30 มิ.ย. 2023 เวลา 01:14 • อาหาร

Aspartame (แอสปาร์แตม)

เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่นิยมนำมาให้เป็นส่วนประกอบของอาหารและเครื่องดื่ม ทำมาจากกรดแอสปาร์ติก (Aspartic Acid) และฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนตามธรรมชาติ ผสมกับเมทิลเอสเทอร์ (Methyl Ester) โดยกรดแอสปาร์ติกนั้นเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ ส่วนฟีนิลอะลานีนเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
แอสปาร์แตมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะย่อยสลายเป็นเมทานอล (Methanol) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเผยว่า หากร่างกายได้รับเมทานอลในปริมาณมากเกินไปก็อาจเป็นพิษได้ เนื่องจากเมทานอลอาจเปลี่ยนเป็นสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ
■ การบริโภคแอสปาร์แตม มีผลข้างเคียงอะไรไหม?
จากข้อมูลของสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) เผยว่า แอสปาร์แตมนั้นหวานกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 200 เท่า ฉะนั้น ร่างกายจึงควรได้รับในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยปริมาณที่แนะนำต่อวัน :
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administratio หรือ FDA) แนะนำว่า
“ไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม”
หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority หรือ EFSA) แนะนำว่า
“ไม่ควรเกิน 40 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม”
แม้หน่วยงานส่วนใหญ่จะระบุว่า คนส่วนใหญ่สามารถบริโภคแอสปาร์แตมได้อย่างปลอดภัย หากไม่เกินปริมาณที่แนะนำ
แต่จากรายงานเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์จากการบริโภควัตถุเจือปนอาหารขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ระบุว่า
ผู้บริโภคบางราย มีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ มีอาการชา กล้ามเนื้อกระตุก ผื่นคัน น้ำหนักขึ้น อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจลำบาก ปวดข้อ สูญเสียการรับรส
และหากใส่แอสปาร์แตมในอาหารที่ร้อนจัด ความร้อนก็จะไปทำลายโครงสร้างของน้ำตาล จนอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งได้ด้วย
จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ของแอสปาร์แตมโดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ก็พบว่าผู้ที่มีโรคเรื้อรังบางประการ อาจต้องเลี่ยงแอสปาร์แตม เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว หรือ ทำให้อาการแย่ลงได้
  • โรคเรื้อรังที่ควรเลี่ยงแอสปาร์แตม
- เนื้องอกในสมอง
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอ็มเอส (Multiple Sclerosis)
- โรคลมชัก
- กลุ่มอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
- โรคพาร์กินสัน
- โรคอัลไซเมอร์
- ภาวะปัญญาอ่อน
- โรคเบาหวาน
- โรคฟินิลคีโตนูเรีย ยิ่งต้องห้ามบริโภคแอสปาร์แตม หรือน้ำตาลเทียมนี่เด็ดขาด เพราะร่างกายจะไม่สามารถเผาผลาญฟีนิลอะลานีนซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของแอสปาร์แตมได้
  • อาหาร “Sugar-free” ก็อาจมีแอสปาร์แตม
อาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดที่ระบุว่า “Sugar-free” หรือ “ไม่มีน้ำตาล” นั่นหมายถึง อาหารและเครื่องดื่มนั้นๆ ไม่ได้เติมน้ำตาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เติมสารให้ความหวานชนิดอื่นๆ และแอสปาร์แตมก็เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่นิยมนำมาใช้ คุณจึงสามารถพบแอสปาร์แตมได้ในอาหารและเครื่องดื่มแบบไม่มีน้ำตาลต่างๆ มากมาย เข่น น้ำอัดลมแบบไดเอท น้ำผลไม้แคลอรี่ต่ำ หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล ลูกอมไม่มีน้ำตาล
นอกจากจะหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ระบุว่ามีส่วนผสมของแอสปาร์แตมแล้ว ก็ควรสังเกตคำว่า “ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine)” บนผลิตภัณฑ์ด้วย เพราะบางครั้งแอสปาร์แตมก็อาจใช้ชื่อนี้แทน และนอกจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้แล้ว คุณก็อาจจะพบแอสปาร์แตมในรูปแบบเดียวกับน้ำตาลซองหรือน้ำตาลก้อนได้ด้วย
“องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตรียมบรรจุสารให้ความหวานแอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นหนึ่งในสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง”
“ล่าสุด องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตรียมบรรจุสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอย่าง แอสปาร์แตม (Aspartame) เป็นหนึ่งในสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ในเดือนหน้า”
แอสปาร์แตม นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมากมาย ตั้งแต่น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไปจนถึงหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล จะถูกบรรจุเข้าในรายการ “สารที่อาจก่อมะเร็งในมนุษย์” ขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง หรือ IARC ขององค์การอนามัยโลก เป็นครั้งแรก
การตัดสินของ IARC ที่เสร็จสิ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายน มีเป้าหมายในการประเมินอันตรายของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นฐานของรายงานการศึกษาวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ออกมา ซึ่งไม่ได้ระบุถึงปริมาณการบริโภคสารแอสปาร์แตมที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารแอสปาร์แตมมากมาย เมื่อปีที่แล้วการศึกษาในฝรั่งเศส ที่เก็บข้อมูลของผู้ใหญ่ 100,000 คน พบว่า ผู้ที่บริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในบริมาณมาก ซึ่งรวมถึงแอสปาร์แตม มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าผู้ที่บริโภคสารเหล่านี้ในปริมาณที่น้อยกว่า และการศึกษาในอิตาลีช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 2000 ระบุว่า โรคมะเร็งที่พบในหนูมีส่วนเกี่ยวข้องกับสารแอสปาร์แตม
หากอยากเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทาน เแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความหวานจากธรรมชาติแทนแอสปาร์แตม เช่น น้ำผึ้ง หญ้าหวาน น้ำเชื่อมเมเปิ้ล น้ำผลไม้คั้นสด
แต่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นความหวานจากธรรมชาติ ก็ควรบริโภคในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย เช่น น้ำผึ้ง ควรกินวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ รวมแล้วต้องไม่เกิน 5 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาลเกิน และน้ำหนักเกิน เนื่องจากสารให้ความหวานส่วนใหญ่มักมีปริมาณแคลอรี่สูง
สาระดีดี MT Operation
MT OPERATION
โฆษณา