15 ก.ค. 2023 เวลา 10:23 • ปรัชญา

สวมองค์ทรงกาย

บทความนี้ถูกเขียนขึ้น เพื่อตอบโจทย์เกี่ยวกับ การเข้าองค์ทรงเจ้า ที่มีคนจำนวนมากให้ความสนใจ ทั้งในกรณีที่เป็นความเชื่อ ความศรัทธาอย่างจริงจัง หรือที่เป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด โดยผู้เขียนจะขอนำเอา ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งในส่วนที่ได้พบเห็นด้วยตัวเองโดยตรง หรือจากการรับรู้ รับฟังมาจากผู้รู้ท่านอื่นๆ ที่มีข้อมูลในเรื่องเหล่านี้
เพื่อรวบรวมมา ทำการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ก่อนจะสังเคราะห์ ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ ที่จะสามารถใช้อธิบายแต่ละกรณี ของการสวมองค์ทรงกายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะวิธีแก้ไข ซึ่งได้ผ่านการพิสูจน์ ใช้งานจริงมาแล้วอย่างได้ผล จากคำสอนของครูบาอาจารย์
เริ่มต้นก็คงต้องมา ทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไป และเหตุผลของการเกิดปรากฏการณ์ ที่เป็นเสมือนการร่วมใช้อายตนะ หรือประสาทสัมผัสในร่างเดียวกัน ของจิตวิญญาณที่มากกว่าหนึ่ง โดยในกรณีนี้จะเน้นไป ที่กายมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การสวมอายตนะนี้ พวกวิญญาณสามารถใช้ กับร่างของสัตว์ได้ด้วย และผู้เขียนก็เคยได้พบเห็นมาในหลายกรณี โดยเฉพาะในเรื่องเล่า หรือข่าวคราวจากหลายที่หลายทาง ทั้งในและต่างประเทศ
ที่มีการพูดถึงกรณีของ สัตว์ที่เหมือนจะมีการสิงสู่ ของวิญญาณอื่นไว้ในร่าง และถูกใช้สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ให้แก่ผู้คนทั่วโลกมาแล้ว ในบรรดาสัตว์เหล่านี้ต้องบอกว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีอายตนะในด้านนี้ ที่เร้นลับเอามากๆ และยังเป็นไปในสองทางด้วยกัน คือมันสามารถสื่อสาร หรือรับสัมผัสกับสิ่ง ที่อยู่นอกเหนือมิติสามัญของมนุษย์ ขณะเดียวกันมันก็อาจถูกใช้ เป็นทางผ่านสำหรับสิ่งที่อยู่ภายนอก เพื่อเข้ามาแสดงบทบาท ในมิติสามัญนี้ด้วย
อารยธรรมโบราณหลายยุคสมัย จึงล้วนมีจารึกเกี่ยวกับ ความสามรถพิเศษของแมวเหล่านี้ ที่ดูจะเป็นหลักฐานชัดเจน คงหนีไม่พ้นอารยธรรมของอียิปต์โบราณ ที่มีเรื่องราวของแมว อยู่ในจารึกหลายฉบับของพวกเขา ที่ยังตกทอดมาถึงปัจจุบัน แต่ตอนนี้เราจะขอพัก เรื่องของสัตว์ไว้ก่อน ที่ยกมาก็เพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า การสวมกาย หรือการร่วมใช้อายตนะนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพียงมนุษย์เท่านั้น แม้แต่สัตว์เองก็สามารถถูกกระทำ ในลักษณะดังกล่าวได้เช่นกัน ส่วนในกรณีของคน
เราจะมาดูกันว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิด ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ขึ้น ความจริงแล้วเหตุปัจจัยเดียวกัน ที่จะพูดถึงนี้ก็สามารถอนุโลม ไปใช้กับสัตว์ได้ด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีกฏข้อห้ามใดๆ เพราะวิญญาณของคน ที่ตายไปแล้วก็อาจไปสิงสู่ในสัตว์ และวิญญาณสัตว์ก็สามารถ เข้ามาสวมความรู้สึกในตัวคนได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ในชีวิตหลังความตาย วิญญาณที่เป็นมวลพลังงาน ย่อมไม่มีการจำแนก เป็นคนหรือสัตว์อีก แต่เป็นเพียงมวลพลังงาน ที่สามารถแทรกแซง เข้าไปอยู่ในที่ต่างๆ หากปัจจัยแวดล้อมนั้นเกื้อหนุน
สาเหตุของเรื่องทั้งหมด ย่อมหนีไม่พ้น ความยึดโยงผูกพันระหว่างกัน หรือกรรมสัมพันธ์ ที่มีร่วมกันระหว่างจิตวิญญาณ ที่จะมาขอร่วมใช้ร่างกับเจ้าของร่าง ซึ่งบางครั้งอาจเป็นข้อตกลง หรือสัญญาที่ทำกันไว้ ตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิใดก็ตาม เช่น มีหมอสองคนที่มีอุดมการณ์ จะช่วยเหลือรักษาพยาบาลผู้อื่น จึงมีข้อตกลงใจกันว่า จะร่วมกันช่วยรักษาผู้อื่นตลอดไป
ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิไหน เมื่อแรงอธิษฐาน หรือความตั้งใจของทั้งสอง ยังมีกำลังแรงพอ ก็ย่อมส่งผลไปทุกภพชาติ ที่ได้พบเจอกัน จนกว่าจะสิ้นแรงกรรม ด้วยเหตุดังนี้ เมื่อคนหนึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่อีกฝ่ายเป็นเทพหรือพรหม ก็ย่อมสามารถอาศัย แรงปฏิญาณดังกล่าว เข้ามาสื่อสารเพื่อสางต่อ อุมการณ์ของพวกตนต่อไปได้ ในการช่วยรักษาคน ที่เจ็บป่วยได้ไข้ทั้งหลาย
ในอีกกรณีหนึ่ง จะเป็นในลักษณะที่ตรงกันข้าม คือพวกที่ชอบหลอกลวงชาวบ้าน พวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่จิตวิญญาณ ระดับเทพขึ้นไป แต่มักจะอยู่ในภพภูมิของอบาย ที่อยู่ใกล้มิติของมนุษย์ เช่น พวกเปรต อสุรกาย หรือพวกสัมภเวสี ที่กำลังแสวงหาแดนเกิด พวกนี้เมื่อมาพบเจอ คู่สัญญาในอดีตชาติ จึงมักจะร่วมกันเข้าทรง และมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด ในลักษณาการต่างๆ เพื่อทำให้คนหลงเชื่อ และเน้นแสวงประโยชน์ ใส่พวกตนเป็นหลัก
จากตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่หลากหลายมาก สุดแล้วแต่ผู้ที่อธิษฐาน หรือตั้งใจมานั้น จะมีจุดประสงค์โน้มเอียง ไปในทางด้านใด ถ้าจะมานั่งสาธยายกัน ถึงทุกลักษณะคงไม่เหมาะสมนัก กับเนื้อที่อันจำกัดนี้ เอาเป็นว่า ผู้เขียนขอสรุปประเภท การสวมองค์ทรงกายหลักๆ ที่มีการแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบทั่วไป กล่าวคือ การสื่อญาณ ประสานกาย และนายอายตนะ
ในรูปแบบแรกนั้นเรียกว่า การสื่อญาณ ซึ่งถือกันว่าเป็นการสื่อสาร ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ในด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล เพราะทั้งผู้ให้และผู้รับ ล้วนมีสติความรู้ตัว ที่บริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่วงเวลาใด ที่จะหลงเพลินขาดสติ เพราะเป็นการดำเนินอยู่ ในสมาธิจิตระดับฌาณ ที่มีความหนักแน่นมั่นคง ด้วยเหตุนี้ การสื่อญาณจึงจะทำได้ ก็เฉพาะคนที่สามารถฝึกสมาธิ จนได้ณาณและญาณทัศนะ ในการหยั่งรู้แล้วเท่านั้น
อีกทั้งผู้ที่สื่อญาณลงมา ก็มักจะเป็นจิตวิญญาณ ระดับเทพขึ้นไป ซึ่งล้วนมีความบริสุทธิ์สูงส่ง กว่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ทำให้ความรู้ที่ท่านชี้แนะมาให้ มีความน่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา ชาวมนุษย์ไม่มากก็น้อย ที่สำคัญผู้ที่รับสื่อญาณ จะทำได้ก็เมื่อจิตอยู่ในสมาธิ เขาจึงได้รับองค์ความรู้ที่สมบูรณ์พร้อม มีความถูกต้องและครบถ้วน ทั้งเนื้อหาและสาระ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขออุปมาการสื่อสาร ระหว่างจิตวิญญาณ ให้เป็นเหมือน การร่วมใช้รถคันเดียวกัน กล่าวคือ ให้รถเปรียบเหมือนร่างกาย และผู้ขับก็คือ จิตวิญญาณเจ้าของร่าง ขณะที่ผู้ร่วมใช้รถอีกผู้หนึ่ง เป็นจิตวิญญาณ ที่ต้องการร่วมสื่อสารด้วย ในกรณีของการสื่อญาณนี้ จึงพอจะเทียบเคียงได้ว่า เหมือนคนที่เป็นเจ้าของรถ ขับรถของตนไปในสถานที่หนึ่ง
เพื่อทำธุระให้กับเพื่อนอีกคน ที่ทำงานร่วมกัน แต่ไม่ได้อยู่ในรถด้วย โดยทั้งสองได้สื่อสารกัน ผ่านทางโทรศัพท์ และเพื่อนผู้นั้นก็เป็นคน ที่รู้เส้นทางเป็นอย่างดี จึงได้ชี้แนะเส้นทาง ให้ผู้เป็นเจ้าของรถ ขับตามไปจนถึงจุดหมาย ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ตัวเจ้าของรถเอง ย่อมสามารถจดจำ ทั้งเส้นทางที่รถวิ่งไป ตลอดถึงเรื่องราวทั้งหมด ที่สนทนากันมาตลอดทาง นี่คือลักษณะของการสื่อญาณ
ผู้เขียนยอมรับว่า การสื่อญาณประเภทนี้ จะทำได้ยากกว่า การสื่อสารรูปแบบอื่น แต่ต้องถือว่า เป็นการสื่อสารที่ถูกต้อง และปลอดภัยที่สุดทั้งสองฝ่าย เพราะจิตวิญญาณของเทพพรหม ก็ไม่ต้องเสี่ยงลงมาวุ่นวาย ในโลกมนุษย์ เพราะหากไม่จำเป็น พวกท่านก็ไม่ประสงค์ จะเข้ามาอยู่แล้ว ประการที่สองผู้รับสื่อญาณ ก็จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีอาการแปลกปลอมอื่นใด ที่อาจส่งผลให้เสียสุขภาพได้ ที่สำคัญยังต้องเป็นคน ที่มีสุขภาพจิต หรือศักยภาพแห่งจิต ที่สูงเยี่ยมด้วย จึงจะสื่อสารในรูปแบบนี้ได้
การสื่อสารประเภทที่สอง เรียกว่า การประสานกาย ในรูปแบบนี้อาจถือว่า เป็นการพบกันครึ่งทาง ระหว่างผู้สื่อสารกับผู้รับการติดต่อ ปกติแล้วในกรณีนี้ ผู้ที่สื่อสารยังคงเป็นระดับเทพขึ้นไป ดังนั้นผู้เป็นเจ้าของร่าง ที่จะรับการสื่อสารนั้น จึงจำต้องเป็นคน ที่มีศิลธรรมอันดีระดับหนึ่ง ไม่ใช่คนที่เลวทรามต่ำช้ามีจิตใจชั่วร้าย ไม่เช่นนั้นจิตวิญญาณระดับเทพ จะไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เพราะความรังเกียจในบาปเวร ที่คนเหล่านั้นกระทำอยู่เป็นปกติ
เนื่องจากเทวธรรม หรือธรรมที่ทำให้เข้าถึง ความเป็นเทพนั้นคือ หิริโอตัปปะ หรือความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป ด้วยหลักธรรมดังกล่าวนี้ จึงเป็นเหมือนข้อบังคับไป โดยปริยายว่า ร่างที่เทพจะเข้ามาใกล้ชิด หรือสวมร่างได้นั้น จะต้องเป็นคนดีมีศิลธรรม ที่อยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับ เทวธรรมเท่านั้น
คือต้องเป็นคนที่มีความละอายต่อบาป และไม่กระทำในสิ่ง ที่เป็นกรรมชั่วทั้งหลาย ด้วยหลักการนี้ แม้จะยังคงอยู่ในภพภูมิของมนุษย์ แต่จิตวิญญาณของเขา ก็ได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ความเป็นเทพแล้ว จึงทำให้สามารถ สื่อสารกันได้อย่างลงตัว
ที่กล่าวว่า การประสานกาย เป็นการพบกันครึ่งทางนั้น ก็เพราะมีการมาสวมกาย และร่วมใช้อายตนะกัน โดยตรงจริงๆ เพียงแต่เจ้าของร่าง ยังมีสติรู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ไม่สามารถควบคุมอิริยาบท หรือพฤติกรรมของตัวเองได้ นอกนั้นก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่าง ในกรณีนี้คนที่มีสมาธิจิต ถึงขั้นฌาณจะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้
กล่าวคือ เทพไม่อาจมาสวมกายได้ เพราะมีสิทธิอำนาจ ที่เหนือกว่าขั้นเทพขึ้นไปแล้ว คือดำรงอยู่ในฐานะ ที่เทียบเท่ากับชั้นพรหม เนื่องจากฌาณสมาบัติที่ทรงไว้ ทำให้สามารถใช้การสื่อสาร ในระดับการสื่อญาณที่กล่าวมาข้างต้น ได้อยู่เป็นปกติแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอาศัย การประสานกายที่กล่าวถึงนี้
อุปมาที่ช่วยขยายความเข้าใจ ให้ชัดเจนสำหรับกรณีการประสานกาย ก็จะขอใช้การเปรียบเทียบ ในกรณีเดียวกับการสื่อญาณ กล่าวคือ เป็นกรณีที่เจ้าของรถ ร่วมนั่งไปด้วยในรถ ที่มีผู้มาสื่อสารเป็นคนขับ ดังนั้นเขาจึงสามารถจดจำ และรับรู้ในทุกเส้นทาง ที่รถเคลื่อนไป รวมทั้งเรื่องราว ที่มีการสนทนากันไปตลอดทาง เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไป ร่วมบงการเส้นทาง ที่รถจะวิ่งไปเท่านั้น
จึงต้องปล่อยให้ขึ้นอยู่กับคนขับจะพาไป และเนื่องจากมีการร่วมใช้อายตนะ และร่างกายโดยตรง จึงย่อมทำให้มีผลกระทบข้างเคียง ไม่มากก็น้อย สุดแล้วแต่ว่า เจ้าของร่างให้ความร่วมมือเพียงใด หากมีการแข็งขืน ก็อาจได้รับผลกระทบ เป็นแรงเสียดทาน จากมวลพลังงาน ที่พยายามแทรกสอดเข้ามา ซึ่งย่อมส่งผลก่อกวน ต่อระบบพลังงานปกติ ของกายมนุษย์เป็นธรรมดา ในทางตรงกันข้ามก็ต้องดูว่า ผู้ที่จะมาสวมร่างเป็นเทพระดับไหน
หากเป็นเทพระดับล่าง ที่มีฤทธิ์อำนาจน้อย ก็อาจไม่สามารถควบคุม สถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ อย่างเป็นปกติ กรณีนี้ก็อาจมีแรงเสียดทาน และความแปรปรวนของพลังงาน ค่อนข้างสูงในระหว่าง การประสานกาย ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า ไม่เป็นผลดีนัก ต่อสุขภาพของเจ้าของร่าง และประสบการณ์ ที่ผู้เขียนพบมา เจ้าของร่างมักจะมีอายุ ไม่ยืนยาวเท่าไร
ในกรณีที่เป็นเทพระดับสูง ที่มีคลื่นพลังงานมาก แต่ผู้รับที่เป็นเจ้าของร่าง ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับได้ อาทิเช่น ระดับของศิลธรรมจรรยาไม่เพียงพอ หรือสุขภาพกายใจอ่อนแอ ก็ไม่ควรจะกระทำ ซึ่งในกรณีนี้เทพชั้นสูงเหล่านั้น จะสามารถเลือกได้ และท่านย่อมไม่เข้ามาประสานกาย ในสภาวะที่ไม่พร้อมเช่นนี้ เพียงแต่หากเจ้าของร่าง ยังฝืนกระทำต้องการ ให้มีการสวมองค์ทรงกาย ก็อาจตกเป็นเหยื่อของจิตวิญญาณชั้นต่ำ ที่รอโอกาสอยู่ได้ ผู้เขียนได้พบในหลายกรณีว่า
บางครั้งร่างทรงในตอนแรกเริ่ม ก็สามารถประสานกายกับเทพ ที่มีความบริสุทธิ์แท้จริง ต่อมาพฤติกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงไป อาจเนื่องมาจากลาภสักการะ และความเคารพบูชาที่ได้ จึงทำให้หลงระเริง เกิดอหังการตัวตนขึ้น จนทำให้ไม่ประพฤติตน อยู่ในศิลธรรมอันดีเหมือนที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนั้นเทพที่เคยมาประสานกาย จึงไม่เข้ามาอีก แต่เจ้าของร่างต้องการ รักษาลาภสักการะต่อไป ก็เลยพาลไปรับเอาวิญญาณชั้นต่ำ เข้ามาสวมกายแทน จนท้ายที่สุดก็ต้องมีอันเป็นไปอย่างน่าเศร้าสลด
การสื่อสารประเภทที่สาม หรือประเภทสุดท้าย ที่จะกล่าวถึงนี้ มีชื่อเรียกว่า นายอายตนะ แปลตามความหมาย ก็เป็นลักษณะของการเข้ามา ยึดครองร่างกายทั้งหมดไปใช้ ทำให้การสื่อสารประเภทนี้ เป็นแบบทางเดียว คือผู้เป็นเจ้าของร่าง จะไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น ในระหว่างที่ถูกครอบครองอายตนะ หรือประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายไว้ ซึ่งปกติแล้วจะถูกกระทำ โดยวิญญาณชั้นต่ำเท่านั้น เหล่าเทพพหรหม จะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวในกรณีนี้
เพราะเจ้าของร่างมักจะไม่ใช่คน ที่มีศิลธรรมจรรยาที่ดี ตรงกันข้ามอาจเป็นคน ที่ฉ้อฉลเลวร้าย ซึ่งสอดคล้องกับคลื่นพลัง ของพวกวิญญาณชั้นต่ำเหล่านั้น ที่มักจะเป็นพวกมิจฉาทิฐิอยู่แล้ว และจุดประสงค์หลัก ของการมายึดครองร่างนี้ ก็เพื่อแสวงหาที่สิงสู่อาศัย บ่อยครั้งที่ผู้เขียนพบว่า วิญญาณเหล่านั้น จะยังคงวนเวียน อยู่รอบกายของร่างทรง แม้จะไม่ได้มีการประทับทรงก็ตามที
ในกรณีนี้ สุขภาพของร่างทรง จึงมักจะทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ เพราะการคลุกคลี กับมวลพลังงานด้านลบ ที่มีผลในการทำลายล้างโดยตรง รวมทั้งพฤติกรรม ก็มีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงไป สู่ความเสื่อมตลอดเวลา อีกทั้งการเข้ามาสวมกาย เพื่อยึดครองอายตนะทั้งหมดนั้น จะทำให้เกิดแรงเสียดทานมหาศาล เพราะเป็นการผิดธรรมชาติสามัญ ที่ร่างเดียวควรจะมีวิญญาณเดียว ครอบครองเท่านั้น
จึงมักจะเป็นเหตุให้เจ้าของร่าง มักมีอาการทางกาย ที่น่าอึดอัดขัดข้องต่างๆ เช่น ปวดหัววิงเวียน อาเจียน ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ปวดแสบตามอายตนะต่างๆ มีหู ตา เป็นอาทิ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า วิญญาณเหล่านี้ จะไม่มีความคิดคำนึง ในสวัสดิภาพของร่างทรงแต่อย่างไร แม้ร่างนี้จะเสียหาย จนใช้การไม่ได้ก็ไม่สนใจ เพราะสำหรับวิญญาณ อันธพาลพวกนี้ เมื่อร่างหนึ่งเสียหาย ก็เพียงเปลี่ยนไป ใช้ร่างอื่นแทนก็เท่านั้น
ในกรณีนี้การอุปมา ก็จะเปรียบเทียบได้ว่า เจ้าของรถมิได้ไปกับรถด้วย คือถูกไล่ให้ลงจากรถ ไปยืนรออยู่ที่ข้างทาง แล้วพวกที่มาสวมกาย ก็พากันนำรถไปขับตระเวณ เที่ยวเล่นจนพอใจ จึงจะนำกลับมาคืน โดยไม่สนใจที่จะช่วยรักษาดูแล ให้รถอยู่ในสภาพดี บ่อยครั้งที่กลับมาเจ้าของจะได้พบ แต่รถที่ชำรุด หรือพังยับเยินมากขึ้นทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ผู้เป็นเจ้าของ
จึงไม่อาจมีส่วนรับรู้ในเส้นทางที่รถไป หรือเรื่องราวทั้งหมด ที่เกิดขึ้นกับรถของตน ที่ใช้คำว่าพวก ก็เพียงต้องการบอกว่า บางครั้งเหล่าวิญญาณชั้นต่ำ ที่มาสวมกายอาจไม่ได้ มีเพียงตนเดียว แต่อาจเข้ามาพร้อมกัน หลายตนก็เป็นไปได้ เพราะพวกนี้ไม่ได้สนใจ ในความปลอดภัยของเจ้าของร่างอยู่แล้ว
หากต้องพบเจอ กับพวกวิญญาณอันธพาลเหล่านี้ หรือไม่ว่าจะเป็นกรณี การสวมกายอื่นใด พึงตระหนักถึงข้อเท็จจริงไว้ว่า เราเป็นเจ้าของร่างที่แท้จริง และนี่คือบุญของเรา ที่นำเรามาเกิดในร่างของมนุษย์ เราเป็นเจ้าของบุญกุศลนี้ เราจึงมีสิทธิ์เต็มที่ ในการครอบครองร่างกายนี้ แม้จะเป็นเพียงการชั่วคราวก็ตาม แต่ในขณะที่เรายังครอบครองอยู่
เราย่อมมีสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์ ในการจะอนุญาติให้ ผู้อื่นผู้ใดมาใช้ร่างของเรา หากเราไม่อนุญาติ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ พึงบอกกับตนเองไว้เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับคนที่มีสภาวะเสี่ยง ต่อการเป็นร่างทรง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราว่า ต้องการให้มีการสวมกายหรือไม่ หากเราไม่ต้องการจริงๆ แล้ว เราย่อมมีสิทธิ์อันสมบูรณ์ ที่จะต่อต้านอย่างเต็มที่
การปฏิเสธที่ว่านี้ใช้ได้ผลมา ในหลายกรณีแล้ว สำหรับคนที่มีกรรมสัมพันธ์ กับวิญญาณอื่นที่จะมาใช้ร่าง แต่เขาไม่ต้องการ ไม่ว่าอดีตจะสัญญากันมาเช่นใด เมื่อปัจจุบันมีความคิดที่เปลี่ยนไป ย่อมถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องของแรงกรรมนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับเจตนา เป็นประการสำคัญ หากเจตนาในปัจจุบัน มีความเข้มข้นและแรงกล้ากว่า ย่อมสามารถพลิกผัน และแปรเปลี่ยนกรรมในอดีตได้ ในกรณีนี้ผู้ที่มีอาการ เหมือนจะถูกใช้ร่างนั้น
หากไม่ต้องการจริงๆ ให้ภาวนาในใจว่า “ไม่มี ไม่จริง ไม่ใช่” ให้ท่องไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการที่เข้ามา แทรกแซงนั้นจะหยุดลง พร้อมการตระหนักรู้ไว้ในใจ ดังที่บอกข้างต้น เราเป็นเจ้าของร่าง เราไม่อนุญาติ ให้คิดย้ำไป พร้อมกับคำภาวนาดังกล่าว ตอนแรกอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่ถ้าเรามีความมุ่งมั่นเพียงพอไม่นาน สภาวะการแทรกแซงจะหยุดไปเอง และต้องบอกว่า นี่เป็นวิชาของพระพุทธเจ้า ดังนั้นแม้แต่เทพพรหมเอง ก็ยังไม่อาจขัดขืน
เหตุที่กล่าวว่า เป็นวิชาของพระพุทธองค์ก็เพราะว่า คำภาวนาดังกล่าวแท้จริง ก็เป็นการแปลความออกมา ในภาษาที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ จากหลักของไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำไว้ ตลอดเวลาว่า สรรพสิ่งในโลกียะ ล้วนตกอยู่ในอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ทั้งสิ้น เพราะสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่ช้าก็เร็ว จึงเรียกว่าอนิจจัง เมื่อไม่เที่ยงจึงคงอยู่ ถาวรตลอดไปไม่ได้ เรียกว่า ทุกขัง
และเพราะเหตุทั้งสองนี้ เมื่อแปรปรวนไม่คงที่ จึงไม่ใช่ตัวตนที่เราจะเข้าไป ให้ความสำคัญมั่นหมาย ยึดถือไว้แต่อย่างไร เรียกว่าอนัตตา โดยอาศัยหลักการทั้งสามนี้เอง เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง แม้มีอยู่เห็นอยู่ก็คล้ายกับไม่มี เมื่อไม่คงที่ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง ท้ายสุดจึงไม่ใช่ตัวตน ที่ควรจะเข้าไปให้ความสำคัญ แต่อย่างไร ดังนั้นโดยย่อแล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือ ไม่มี ไม่จริง ไม่ใช่ นั่นเอง
วิชาของพระพุทธเจ้าก็คือ สัจจธรรมความเป็นจริง พระองค์มิได้ทรงสอนสิ่งใด นอกจากชี้ให้เราพิจารณา และตระหนักรู้สรรพธรรมทั้งหลาย ตามความเป็นจริงเท่านั้น ด้วยหลักนี้ ไม่ว่ากรรมใดในอดีต จะรุนแรงหนักแน่นเพียงใด จะเป็นสัญญา หรือปณิธานที่แรงกล้า ถึงเพียงไหน สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้น หลักแห่งไตรลักษณ์ดังกล่าวไปได้ การภาวนาถึง กฏแห่งไตรลักษณ์ทั้งสาม ไม่ว่า จะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ ไม่มี ไม่จริง ไม่ใช่
ก็ล้วนเป็นการย้ำเน้น ให้ทั้งตัวเรา และผู้ที่เรา เคยมีกรรมสัมพันธ์ไว้ในอดีต และต้องการมาสวมกาย ของเรานี้ไปพร้อมๆ กัน ให้ทั้งเราและเขา ได้ตระหนักรู้ว่า จะมายึดถือจริงจัง อะไรกันนักหนา ในเมื่อแท้จริงแล้ว สรรพสิ่งล้วนไม่มีอยู่ ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ตัวตน ที่แท้แต่อย่างไร จงปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นทั้งหมดนี้ และปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ จากสิ่งติดยึดทั้งหลายนั้น
จากประสบการณ์ของผู้เขียน หลักการนี้ยังสามารถใช้ได้กับกรณีของ ผู้ที่ต้องการปฏิเสธอำนาจแห่งบุพกรรม ที่ตามมาแต่อดีตได้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องของกรรมสัมพันธ์แบบคู่ครอง ที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาส ผู้เขียนเคยพบศิษย์ของท่านอาจารย์ ที่เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ครั้งหนึ่งท่านมาลาอาจารย์ของผู้เขียน เพื่อไปอยู่ที่ต่างจังหวัด และอาจารย์ได้พิจารณาเห็นว่า บุพกรรมของคู่ครองกำลังจะเข้ามา
จึงสอนคำภาวนาดังกล่าวให้ไป เมื่อหลวงพี่ท่านนี้ ไปอยู่ที่ต่างจังหวัดแล้ว ก็พบว่ามีสีกาเข้ามาติดพันคนหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งบุพเพในอดีต จนตัวเองก็เริ่มลังเล กระทั่งนึกถึงคำภาวนาดังกล่าวนี้ได้ จึงเฝ้าภาวนาอยู่ตลอดสามเดือน จนสามารถล่วงพ้นจากอำนาจ ของบุพกรรมนั้นมาได้ และยังสามารถครองเพศ บรรพชิตมาได้จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้วผู้เขียน ยังมีประสบการณ์ในการสอน ให้คนใช้คำภาวนานี้ ในกรณีที่สงสัยหรือเข้าใจว่า ตนถูกของหรือคุณไสย ให้ภาวนาคำดังกล่าวไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำความเข้าใจกับตนเองว่า สรรพสิ่งมีการเกิด และดับเป็นธรรมดา มีเกิดเป็นเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้แม้ไม่มีผู้ใดมากระทำ ร่างที่เกิดมาแล้วนี้ก็ต้องแก่ เจ็บ และตายไปเป็นธรรมดา
เมื่อพิจารณาจนเข้าใจได้ดังนี้แล้ว ก็จงปล่อยวางในธรรม และความรู้สึกทั้งหลาย หากรู้สึกไม่สบาย ก็จงหาทางรักษา ทางกายภาพตามปกติ ไม่ต้องไปคิดฟุ้งซ่านในเรื่องอื่นๆ ให้วุ่นวายไป เมื่อไม่คิดแม้จะโดนของจริง วิญญาณย่อมไม่อาจ สันตติต่อเนื่องไปได้ และเมื่อบทบาทแรกดับ บทบาทใหม่ของวิญญาณ ก็ย่อมไม่ติดสิ่งของเหล่านั้นต่อไปอีก จงจำไว้ว่า หลักแห่งไสยาศาสตร์นั้น ยิ่งยึดมั่นยิ่งมีพลัง แต่หลักพุทธศาสตร์นั้น ยิ่งปล่อยวางยิ่งมีพลัง
(ไขรหัสลับปริศนา ep.3 สวมองค์ทรงกาย)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา