27 ก.ค. 2023 เวลา 19:25 • ปรัชญา

พหุภพคู่ขนาน

ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามอ่านบทความ และแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของจักรวาลคู่ขนาน (Parallel universe) มาหลายครั้งหลายครา ทั้งในหนังสือบทความและอินเตอร์เน็ท แต่กลับยังไม่พบว่า มีคำอธิบายในเรื่องของกรรมและการสนองผลของกรรม ต่อบุคคลในจักรวาลนั้นๆ แต่อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า คนๆ หนึ่งเผลอขับรถด้วยความประมาทแล้วไปชนคนตาย
เขาย่อมได้ชื่อว่าได้กระทำอกุศลกรรมที่ต้องได้รับผลในอนาคตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ประเด็นคือถ้าเขาเกิดสำนึกผิด และสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปเตือนตัวเขาเองในเวลานั้น ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง จนทำให้ตัวเขาในตอนนั้น สามารถหลีกพ้นการกระทำกรรมในการฆ่าคนตายไปได้ คำถามก็คือ เขายังจะได้รับผลของกรรมที่ฆ่าคนตายอยู่หรือไม่
บทนำ
(Introduction)
นี่เป็นเพียงตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่อาศัยเงื่อนไขของความขัดแย้งที่เกิดจากการเดินทางย้อนเวลา เข้าไปแก้ไขเหตุการณ์ที่เคยกระทำไปแล้วในอดีต แน่นอนว่า หากอธิบายในเชิงของจักรวาลคู่ขนาน กรณีนี้ย่อมมีทางออกที่อธิบายได้ว่า คนผู้นั้นยังคงต้องได้รับผลของกรรม เพราะเขาได้กระทำกรรมนั้นสำเร็จลุล่วงไปแล้ว แม้เขาจะย้อนเวลาไปเตือนตัวเองไม่ให้เผลอทำกรรมแล้วก็ตาม เพราะการกระทำของเขาไม่อาจแก้กรรมที่ตนทำไว้แล้วในเส้นเวลาเดิม
แต่เป็นเพียงการเข้าไปเปลี่ยนเหตุการณ์หรือเหตุปัจจัยในอดีตนั้น ซึ่งย่อมก่อเกิดเป็นเส้นเหตุการณ์และเวลา (Event-Time line) ของอนาคตแบบใหม่ ที่มีตัวเขาที่ย้อนไปและตัวเขาในเวลานั้นอยู่ร่วมกัน โดยตัวเขาในตอนนั้นก็จะดำเนินไปในเส้นทางใหม่ที่ไม่ได้ทำกรรมจึงไม่ต้องรับผลกรรม แต่คนที่ย้อนไปเตือนก็ยังคงต้องได้รับผลของกรรมดังกล่าวต่อไป
Parallel universes
หากถามว่า ตัวของคนๆ นั้นที่ได้รับคำเตือนจนไม่ได้ทำกรรม เกิดเส้นเวลาของอนาคตใหม่ได้อย่างไร ก็ต้องตอบจากข้อมูลที่เคยอ้างอิงไว้ในบทความเรื่องจักรวาลทั้งสาม ที่ผู้เขียนเคยบรรยายไว้ว่า แนวทางการเกิดจักรวาลคู่ขนานแบบพื้นฐาน ซึ่งมีแนวคิดจากความเป็นไปได้ของพฤติกรรมที่ไม่อาจคาดเดาของอิเลคตรอน ทำให้ผลของการตัดสินใจของคน จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมของอิเลคตรอนที่ต่างกันไป โดยอิเลคตรอนในที่นี้ จะให้เป็นตัวแทนของอนุภาคมูลฐานทั้งหมดในระดับควอนตัม
จึงย่อมก่อเกิดสภาพแวดล้อมของจักรวาลที่แปลกแยกไปจากเดิม ดังนั้นการที่คนย้อนไปเตือนตัวเองไม่ให้เผลอทำกรรมนั้น ก็เป็นการเข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของตัวเขาในกาลเวลานั้น จนส่งผลให้เกิดทางเลือกของพฤติกรรมอิเลคตรอนแบบใหม่ขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงทำให้เขาทั้งสองต้องดำเนินไปสู่จักรวาลคู่ขนานที่เกิดขึ้นใหม่นั้น
ความเป็นไปได้ของจักรวาลคู่ขนาน
(Possibility of parallel universes)
เมื่อท่านผู้อ่านพอจะมองเห็นแนวทางของเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ผู้เขียนก็จะขอพาทุกท่านไปร่วมหาคำอธิบาย เกี่ยวกับเรื่องของจักรวาลคู่ขนานนี้ในรายละเอียดต่อไป เพื่อใช้ตอบโจทย์หลายๆ อย่าง อาทิเช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับจักรวาลคู่ขนานนั้นมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไหน และจะอธิบายอย่างไรในเชิงของจิตวิญญาณ ที่มีการกล่าวถึงกันมากในปรัชญาทางซีกโลกตะวันออก เนื่องจากทางตะวันตกนั้นค่อนข้างจะเชื่อว่า จิตวิญญาณเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางคลื่นสมองเท่านั้น
พวกเขาจึงมองข้ามประเด็นในเรื่องของกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดไป เพราะคลื่นสมองก็มีพื้นฐานการทำงานมาจากอิเลคตรอนเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าทฤษฎีของตนได้ครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดไว้แล้ว แต่เอาเป็นว่าผู้เขียนจะยังไม่หยิบยกเรื่องนี้มาวิเคราะห์แยกแยะในรายละเอียด แม้จะมีข้อมูลอยู่ในมือไม่น้อยแล้ว โดยขอยกยอดไปพูดในบทความต่างหากเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณดังกล่าวโดยตรง สำหรับในตอนนี้ก็จะขอหันกลับมาพูดเรื่องของจักรวาลคู่ขนานต่อ
Possibility of parallel universes
เบื้องต้นนี้ก็จะขอตอบโจทย์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเกิดจักรวาลคู่ขนาน ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยทางด้านฟิสิกส์ก็มีความคืบหน้าไปมากในเรื่องนี้ จนมีการนำเสนอทฤษฎีที่มีผลการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และการทดลองมารองรับอยู่มากมายหลายทฤษฎี ดังนั้นในเชิงของความเป็นไปได้
จึงต้องยอมรับว่า แม้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่กล้าปฏิเสธอย่างเต็มปากว่าเป็นไปไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามกลับเริ่มมีคนที่ให้ความเชื่อถือและสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา สำหรับโจทย์ในข้อนี้ ผู้เขียนจึงขอสรุปเอาเองในที่นี้จากเหตุผลที่ยกมาทั้งหมดข้างต้นนี้ว่า จักรวาลคู่ขนานมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ที่สำคัญในเชิงพุทธปรัชญาก็มิได้ปิดกั้นในเรื่องนี้ เนื่องจากศาสนาพุทธได้เน้นย้ำไว้แล้วว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อเหตุปัจจัยพอเหมาะที่จะทำให้เกิดจักรวาลคู่ขนานมันก็ย่อมเป็นสิ่งที่อุบัติบังเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา คราวนี้เราลองมาดูกันว่า ทางวิทยาศาสตร์มองความเป็นไปได้ในการเกิดจักรวาลคู่ขนานเป็นกี่แนวทางกัน เท่าที่ผู้เขียนได้ติดตามสืบค้นดู
ความจริงแล้ว แนวทางการเกิดของจักรวาลคู่ขนานนั้น ถ้าจะว่าไป ก็มีการเสนอมามากมายหลายรูปแบบด้วยกัน แต่ผู้เขียนจะขอยกเอามาเพียง 3 ประเภทที่มีทฤษฎีและการคำนวณอย่างจริงจังในทางคณิตศาสตร์รองรับอยู่ ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของแวดวงวิทย์ทั่วไปอย่างกว้างขวาง
จักรวาลคู่ขนานแบบควอนคัม
(Quantum parallel universe)
จักรวาลคู่ขนานประเภทแรกนั้น ก็คือรูปแบบที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือจักรวาลคู่ขนานแบบควอนตัม (Quantum parallel universe) ซึ่งกล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดเอกภพหรือจักรวาลอื่นๆ ที่เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับจักรวาลปัจจุบัน เท่ากับจำนวนความเป็นไปได้ของทางเลือกนั้นๆ โดยอาจมีสภาพแวดล้อม และกฏเกณฑ์ทางธรรมชาติทั้งหมดคล้ายคลึงกับจักรวาลของเรา หรืออาจแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
Quantum parallel universe
ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างจักรวาลคู่ขนานในกรณีนี้ จะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อมีการตัดสินใจเลือกเส้นทางเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว โดยจักรวาลทั้งหมดนั้นจะแยกตัวออกจากกันไปโดยสิ้นเชิงและไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดๆ กันอีก เพราะต่างก็จะดำเนินไปตามทางเลือกใหม่ๆ ที่แยกย่อยกันออกไปไม่จบสิ้น โดยมีผลสืบเนื่องที่ซ้อนทับกันของเส้นเวลาเหตุการณ์จากอดีต ที่ร่วมกันมาจนมาถึงจุดที่ต้องทำการตัดสินใจ และจะแยกกันไปในอนาคตของแต่ละจักรวาลนับแต่จุดที่เลือกนั้น
รูปที่ 1 แสดงเส้นทางและจุดที่เป็นทางแยกของจักรวาลคู่ขนาน
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ให้พิจารณาจากแผนภาพข้างต้น กล่าวคือ เส้นเหตุการณ์เวลาของจักรวาลปกติได้ดำเนินจาก A มาถึง B ซึ่งเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจบางอย่าง ในที่นี้สมมติให้มีความเป็นไปได้เพียงสองเส้นทาง ดังนั้นผลการตัดสินใจก็จะทำให้เกิดจักรวาลคู่ขนานแยกกันไปตามเส้นเหตุการณ์เวลาคือ ABC และ ABD ซึ่งจะพบว่า ทั้งสองจักรวาลจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก และจะดำเนินไปตามเส้นทางของเวลาและเหตุการณ์ในอนาคตของแต่ละจักรวาลต่อไป
เพียงแต่ทั้งสองจะมีเส้นเหตุการณ์เวลาร่วมกันในอดีตคือ AB และนี่คือการเกิดจักรวาลคู่ขนานในรูปแบบที่หนึ่ง ซึ่งเป็นทฤษฎีที่จะใช้อธิบาย ปัญหาความขัดแย้งในการท่องเวลาได้ โดยผู้เขียนจะขอยกไปพูดถึงในรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเวลาในบทต่อๆ ไปเช่นกัน
จักรวาลคู่ขนานแบบฟองสบู่
(Bubble parallel universe)
จักรวาลคู่ขนานแบบที่สองนั้น เป็นแบบที่เรียกว่า จักรวาลแบบฟองสบู่ (Bubble universe theory) โดยมีแนวความคิดที่ว่า เอกภพหรือจักรวาลทั้งหลาย ล้วนก่อเกิดมาจากจักรวาลที่เกิดมาก่อนทั้งสิ้น จากผลการสังเกตุและสำรวจเกี่ยวกับการแผ่รังสีคลื่นไมโครเวฟพื้นหลัง (Cosmic Microwave Background Radiation) ที่เกิดหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ (Big bang) ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดจักรวาลนั้น
พบว่าจากสภาพการแผ่รังสีดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า ในช่วงก่อนเกิดการระเบิด กาล-อวกาศ (Spacr-Time) ต้องมีความแปรปรวนและผันผวนอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากหม้อน้ำที่เดือดพล่าน และฟองที่ปรากฏขึ้นมาจากการเดือดนี้เองก็คือจักรวาลแต่ละแห่ง โดยที่บางจักรวาลที่เป็นฟองขนาดเล็กก็อาจแตกสลายไปหลังการเกิดไม่นาน มีแต่ฟองที่มีขนาดพอเหมาะจึงจะก่อเกิดเป็นจักรวาลและขยายตัวต่อไป
Bubble parallel universe
ดังนั้นตามทฤษฎีดังกล่าวนี้ ในการเกิดจักรวาลแต่ละครั้งจึงอาจมีจักรวาลมากมายเกิดขึ้น เพียงแต่ว่า แต่ละจักรวาลนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเลย ไม่เหมือนกับจักรวาลคู่ขนานแบบควอนตัมที่กล่าวถึงข้างต้น ในกรณีนี้จักรวาลประเภทนี้ยังพอไปมาหาสู่กันได้ หากเทคโนโลยีมีความเหมาะสมเพียงพอ
จักรวาลคู่ขนานแบบเมมเบลน
(Membrane parallel universe)
จักรวาลคู่ขนานแบบที่สามนั้น เป็นรูปแบบที่ค่อนข้างใหม่ เพราะพัฒนามาจากทฤษฎีล่าสุดในวงการฟิสิกส์ที่รู้จักกันในนามของ ทฤษฏีสตริง (String theory) หรือทฤษฎีเส้นเชือก โดยอาศัยหลักการที่ว่า สิ่งที่เป็นมูลฐานของจักรวาลนั้นคือเส้นเชือกเล็กๆ ที่มีเพียงหนึ่งมิติ เรียกว่า สตริง และผลของการสั่นสะเทือนของเส้นเชือกที่ทำให้เกิดคลื่นความถี่ต่างๆ กัน เหมือนกับการแบ่งเสียงตัวโน้ตดนตรี จึงทำให้เกิดอนุภาคย่อยชนิดต่างๆ ขึ้น และอนุภาคย่อยเหล่านี้ก็จะไปประกอบเป็นอนุภาค อะตอม โมเลกุล และสสารตามลำดับ
ซึ่งจากเหตุนี้เอง ที่ทำให้อนุภาคชนิดต่างๆ มีคุณสมบัติที่เป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคในเวลาเดียวกัน เพราะสืบเนื่องมาจากองค์ประกอบย่อยมูลฐานที่เป็นการสั่นสะเทือนของสตริง และด้วยคุณสมบัติของการเป็นคลื่นนี้เองที่ทำให้เกิดเป็นความเป็นไปได้ที่หลากหลาย และกลายมาเป็นพื้นฐานของจักรวาลคู่ขนานในรูปแบบใหม่ที่จะกล่าวถึงนี้
Membrane parallel universe
โดยเชื่อกันว่าจักรวาลคู่ขนานที่เกิดจากทฤษฏีสตริง จะอยู่ในรูปแบบของแผ่นเยื่อบางๆ ที่เรียกว่า เมมเบลน (Membrane) ซึ่งลอยคู่ขนานกันอยู่ในอวกาศชั้นสูง (Hyperspace) โดยแต่ละจักรวาลอาจมีกฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่แตกต่างจากกันโดยสิ้นเชิง และอาจอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งทุกครั้งที่จักรวาลคู่ใดเคลื่อนเข้าชนกัน ก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า บิ๊กแบ็ง (Bigbang) หรือการระเบิดครั้งใหญ่
ซึ่งหากเหตุปัจจัยพอเหมาะก็จะทำให้เกิดจักรวาลแห่งมวลสารดังเช่นจักรวาลที่เราดำรงอาศัยอยู่นี้ขึ้นได้ ดังนั้นจักรวาลคู่ขนานในกรณีนี้จึงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันโดยตรงเหมือนแบบแรก และยังมีการตั้งสมมติฐานไปว่า น่าจะมีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างแผ่นเยื่อจักรวาลเหล่านี้ที่เรียกว่า รูหนอน (Worm hole) ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะเดินทางเชื่อมต่อกันระหว่างจักรวาล
จักรวาลทั้งสาม
(Three universes)
จากข้อมูลที่บรรยายมาทั้งหมด เชื่อว่าคงพอจะทำให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จัก กับจักรวาลคู่ขนานในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันกันมาพอสมควรแล้ว ต่อไปก็จะขอมาเข้าที่สมมติฐานของผู้เขียนบ้าง โดยจะใช้เป็นแนวทางในการอธิบายการเกิดและการดำรงอยู่ของจักรวาลคู่ขนานทุกรูปแบบ
ในทัศนะที่ผสมผสานทั้งความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เพื่อเสนอเป็นมุมมองแง่คิดในการเปิดโลกทัศน์ของท่านผู้อ่านให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ก็ขอให้ถือว่าเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณา สำหรับท่านที่กำลังสนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลคู่ขนานทั้งหลายนี้
Three universes
ผู้เขียนขอเริ่มจากภาคขยายของทฤษฎีจักรวาลทั้งสาม ที่ผู้เขียนได้เคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านั้น โดยเริ่มต้นที่มวลรู้หรือจิตเดิมที่ธาตุรู้ยังรวมตัวไม่สมบูรณ์ จึงทำให้จิตนั้นมีสภาพที่เหมือนหลับฝันอยู่ แต่เนื่องจากธาตุรู้เหล่านี้อยู่ในจักรวาลแห่งมวลรู้ที่มีความสมบูรณ์เป็นนิรันดร์ ทำให้มีสภาวะที่เรียกว่า อจิณไตย คือไร้ขอบเขตและอยู่เหนือข้อจำกัดของเหตุการณ์และกาลเวลาใดๆ
มวลรู้เหล่านี้จึงย่อมรับถ่ายทอดสภาวะดังกล่าวจากธาตุรู้เหล่านั้นมาด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของการดำรงอยู่คือ อยู่ในทุกที่โดยไม่อยู่ในที่ใด กล่าวคือ เนื่องจากเป็นมวลรู้ที่ไร้รูปลักษณ์ทั้งส่วนหยาบ คือสสาร และส่วนละเอียดคือพลังงาน จึงทำให้มวลรู้เหล่านี้สามารถรับรู้ในทุกมิติพร้อมๆ กัน จึงมีลักษณะที่เรียกว่า สามารถดำรงอยู่หรือรู้อยู่ในทุกที่ โดยไม่ต้องไปปรากฏอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ จึงเรียกว่า ไม่อยู่ในที่ใด และด้วยคุณสมบัติของอจิณไตยในภาวะดังกล่าว
แม้มวลรู้ที่ยังรวมตัวไม่สมบูรณ์จะยังหลับฝัน ก็ยังทรงคุณสมบัติดังกล่าวอยู่ จึงส่งผลให้มวลรู้เหล่านั้นสามารถกำหนดบทบาทขึ้นได้อย่างมากมาย เพราะความรู้ที่ไม่สมบูรณ์จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรเป็นจริงอะไรเป็นเท็จ และด้วยความไม่รู้นี้เอง จึงอาจก่อเกิดบทบาทหรือวิญญาณขึ้นจำนวนมาก และวิญญาณแต่ละดวงนั้นก็จะดำเนินไปในทางเลือกและการตัดสินใจของตน จนกลายเป็นจักรวาลคู่ขนานอันหลากหลายขึ้น ตั้งแต่ปฐมกำเนิดแรกเริ่มนั้น
กรรมส่วนบุคคล
(Personal karma)
และเนื่องจากเป็นเพียงความฝัน วิญญาณทั้งหลายก็ย่อมดำเนินพฤติกรรมไปตามความไม่รู้ของตนต่อไป และเกิดทางเลือกใหม่ๆ สร้างเป็นจักรวาลคู่ขนานต่อไปไม่สิ้นสุด โดยมีเส้นเหตุการณ์และเวลาในอดีตร่วมกันดังกล่าวข้างต้น แต่มีเส้นทางเลือกในอนาคตที่แตกต่างกันไป และเมื่อวิญญาณจำนวนมากมาพบกันก็ย่อมก่อเกิดปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น จนกลายเป็นจักรวาลที่หลากหลายไม่จบสิ้น ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปจนกว่าความฝันจะยุติสิ้นสุดลง นั่นคือการตื่นขึ้นของจิตเดิมหรือมวลรู้นั้นๆ
แต่ในขณะที่ยังหลับฝันอยู่ ทุกเส้นเวลาและเหตุการณ์ของวิญญาณทั้งหมดนั้นจะถูกรับรู้และบันทึกไว้ในมวลรู้เดียวกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายสภาวะที่เรียกว่า เดจาวู (Dejavu) ได้ กล่าวคือ อาจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากความทรงจำในจักรวาลที่ต่างกันภายในมวลรู้ ที่เกิดมาทับซ้อนกันขึ้นในช่วงสั้นๆ จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับเคยเจอเหตุการณ์เหล่านั้นมาแล้ว ซึ่งอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงในจักรวาลที่ตนดำรงอยู่ แต่เป็นความจำของจักรวาลคู่ขนานที่วิญญาณดวงอื่นของมวลรู้เดียวกันได้ประสบพบมา
Personal karma
ด้วยหลักการนี้ก็ย่อมสามารถนำมาอธิบายในเรื่องของกรรมได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ดวงวิญญาณที่เกิดมานับแต่ปฐมอุบัตินั้น ก็จะดำเนินไปตามพฤติกรรมของตน มีกรรมเฉพาะตน ไม่เกี่ยวข้องกัน ต่างคนก็ต่างทำกรรมและรับผลกรรมที่ตนกระทำไปตามกลไกของกรรม เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยยังไม่ละเมิดหลักของพุทธปรัชญาและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
และโดยอาศัยหลักการนี้ ทุกครั้งที่มีการตัดสินใจเลือกเส้นทาง ย่อมมีการแยกตัวของวิญญาณออกไป วิญญาณที่แยกไปก็จะนำกรรมที่เป็นของร่วมกันติดตัวไปด้วย แต่จะมีกรรมในอนาคตของแต่ละคนต่างกันไปทุกอย่างจึงยังคงเป็นไปตามหลักของเหตุปัจจัยก่อเกิดผลทั้งสิ้น ซึ่งหลังจากแยกกันไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาเจอกันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยสมมติฐานนี้จึงค่อนข้างจะสนับสนุนแนวทางการเกิดจักรวาลคู่ขนานรูปแบบที่หนึ่งมากกว่ารูปแบบอื่น
ทั้งยังสามารถอธิบายในกรณีของการย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ด้วย โดยผลที่ได้รับคือ อดีตที่ผ่านไปแล้วของวิญญาณแต่ละดวงย่อมไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เป็นการสร้างเส้นทางของเหตุการณ์และเวลาในอนาคตแนวทางใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ดังนั้นกรรมที่ทำไว้แล้วจึงไม่สามารถแก้ได้ ไม่ว่าจะย้อนไปอดีตหรือเดินทางไปในอนาคตก็ยังหนีผลกรรมของตนไปไม่พ้น
จักรวาลแห่งการปรุงแต่ง
(Universe of embellishments)
สำหรับการเกิดของจักรวาลคู่ขนานในรูปแบบที่สองและสามนั้น ก็มีโอกาสเป็นไปได้เพราะยังคงเป็นเรื่องของโลกียะที่เต็มไปด้วยความแปรปรวน และสรรพสิ่งล้วนก่อเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเหตุปัจจัยพอเหมาะ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อธรรมชาติฟากนี้เป็นสมมติสัจจะ หรือความจริงที่สมมติขึ้น ดังนั้นจะสมมติให้เป็นอะไรก็ย่อมได้ ดังนั้นการเกิดของจักรวาลคู่ขนานทั้งสองแบบหลัง หรือแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้
ก็ต้องยอมรับตามตรงว่ามีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น และผู้เขียนยังคิดว่า มันก็เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของวิญญาณเท่านั้น ที่จะเลือกสมมติให้เป็นจักรวาลรูปแบบใด หากการสมมตินั้นผิดพลาด ก็เป็นเพียงจักรวาลที่เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วสูญสลายไป ตามหลักของการเกิดดับตามเหตุปัจจัยปกติ นอกจากนั้นวิญญาณยังอาจสมมติให้เกิดจักรวาล ที่มีกฏเกณฑ์ธรรมชาติที่แตกต่างไปจากจักรวาลที่เราคุ้นเคยนี้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด อย่าลืมว่า เพราะมันเป็นเพียงมายาภาพในความฝันเท่านั้น
Universe of embellishments
คราวนี้เราลองมาพิจารณาในกรณีที่มวลรู้ตื่นขึ้นแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนมันย่อมไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนหลับฝันอยู่ แล้วรู้สึกตัวตื่นขึ้น เมื่อนั้นความฝันทั้งหลายไม่ว่าจะสับสนหรือซับซ้อนเพียงใด สุดท้ายแล้วเมื่อคนที่นอนอยู่ตื่นและลุกขึ้นไปแล้ว ความฝันทั้งหลายนั้นก็ย่อมจะสูญหายไปด้วย จากหลักการนี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
นั่นก็คือการตื่นขึ้นของพระพุทธะโดยสมบูรณ์ เพราะพุทธะแปลว่าผู้ที่ตื่นแล้ว ความฝันหรือวิญญาณทั้งหลายที่เกิดจากมวลรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของพระพุทธองค์แต่เดิม ก็ย่อมสูญสลายไป เพราะมวลรู้ของพระองค์มีความรู้ที่สมบูรณ์แล้ว ดังนั้นจักรวาลคู่ขนานทั้งหลายจึงไม่ปรากฏมีวิญญาณของพระพุทธองค์หลงเหลืออยู่อีก เพราะทรงเพิกถอนซึ่งความฝันหรือภพชาติทั้งหลายได้หมดสิ้นแล้วนั่นเอง คงเหลือเพียงจักรวาลเดียวที่พระองค์จะทรงดำรงอยู่และดำเนินไป เรียกได้ว่า เป็นเอกายมรรคที่สมบูรณ์พร้อมเพียงหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
และพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดำเนินไปบนหนทางหนึ่งเดียวนี้เช่นกัน เมื่อท่านทั้งหลายผู้เป็นปัจเจกพุทธะ หรืออนุพุทธะทั้งหลาย ได้ตื่นขึ้นแล้ว วิญญาณของท่านเหล่านั้นก็ย่อมดับสิ้นไป เป็นการสิ้นสุดความฝันอย่างถาวร ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงเหลืออยู่เพียงจักรวาลเดียว และเป็นจักรวาลหรือภพภูมิสุดท้ายที่จะดำรงอยู่ในโลกียะแห่งนี้ ตราบจนรูปนามเสื่อมสลายลง มวลรู้ที่สมบูรณ์ของท่านเหล่านั้นย่อมไปปรากฏอยู่ในนิพพานเป็นธรรมดาและดำรงคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
บทสรุป
(Conclusion)
ทั้งหมดที่ผู้เขียนบรรยายมานี้ ก็คงเป็นเพียงสมมติฐาน ที่นำเอาทฤษฎีเกี่ยวกับจักรวาลทั้งสามที่ผู้เขียนได้เคยเสนอไว้ มาทำการอรรถาธิบายเกี่ยวกับการอุบัติบังเกิดของจักรวาลคู่ขนาน และการดำเนินไปของวิญญาณแต่ละดวง พร้อมกับกฏแห่งกรรมหรือการกระทำ ที่ยังคงเป็นสากลใช้ได้ในทุกจักรวาล เป็นการยืนยันในพุทธปรัชญาที่เป็นความจริงแท้ ไม่มีสิ่งใดมาขัดแย้งได้ ไม่ว่าจะมีการสมมติที่พิสดารพันลึกมากน้อยกว่านี้เพียงใดก็ตาม
พุทธธรรมก็จะยังคงเป็นอมตะวาจาที่ไม่ตาย และดำรงไว้ซึ่งความจริงแท้ตลอดไป ผู้เขียนก็หวังว่า ท่านผู้อ่านคงจะพอได้มุมมองแง่คิดใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลคู่ขนานแบบเดิมๆ ที่มีการนำเสนออยู่ทั่วไป ให้ถือเสียว่า นี่เป็นเพียงภาคขยายอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยอธิบายปรากฏการณ์ของจักรวาลคู่ขนาน ในแง่มุมของจิตวิญญาณเพิ่มเติมขึ้นเท่านั้น
(ไขรหัสลับปริศนา ep.4 พหุภพคู่ขนาน)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา