30 มิ.ย. 2023 เวลา 21:33 • ปรัชญา

คู่กรรมอธิษฐาน

ในสังคมโลกปัจจุบันที่มีความซับซ้อน และเต็มไปด้วยการแข่งขันตลอดเวลา แต่มันก็มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงใดๆ ในเรื่องของกรรมที่ แต่ละชีวิตได้กระทำเอาไว้ ซึ่งในบทความนี้เรา จะนำมาวิเคราะห์เจาะลึกกัน ในส่วนที่กระแสสังคมปัจจุบัน ค่อนข้างจะให้ความสำคัญ ในหลากหลายทัศนะ ทั้งแง่บวกและแง่ลบ คือมีทั้งคนที่เห็นด้วยและคัดค้าน
นั่นคือเรื่องของความรัก และการอยู่ร่วมกันของผู้คนฉันคู่ครอง ทั้งในแบบต่างเพศ หรือเพศเดียวกัน ซึ่งผู้เขียนจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า มันไม่ได้มีอะไรประหลาดพิกล เพราะล้วนมีผลมาจาก บทบาทของกรรมที่พวกเขา ทำเอาไว้ในอดีตทั้งสิ้น จึงมิได้เป็นเรื่องของความปกติ หรือเบี่ยงเบนแต่ประการใด
ก่อนจะเข้าสู่การแสวงหาคำตอบ สำหรับเรื่องราวที่ว่านี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึง เรื่องของการอธิษฐาน หรือการตั้งความประสงค์ร่วมกัน ของคนตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป กล่าวคือ คนแต่ละคนสามารถ ที่จะอธิษฐานตามลำพังคนเดียว หรือร่วมอธิษฐานกับผู้อื่น จะกี่คนขึ้นไปก็สุดแล้วแต่ ลำพังเพียงการตั้งใจอธิษฐาน ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
และหลายๆ กรณี การอธิษฐาน หรือการตั้งใจไว้ในสิ่งที่ดี ก็ล้วนเป็นเสมือน การวางแผนล่วงหน้า เพื่อดำเนินไปสู่ ความดีงามในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น การตั้งจิตอธิษฐาน ของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย จนกลายเป็นอธิษฐานบารมี ที่สามารถทำให้ท่านเหล่านั้น ได้ตรัสรู้เป็นบรมครู ของพวกเราชาวพุทธทุกคน
และนอกจากตัวอย่างที่กล่าวมา การอธิษฐานในทุกๆ กรณีนั้น ก็ล้วนสามารถก่อเกิด ผลตอบสนองได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าความตั้งใจทั้งหลายนั้น มีเจตนามุ่งมั่นมากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้าจะกล่าวไป การอธิษฐานโดยปกติ ก็ไม่ต่างจากการตั้งใจ หรือการสร้างเจตนารมย์ ในการที่จะกระทำกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง
ดังนั้นสิ่งที่ผู้เขียนต้องเริ่มต้น กล่าวถึงในเรื่องการอธิษฐานนี้ ก็เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า ก่อนจะอธิษฐานในเรื่องใดๆ นั้นจะต้องมีความเข้าใจ ในเรื่องกลไกของกฏแห่งกรรม ให้กระจ่างชัดมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ก่อน เพราะการอธิษฐานแท้จริงก็คือ จุดเริ่มของเจตนา ในการทำกรรมทั้งหลายนั้น
ที่ต้องพูดถึงเรื่องของการอธิษฐานนี้ ก็เพราะมีส่วนเชื่อมโยงมาถึงปัญหา ในเรื่องความรักความใคร่ดังกล่าว ที่สังคมโลกปัจจุบันกำลัง ให้ความสนใจกันในวงกว้าง หลายต่อหลายคน เมื่อมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน มีความรักความผูกพันกันจนรู้สึกว่า จะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ จึงทำให้เกิดความประสงค์ หรือความตั้งใจ ที่จะอธิษฐานให้ได้พบเจอกัน และได้อยู่ร่วมครองคู่กัน เช่นนั้นตลอดไป
หรืออาจถึงขนาดต้องการ พบเจอกันในทุกภพทุกชาติก็มี จึงเป็นที่น่าเห็นใจว่า พวกเขาเหล่านั้นกระทำไป โดยไม่รู้เรื่องรู้ราว เกี่ยวกับกลไกการทำงาน และการส่งผลของกรรมแต่อย่างไร จนสุดท้ายแล้ว ก็ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตาม ที่พวกเขาคาดคิดไว้แต่เดิมนั้น
นี่จึงเป็นสิ่งที่ผู้เขียน ต้องการนำมาบอกเล่า เพื่อให้ทุกคนได้มีความรู้ ความเข้าใจไว้ก่อน ที่จะทำการอธิษฐานในเรื่องเหล่านี้ เหตุผลประการแรกก็คือ คนแต่ละคนนั้นสะสมบุญบาป หรืออาจกล่าวง่ายๆ ว่า กระทำกรรมในอดีตมาไม่เหมือนกัน เอาแค่ในชาติปัจจุบันก็พอ แต่ละคนตั้งแต่เล็ก จนโตมาเป็นหนุ่มเป็นสาว และได้มาเจอะเจอกัน ก็ล้วนได้ผ่านประสบการณ์ชีวิต สภาพแวดล้อมของครอบครัว ตลอดถึงการเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน จึงย่อมส่งผลให้แต่ละคน มีโอกาสกระทำกรรม ที่แตกต่างกันไป
สมมติว่า คนหนึ่งเติบโตมาในครอบครัว ที่มองว่าการฆ่าสัตว์เป็นเรื่องปกติ แน่นอนว่าเขาย่อมมี คติความเชื่อไปตามนั้น และมีโอกาสได้กระทำกรรม อันร้ายนั้นมาจนเป็นปกติ ขณะที่อีกคนหนึ่งเติบโตมาในครอบครัว ที่เน้นเรื่องศีลธรรมจรรยาอันดี ซึ่งเขาก็จะถูกอบรม ให้ละเว้นจากการทำบาปทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อคนสองคนมาเจอกัน แม้จะอธิษฐานร่วมกัน ก็ย่อมยากที่จะได้พบเจอกัน เพราะต่างคนต่างต้องไป ตามหนทางแห่งผลของกรรม ที่ตอบสนองแตกต่างกันไป อย่างไม่มีทางเลี่ยงเป็นอื่น
จากเหตุผลข้อเท็จจริงประการแรก ที่ผู้เขียนได้ยกมานี้ ก็จะขอพาท่านผู้อ่านมาลอง พิจารณาในกรณีศึกษาบางเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น คนสองคนที่ล้วนทำกรรม แตกต่างกันมาในอดีต และมีโอกาสได้มา พบเจอกันในปัจจุบัน ด้วยอำนาจแห่งกรรมสัมพันธ์ ที่ชักจูงมา ต่อมาคนทั้งสองก็ได้ สานต่อความสัมพันธ์นั้น ด้วยกรรมปัจจุบัน จนเป็นที่รักใคร่ซาบซึ้ง ระหว่างกันเป็นอันมาก กระทั่งได้อยู่กินเป็นคู่ครองร่วมกัน
และสมมติว่า พวกเขามีชีวิตคู่ที่เป็นสุข มีความรักใคร่ปรองดองกันเป็นอันดี ไม่เคยมีปัญหาใดๆ ที่จะทำให้ความรักของเขาเกิดความร้าวฉาน สุดท้ายแล้วจึงสร้างเป็นความผูกพันมั่นคง และตั้งใจที่จะพบเจออยู่ครองคู่เ ป็นสามีภรรยากันเช่นนี้ตลอดไป ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งสอง ก็ได้ตัดสินใจไปทำการ ตั้งจิตอธิษฐานร่วมกัน เพื่อให้ได้พบเจอกันทุกภพทุกชาติ ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
และต่อมาเมื่อผลของกรรม ส่งผลตามกลไกของกรรมปกติ เมื่อคนสองคนทำกรรมมาไม่เท่ากัน จึงเป็นไปได้ว่า ภายหลังที่ทั้งสองได้พรากจากกัน ด้วยความตายไปแล้ว ต่างก็ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ตามผลแห่งกรรมที่ตนกระทำ และย่อมมีโอกาสได้ ไปกระทำกรรมเพิ่มเติมจากชาติ ที่เคยอยู่ร่วมกันอีกนับไม่ถ้วน
ซึ่งย่อมเป็นเหตุให้ทั้งสอง มีความแตกต่างกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ และในที่นี้จะขอสมมติต่อว่า วงจรของกรรมจากแรงอธิษฐาน ได้เวียนมาบรรจบทำให้เขาทั้งสอง ได้มีโอกาสพบเจอกันอีกครั้ง โดยที่ทั้งสองล้วนเกิดมา เป็นมนุษย์ที่มีเพศต่างกัน แน่นอนว่า จากแรงเจตนา หรือตัวกรรมที่ตั้งใจมั่น ท่ามกลางความรู้สึกที่ดีในอดีต ย่อมส่งผลให้ทั้งสองพบเจอกัน ด้วยความผูกพันที่ย้อนคืน
แต่ความรู้สึกที่ดีนั้น จะมีมากน้อยกว่าเดิม หรือจะยั่งยืนเพียงใด ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความสอดคล้อง ของอุปนิสัยที่ก่อเกิดจากกรรม ที่ทั้งสองบำเพ็ญต่างกันมา โดยบ่อยครั้งหาก มีข้อแตกต่างกันมาก แม้กำลังอธิษฐาน จะส่งผลให้อยู่ร่วมกัน ก็มักจะก่อเกิดปัญหา ที่ทำให้เกิดความแตกร้าว จนยากที่จะสร้างความเข้าใจระหว่างกัน ในการประคับประคองชีวิตคู่ ให้ยั่งยืนสถาพรเหมือนในชาติ ที่ร่วมอธิษฐานกันมานั้น
คราวนี้ลองมาดูว่า ในกรณีที่ทั้งสองล้วน เกิดมามีเพศเดียวกัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้น นี่คือคำอธิบายของ สภาวะสังคมปัจจุบัน ที่เกิดเรื่องของการรักร่วมเพศขึ้น เพราะกรรมมิได้กำหนดตายตัวว่า เมื่อพบเจอกันจะต้อง เป็นคนละเพศเสมอไป ในคำอธิษฐานนั้น ก็ไม่ได้ระบุไว้ว่า ต้องเป็นชายหรือหญิงเหมือนเดิม ในทุกครั้งที่พบเจอกัน
และแม้จะอธิษฐานเช่นนั้น ก็จะเป็นการทำให้โอกาสที่คำอธิษฐาน จะส่งผลเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะเหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวย สาเหตุก็เพราะว่า แต่ละคนล้วนทำกรรมแตกต่างกัน อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการกำหนดเพศ ที่ตายตัวในทุกครั้งที่เจอะเจอกัน จึงเท่ากับเป็นการไปเพิ่มเงื่อนไข ในการสนองผลของกรรมให้มาก และซับซ้อนยิ่งขึ้น ดังนั้นโอกาสที่จะมีสถานะ ที่ครบสมบูรณ์ตามเงื่อนไขในการอธิษฐาน จึงยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เมื่อต้องมาพบเจอ ในสถานะของเพศเดียวกัน และเมื่อแรงของคำอธิษฐาน ในอดีตตามมาส่งผล ก็ย่อมทำให้รู้สึกผูกพัน รักใคร่ต่อกันเป็นธรรมดา จนกลายเป็นความรู้สึกที่ยากจะห้ามได้ แม้สังคมจะมีมุมมองเช่นใดในเรื่องนี้ และนี่ก็มิใช่สิ่งที่ เพิ่งเกิดในปัจจุบันเท่านั้น แต่มีมาตลอดกาลเวลา ในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์ เพียงแต่ในบางยุคที่สังคมต่อต้าน การรักร่วมเพศก็จะเป็นไปอย่างซ่อนเร้น
แต่ในยุคที่สังคมเปิดกว้างมากขึ้น กรณีเหล่านี้จึงสามารถเปิดเผย ออกมาให้เห็นในวงกว้าง จนดูเหมือนกับว่า จะมีจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้นผู้เขียนจึงกล่าวตั้งแต่ต้นว่า ความรักแบบต่างเพศ หรือเพศเดียวกัน ก็ล้วนมิใช่สิ่งผิดปกติ หรือไม่ปกติแต่ประการใด แต่มันเป็นไปตามกลไกธรรมดา ของกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น
ต่อไปจะลองตั้งข้อสังเกตุเพิ่มเติมขึ้นอีก คือในกรณีที่จิตวิญญาณ ที่อธิษฐานร่วมกันมา ในกรณีดังกล่าวนี้ เกิดมีกรรมที่ต่างกันมาก ชนิดที่ว่าเกิดมา คนละภพภูมิเลยทีเดียว สมมติว่า จิตวิญญาณหนึ่งไปเกิดเป็นคน แต่อีกคนทำกรรมไว้มาก จึงไปเกิดในภพของสุนัข และเมื่อทั้งสองได้มีโอกาส มาประสบพบเจอกัน และคำอธิษฐานนั้นส่งผล
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในข่าวบ่อยครั้งว่า คนร่วมเพศกับสัตว์ ด้วยพิศวาสสิเนหา ที่เกินกว่าสภาพปกติ ที่สังคมจะยอมรับได้ แต่ถ้าจะมองในแง่ของกรรมแล้ว ก็ล้วนเป็นเรื่องปกติสามัญธรรมดา สาเหตุก็เพราะจิตวิญญาณส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจกลไกการทำงานของกรรม จึงทำให้ตั้งจิตอธิษฐานในเรื่อง ที่อาจเรียกได้ว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในตอนอธิษฐานก็เข้าใจเพียงว่า จะได้อยู่ร่วมครองคู่รักใคร่ดูดดื่ม เหมือนกับตอนที่อธิษฐานตลอดไป
จึงได้แต่แสดงความเห็นใจ เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้จริงๆ จะทำได้ก็เพียงให้ข้อมูลต่อท่านผู้อ่าน ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของกรรม และสามารถตั้งเจตนา หรือคำอธิษฐาน ที่เหมาะสมได้ โดยผู้เขียนคง จะทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ว่า หากการอธิษฐานนั้น ไปขัดแย้งกับกฏแห่งกรรม ก็ย่อมไม่ได้ผลตามที่ตน ตั้งความปรารถนาไว้เสมอไป
นอกจากเรื่องของการทำกรรมมาไม่เท่ากันแล้ว ยังมีเรื่องของกาลเวลาเข้ามาข้องเกี่ยว ซึ่งล้วนเป็นผลสืบเนื่อง มาจากคติความเข้าใจ ของแต่ละจิตวิญญาณอีกเช่นกัน สมมติว่า สามีภรรยาสองคนรักกันมาก แต่ภรรยาเกิดตายไปก่อน เอาเป็นว่าประมาณ 20 ปี ก่อนที่สามีจะตายตามไป ด้วยความรักความผูกพัน ที่ลึกซึ้งไม่เสื่อมคลาย และด้วยเจตนาที่ยึดมั่นอย่างแรงกล้านี้ จากการที่เขาปรารถนาจะได้พบ และอยู่ร่วมกับภรรยาอีก
สุดท้ายแล้วอาจส่งผลให้เขา ไปเกิดเป็นลูกของภรรยาตนเอง เพราะกว่าเขาจะตาย ภรรยาของเขาก็โตเป็นสาว และอาจได้แต่งงานอยู่กิน กับสามีคนใหม่ในภพชาติปัจจุบัน ของเธอผู้นั้นไปแล้ว ด้วยกลไกของกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับกาลเวลานี้ จะเห็นว่า บทบาทความสัมพันธ์ จะเปลี่ยนไปทันที เพราะต้องเปลี่ยนจากบทของสามีไปเป็นลูกแทน และมีหลายกรณีที่แม่ลูก กลับเกิดความรู้สึก ที่สัมพันธ์ฉันชู้สาวขึ้น หากความรู้สึกผูกพัน แบบคู่ครองนั้นมีกำลังแรงพอ
ไม่เพียงแต่กรณีที่กล่าวมานี้เท่านั้น ยังมีสภาวะที่เป็นทุกข์ และน่าสงสารมากยิ่งขึ้นอีก ตัวอย่างเช่น คนที่เฝ้ารักเขาข้างเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ หรือให้ความรักตอบ และคนที่เฝ้าผูกพันอยู่ฝ่ายเดียวนั้น ก็พยายามตั้งจิตเจตนาอธิษฐาน ให้ได้พบเจอกับอีกฝ่าย โดยเป็นการอธิษฐาน เพียงข้างเดียวเช่นกัน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่รู้ไม่เห็น และไม่ได้ร่วมอธิษฐานด้วย
ตรงกันข้ามบางครั้ง ก็อาจต่อต้านเสียด้วยซ้ำ ในกรณีนี้เมื่อแรงอธิษฐานส่งผล ทั้งสองได้พบเจอกัน ก็ย่อมมีสภาพเหมือนคน ที่เฝ้าตบมือข้างเดียว โดยไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากความเงียบงันวังเวง จิตใจของคนผู้นั้น จึงย่อมเต็มไปด้วย ความระทมทุกข์ ต้องอ้างว้างเดียวดายจากความเย็นชาเมินเฉย ของคนที่ตนเฝ้าลุ่มหลงรักใคร่ นี่จึงเป็นความทุกข์แสนสาหัสจากความรัก อีกประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดยิ่ง
ในหลายกรณีเมื่อความรัก ไม่ประสบผลดังคาดหวัง เช่น แม้ทั้งคู่จะรักกันปานจะกลืนกิน แต่กลับถูกขัดขวาง ด้วยผู้ใหญ่หรือคนรอบข้าง แล้วทั้งสองเกิดตัดสินใจว่า จะตายพร้อมกัน ด้วยความไม่รู้เรื่องในกลไกของกรรม ดังนั้นแม้ทั้งสองจะฆ่าตัวตายสำเร็จทั้งคู่ แต่ก็อาจไม่ได้อยู่ด้วยกันก็เป็นได้ เพราะการทำกรรมมาไม่เท่ากัน
ในกรณีนี้จะลองสมมติว่า ตายพร้อมกันตั้งแต่ยังหนุ่มสาว และได้อยู่ด้วยกันในโลกวิญญาณ เพราะเป็นการตายก่อนอายุขัย ในกรณีแรกสมมติว่า ทั้งสองมีอายุเท่ากันตอนตาย และมีอายุขัยเท่ากันด้วย ทำให้ทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน ในโลกวิญญาณในเวลาเท่ากัน แต่หลังจากสิ้นอายุขัยจากโลกวิญญาณ และต้องไปเกิดแล้ว ทั้งสองก็ย่อมต้องไปตาม วิถีกรรมของตนตามธรรมดา ทำให้โอกาสที่จะกลับมา พบเจอกันนั้นยากเกินกว่า จะคาดคะเนได้
แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่จิตวิญญาณสองดวง จะมีอายุขัยเท่ากันก็เป็นไปได้ยาก เพราะล้วนมีอดีตกรรม ที่ทำมาไม่เหมือนกัน อีกประการที่สำคัญก็คือ กรรมตัดทอนหรือกรรมอุปถัมป์ ในอดีตที่ตามมาส่งผล ก็ล้วนมีโอกาสที่จะทำให้จิตวิญญาณทั้งสอง ต้องหลุดออกไปจากโลกวิญญาณ ในเวลาต่างกันได้ด้วย ที่สำคัญการฆ่าตัวตายในอารมณ์ ที่ทั้งรักและคับแค้นนั้น
ผู้เขียนต้องขอบอกว่า แม้จะได้อยู่ด้วยกันแต่ก็จะต้องจมอยู่ กับความรู้สึกเช่นนั้นตลอดเวลา ใช่ว่าจะมีความสุขมากกว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ก็หาไม่ เพราะจะต้องเฝ้าวนเวียนเศร้าซึมรันทด และฆ่าตัวตายกันอยู่อย่างนั้นไปตลอดกาลจนกว่าจะมีเหตุแทรกแซง จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างใดอย่างหนึ่ง
การฆ่าตัวตายจึงไม่ใช่ ทางออกจากความทุกข์ ในทางตรงกันข้ามจะกลายเป็น การสร้างนรกส่วนตัว สำหรับให้ตัวเองต้องจมอยู่ กับอารมณ์ความรู้สึก ที่เป็นทุกข์นั้นตลอดไป เรื่องนี้ไว้ผู้เขียนจะนำมาอธิบาย ขยายความกัน ในรายละเอียดอีกที ตอนนี้ จะขอกลับมาเรื่องของคู่กรรม ที่อธิษฐานขอมาพบเจอกันต่อ โดยจะขอเน้นไปที่เรื่องของบุพกรรม หรือกรรมที่ทำไว้ในอดีต
ที่รู้จักกันในนามของบุพเพสันนิวาส หรือกรรมที่ตั้งใจไว้ จะมาเป็นคู่ครองกัน โดยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การมีบุพเพสันนิวาสต่อกันนั้น มิใช่การรับประการความสุขใดๆ ในการที่จะอยู่ร่วมกัน จงจำไว้เสมอว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้มีความสุขชั่วกัลปาวสาน เหมือนในเทพนิยายทั้งหลายนั้น
คนที่มีบุพเพสันนิวาสต่อกันนั้น ก็เป็นเพียงกรรมสัมพันธ์ในอดีต ที่ส่งผลให้ได้มาประสบพบเจอกัน และมีความรู้สึกที่ดี ต่อกันในเชิงของคู่รัก มากกว่าความเป็นเพื่อนธรรมดา แต่หลังจากนั้นดังที่เคยกล่าวไว้แล้ว โอกาสที่คนทั้งสองจะได้ร่วมอยู่กัน ฉันสามีภรรยาหรือไม่นั้น ก็ล้วนขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตที่สะสมมา
จนก่อเกิดเป็นอุปนิสัยในชาติปัจจุบัน บ่อยครั้งที่แม้จะรู้สึกดี ต่อกันและรักกันในเบื้องต้น แต่หลังจากได้ทำความเข้าใจเรียนรู้ ซึ่งกันและกันมากขึ้น กลับพบว่าไม่สามารถไปด้วยกันได้ เป็นเพราะ อุปนิสัยใจคอที่แตกต่างกันจนเกินกว่า จะสมานฉันท์ปรองดองกันต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้คำว่าคู่ครอง หรือเนื้อคู่นั้น จึงดูเหมือนจะไร้ความหมาย เพราะมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ จะรับประกันความสุข ของชีวิตคู่แต่อย่างไร คำว่าเนื้อคู่หากจะหมายถึงเพียง การได้กลับมาเจอะเจอกัน มีความรักจริงใจ จนตัดสินใจแต่งงาน อยู่กินกันนั้น ก็ต้องถือว่า ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากนั้นไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ชีวิตรักจะเต็มไปด้วยความสุขสมหวัง อย่างที่คาดหมายไว้ตั้งแต่ตอนก่อน จะแต่งงานกันหรือไม่
เพราะกรรมปัจจุบัน ที่จะเกิดต่อไปของแต่ละคน ล้วนมีโอกาสที่จะทำให้ชีวิต มีความแตกต่างกันไปตลอดเวลา ดังนั้นบุพเพสันนิวาส จึงเป็นเพียงบุพกรรมในอดีต ที่ส่งผลให้มาเจอกันเท่านั้น ไม่ต่างจากเจตนาอธิษฐาน ที่ได้พูดถึงกันยืดยาว ในช่วงต้นของบทความนี้ และมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร หากทั้งสองคน มิได้สร้างกรรมปัจจุบันใหม่ๆ ที่จะส่งผลให้ช่วยประคับประคองกัน ให้สามารถมีชีวิตคู่ที่ดีตลอดไป
ที่ผู้เขียนต้องเน้นย้ำว่ามันเป็นไปได้ยาก ก็เพราะว่า กว่าจะมาเจอกันต่างฝ่าย ก็ล้วนเวียนว่ายตายเกิดไป ในที่แตกต่างกันมาก่อน จึงย่อมสะสมผลกรรมที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อกรรมเหล่านั้น มาส่งผลก็ย่อมกระทบกระเทือน ถึงอุปนิสัยใจคอที่เป็นอยู่ คนบางคนปกติดู เหมือนจะใจเย็นสงบเสงี่ยม แต่พอถูกผลกรรมในอดีตรุมเร้า จนทำให้เกิดความเครียด
ก็ทำให้ยากที่จะควบคุม อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ให้สม่ำเสมอต่อไปได้ และบ่อยครั้งที่จะมีการระเบิดอารมณ์ ปลดปล่อยความรู้สึก ที่แท้จริงออกมาต่อคู่ครองของตน สิ่งเหล่านี้จึงล้วนเป็นผล ให้เกิดความแตกร้าว ที่ยากจะประสาน ในชีวิตคู่ส่วนมาก เพราะเมื่อคุณเคย ระเบิดอารมณ์ออกมาครั้งหนึ่ง ย่อมไม่สามารถรับประกัน หรือทำให้อีกฝ่ายวางใจได้ว่า มันจะไม่เกิดเหตุ ซ้ำรอยขึ้นอีกในโอกาสต่อไป
ดังนั้นการเรียนรู้และเข้าใจ ในกลไกของกฏแห่งกรรม ก็น่าจะช่วยให้ทุกฝ่ายมีมุมมอง ที่กว้างไกลมากขึ้นต่ออีกฝ่าย และอาจทำให้สามารถ ทำความเข้าใจความรู้สึก ของฝ่ายตรงข้ามได้ดีขึ้น ประการสำคัญที่บทความนี้ ต้องการนำเสนอก็คือ เมื่อกรรม เป็นเครื่องกำหนดบทบาทในชีวิต ก็ควรเน้นที่จะประกอบในกรรม ที่จะส่งผลไปในทางที่ตนปรารถนา
แม้จะเป็นการยากเพราะการตบมือข้างเดียว ย่อมไม่เกิดเสียงดังฉันใด การมุ่งมั่นประกอบกรรม เพื่อพยายามประคับประคองชีวิตคู่ แต่เพียงฝ่ายเดียวก็ย่อมไม่บังเกิดผลฉันนั้น การจะดำรงชีวิตคู่ให้คงอยู่ต่อไปได้ คนทั้งสองที่อยู่ร่วมกัน จึงต้องพยายามเรียนรู้เข้าใจ ซึ่งกันและกัน โดยมีความรู้ความเข้าใจ ในกลไกของกรรมเป็นพื้นฐาน
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักรู้ ไว้ในใจเสมอก็คือ ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกียะ เพราะฉะนั้นความคาดหวัง หรือความปรารถนาที่เกินเหตุ คือมุ่งมั่นจะสร้าง ความมั่นคงแน่นอน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดหมายได้ เพราะมันเป็นการฝืน กฏแห่งธรรมชาติของโลกียะ ที่อยู่เหนือกฏแห่งกรรมขึ้นไป การเข้าใจในกรรม และมุ่งมั่นจะสร้างเหตุปัจจัย ที่คาดหวังว่าจะส่งผลในทิศทางที่ตนประสงค์นั้น สามารถกระทำได้แต่คาดหวังไม่ได้
เพราะหลักแห่งกระแสกรรมสหสัมพันธ์ ย่อมยากที่จะกำหนดสภาพแวดล้อม ที่จำกัดเฉพาะเป็นของส่วนบุคคลได้ เนื่องจากทุกจิตวิญญาณ ล้วนอยู่ท่ามกลาง ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เป็นโยงใยที่เชื่อมต่อกันไป อย่างไม่อาจแบ่งแยก เป็นอิสระจากกันได้ ดังนั้นกฏแห่งกรรม จึงย่อมมีข้อจำกัด ไม่สามารถออกพ้นไป จากหลักแห่งความไม่แน่นอน ของธรรมชาติในฟากฝั่ง แห่งการสมมตินี้ได้
สรุปแล้วคนสองคน เมื่อได้มีโอกาสอยู่ร่วมกัน ก็จงพยายามสร้างความทรงจำที่ดีให้กัน เผื่อว่าโอกาสหน้าได้มา พบเจอกันอีกในชาติภพใดๆ ก็ตาม จะได้เริ่มต้นที่ความรู้สึกที่ดีเหล่านี้ การอธิษฐานด้วยความรัก ความผูกพันนั้นสามารถกระทำได้ แต่ไม่สามารถคาดหวังใดๆ ด้วยความเข้าใจนี้ย่อมทำให้ การอธิษฐานตั้งอยู่บนปัญญาความเข้าใจ ที่ถูกต้องตามหลักกลไก ของกฏแห่งกรรม
ผลที่ได้ย่อมไม่เป็นการทุ่มเท ลุ่มหลงงมงายอย่างไร้สติ การอธิษฐานที่อยู่บนพื้นความคิดที่ว่า ไม่มีความแน่นอนใดๆ จะเป็นเครื่องยืนยันรับรองได้ ดังนั้นตัวเจตนาจะไม่แรงกล้าพอ ที่จะทำให้ทุกครั้งที่พบเจอ ต้องกลายเป็นคนขาดสติ และจมอยู่ในความใคร่ที่ไร้เหตุผล การพยายามสร้างความรู้สึกที่ดีให้กัน ในระหว่างที่ยังอยู่ด้วยกัน น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ให้ใช้หลักทำดีต่อกันทุกวัน
ชีวิตคู่ที่ดำเนินไปก็จะดำรงอยู่ บนพื้นฐานของความรัก ความเข้าใจที่ดีตลอดเวลา และหลังจากสิ้นชีวิต พรัดพรากจากกันแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ก็ให้ถือเสียว่า บทบาททั้งหลายได้จบสิ้นลง การเจอะเจอกันในวันข้างหน้า จะเป็นบทบาทใดก็ขอให้ เป็นเรื่องของอนาคตต่อไป
เท่าที่กล่าวมานี้ท่านผู้อ่าน ก็คงจะพอทำความเข้าใจได้บ้างแล้วว่า กลไกของกรรมนั้นมีความซับซ้อน จากภาวะของสหสัมพันธ์เป็นอันมาก ทำให้สิ่งที่เราปรารถนาอาจจะ ไม่ได้ตามที่เราต้องการเสมอไป เพราะเหตุนี้หรือไม่ พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า สรรพสิ่งในโลกียะมีแต่ การเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด ไม่มีอะไรที่จะอยู่ในอำนาจ การควบคุมได้ทั้งสิ้น มีแต่ความวุ่นวายสับสน โกลาหนอยู่ตลอดเวลา
คนที่พยายามจะแสวงหา ความแน่นอนบนความไม่แน่นอน จึงมีแต่จะเสียแรงเปล่า และต้องได้รับแต่ความเหน็ดเหนื่อย ทั้งกายและใจไม่จบไม่สิ้น ในทางตรงกันข้ามผู้ใดที่มีความเข้าใจ และตระหนักรู้ในกฏ แห่งความไม่แน่นอนเหล่านี้ พวกเขาย่อมปล่อยวาง ความสำคัญมั่นหมาย และความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งหลาย ซึ่งย่อมจะทำให้ชีวิตของพวกเขา มีทุกข์น้อยลงไปตามส่วน แห่งความเข้าใจของตนเป็นธรรมดา
(กลไกกลกรรม ep.1 คู่กรรมอธิษฐาน)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา