือผู้ที่ตื่นขึ้นในนิรันดรภาพ หรือนิพพาน และคริสต์ศาสนาก็ใช้คำว่า ฟื้นคืนกลับมาสู่ความเป็นชีวิตนิรันดร์
สำหรับคำถามที่ว่า แล้วธาตุรู้เหล่านั้นเกิดมาจากอะไร ผู้เขียนก็ต้องยอมรับว่า จากญาณสัมผัสที่รับได้นั้น กล่าวกันว่า เมื่อธาตุรู้เป็นความสมบูรณ์ จึงเป็นนิรันดร์ไม่มีการเกิดดับ และคงอยู่เช่นนั้นมาโดยตลอด แต่ตัวของมวลรู้นั้น สามารถสลายตัวเอง คืนกลับเป็นธาตุรู้ได้ถ้าต้องการ ไม่เช่นนั้นก็จะคงอยู่อย่างนั้นไปชั่วนิรันดร์
แต่เรื่องนี้ผู้เขียนคิดว่า ไม่น่าจะเป็นปัญหา ขอเพียงท่านผู้อ่าน สามารถตื่นขึ้นในมวลรู้ หรือจิตเดิมของตน เมื่อนั้นท่านย่อมสามารถ เข้าถึงสภาวะแห่งนิรันดร์ และท่านย่อมมีเวลา ที่จะค้นหาคำตอบเหล่านี้ได้ไม่จำกัด นี่อาจเป็นเหตุที่หลายศาสนา เน้นให้ออกไปสู่ความเป็นนิรันดร์ได้ก่อน ที่เหลือท่านค่อยไปหาคำตอบเอาเองในที่นั้น
(ไขรหัสลับปริศนา ep.2 จักรวาลทั้งสาม)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา