Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อรรถเสวนา
•
ติดตาม
1 ก.ค. 2023 เวลา 15:20 • ปรัชญา
บทบาทที่แท้จริง
สำหรับชาวพุทธทั่วไป สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนเกณฑ์ความเชื่อ ที่ถือกันว่าเป็นสัมมาทิฐิ หรือความเห็นที่ถูกต้องนั้น นอกจากจะเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์แล้ว ยังต้องมีความเชื่อในเรื่องของกรรมเป็นพื้นฐาน คือ เชื่อว่า วงจรของกฏแห่งกรรมมีอยู่จริง ผู้ใดทำกรรมสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมที่ตนกระทำนั้นตอบสนอง ช้าเร็วสุดแล้วแต่กำลังแห่งเจตนาหรือความตั้งใจที่จะทำกรรมนั้นมีความเข้มข้นมากน้อยเพียงใด หากเจตนาอ่อนผลกรรมก็อ่อนเบาและตอบสนองช้า แต่ถ้าเจตนาแรงกล้า ผลกรรมก็รุนแรงและตอบสนองอย่างรวดเร็ว
และจากผลพวงของความเชื่อดังกล่าว ก็ได้ก่อให้เกิดคติความเชื่อที่ต่อเนื่อง คือเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือวงรอบแห่งวัฏฏะสงสารที่ไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด เป็นวงจรที่หมุนเวียนไปไม่จบสิ้น เป็นไปตามธรรมชาติแห่งวงจรกรรม เพื่อให้ผู้กระทำกรรมต้องเวียนเกิดมารับผลกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ด้วยเหตุนี้ ในหลักธรรมของพุทธศาสนา จึงให้ความยอมรับในเรื่องของชาติภพ และวงจรการเกิดตายอันไม่จบสิ้น ตราบที่ยังไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากโลกียะได้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นวงเวียนแห่งกรรมเหล่านี้เป็นธรรมดา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิตวิญญาณมีการเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่สิ้น จึงเป็นธรรมดาที่จะมีโอกาสได้เล่นบทบาทต่างๆ นานา หลากหลายเกินกว่าที่จะนับได้ถ้วนทั่ว และบ่อยครั้งก็จะมีโอกาสวนเวียนเล่นซ้ำบทบาทเดิมมาไม่รู้จะกี่ครั้งกี่หนแล้ว เพียงแต่ที่ดูเหมือนจะจดจำไม่ได้ ก็เป็นผลเนื่องมาจากธรรมชาติของกลไกความสัมพันธ์ระหว่างรูปนามและวิญญาณ ดังได้กล่าวไว้ในบทความชื่อ จักรวาลทั้งสาม นั้น หากท่านผู้อ่านสนใจก็เชิญไปหาอ่านได้ตามอัธฌาศัย
ในที่นี้ก็จะขอนำรายละเอียดบางส่วนมาสรุปเอาไว้สักเล็กน้อย เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจเรื่องราวที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ กล่าวคือ วิญญาณแม้จะเป็นธรรมชาติที่สามารถรับรู้ได้ แต่เนื่องจากมีอวิชชาหรือความไม่รู้เป็นพื้นฐาน ตามที่ปรากฏอยู่ในสายของ ปฏิจสมุปบาท ดังนั้นวิญญาณจึงไม่สามารถเป็นผู้รู้ที่แท้จริง แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวรู้ หรืออุปกรณ์รับรู้สำหรับจิตเดิมเท่านั้น
ดังนั้นประสบการณ์ทั้งหลายที่ผ่านพ้นเหตุการณ์นับชาติภพไม่ถ้วนนั้น จึงถูกบันทึกสั่งสมไว้โดยจิตเดิม ไม่ใช่ตัววิญญาณ การที่จะย้อนดูหรือสืบค้นสรรพเหตุการณ์ในชาติภพเก่าๆ จึงต้องกระทำโดยผ่านจิตเดิมเท่านั้น จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
คราวนี้เราจะพยายามตอบโจทย์ที่ว่า ทำไมวิญญาณจึงจำความในอดีตไม่ได้ เมื่อเกิดมาสู่ชาติภพใหม่ จนทำให้เป็นสาเหตุของการไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจในเรื่องภพชาติ ซึ่งยังไร้ข้อพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมชัดแจ้งในปัจจุบัน และมักจะอ้างกันว่า ถ้ามีอยู่จริงทำไมจึงจำไม่ได้ ความจริงแล้วในเรื่องนี้หากจะสืบค้นกันให้ลึกซึ้งก็จะพบว่า ในปัจจุบันในแวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์และจิตวิทยา ก็ได้มีเอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการวิจัยค้นคว้า ที่น่าเชื่อถือเป็นหลักฐานยืนยันอยู่ไม้น้อย
โดยเฉพาะการสะกดจิตให้ระลึกชาติ แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปพิสูจน์ยืนยันได้อย่างถูกต้อง ก็มีอยู่มาก และเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะหาอ่านได้ไม่ยาก ในบทความนี้จึงจะไม่ขอกล่าวถึงในรายละเอียด เพราะต้องการใช้เนื้อที่พูดถึงในแง่มุมอื่นๆ ที่ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงกันมากนัก
ก่อนจะตอบคำถามเกี่ยวกับการลืมเลือนของวิญญาณ ก็ต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการทำงานของวิญญาณก่อน เมื่อวิญญาณเป็นตัวรู้ โดยรับข้อมูลผ่านมาทางอายตนะทั้งห้า กล่าวคือ การเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น และสัมผัสด้วยกาย ซึ่งข้อมูลใหม่เหล่านี้ทั้งหมดจะถูกส่งผ่านจากอายตนะหรือประสาทสัมผัส ไปยังระบบการรับรู้ของวิญญาณ แต่เพราะความไม่รู้จริง วิญญาณจึงต้องนำความรู้เหล่านี้ไปผ่านกระบวนการทั้งสาม คือ เปรียบเทียบ แบ่งแยก และตัดสิน
โดยการเปรียบเทียบจะกระทำกับข้อมูลเก่าในความทรงจำดั้งเดิมหรือที่เรียกว่า สัญญา จากนั้นก็นำข้อมูลเก่าและข้อมูลใหม่มาทำการวิเคราะห์ด้วยกระบวนการคิด ที่เรียกว่า สังขารหรือการปรุงแต่ง เพื่อจำแนกแบ่งแยกให้ชัดเจนลงไปว่าใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ก็จะสังเคราะห์ออกมาเป็นความรู้สึกว่าชอบไม่ชอบ รักหรือเกลียด อยากหรือไม่อยาก ทางกลไกของ เวทนา ก่อนจะแสดงออกไปทางพฤติกรรมของกายและวาจา ซึ่งเป็นบทบาทของรูปที่ภายนอก
จากกลไกข้างต้นนี้ จึงพอสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ตัวรับความรู้จากอายตนะ ก็คือวิญญาณ ส่วนความทรงจำเดิมคือสัญญา ความคิดคือสังขาร และความรู้สึกคือเวทนานั้น ทั้งสามสิ่งนี้จะรวมเรียกว่า ใจหรือนาม ส่วนสุดท้ายก็คือส่วนที่แสดงพฤติกรรมออกไปภายนอก ที่เรียกว่ากายหรือรูปนั่นเอง
ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า สรรพสิ่งนั้นประกอบขึ้นด้วยเบญจขันธ์ หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าขันธ์ห้านั้น ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือจะเรียกกันง่ายว่า รูป นาม วิญญาณ ก็ไม่ผิดนัก และยังทรงเน้นย้ำไว้ว่า ขันธ์ทั้งห้านี้มีสภาวะที่เป็นอนิจจังหรือความไม่เที่ยง คือมีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงเป็นทุกข์ เพราะแปรปรวนจึงไม่อาจคงทนถาวรได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วจึงเป็นอนัตตา เพราะแปรปรวนคงอยู่ไม่ได้จึงไม่ใช่ตัวตน ที่จะสามารถเข้าไปยึดถือหรือให้ความสำคัญมั่นหมายจริงจังแต่อย่างไร
และเพราะสภาพที่ไม่คงที่ ควบคุมไม่ได้ ของรูปและนามนี้เอง ในทุกภพชาติที่มีการตาย นามหรือใจดั้งเดิมนั้นย่อมดับ จากนั้นรูปซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะค่อยเสื่อมสลายไปตามลำดับ ยกตัวอย่างในภพภูมิของมนุษย์เพื่อให้เห็นภาพได้ชัด กล่าวคือ ลมหายใจหยุดหรือดับก่อน ไฟคืออุณหภูมิก็จะดับตาม ทำให้คนตายตัวเย็นชืด จากนั้นน้ำก็จะค่อยสลายตัวเนืองนองออกมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนองสารพัด
สุดท้ายก็จะเหลือแต่ดินที่เป็นเนื้อหนังและโครงกระดูกที่จะค่อยสูญสลายไปตามกาลเวลา ในส่วนของภพภูมิที่เป็นมวลพลังงานก็จะมีรูปนามเช่นกัน แต่มีสภาวะที่ละเอียดอ่อนกว่าจึงสังเกตุเห็นได้ยาก จะอย่างไรรูปนามของผู้ที่ไปเกิดในภพภูมิเหล่านั้นก็ต้องมีอันเสื่อมสิ้นสูญเช่นเดียวกันหมด และสภาวะที่รูปนามต้องดับลงในทุกชาติภพนี้เอง จึงทำให้สัญญาหรือความทรงจำที่เป็นส่วนหนึ่งของนามพลอยดับไปด้วย
ดังนั้นเมื่อวิญญาณต้องไปเกิดในภพชาติต่อไปตามแรงกรรม ก็ย่อมไปจุติในรูปนามที่เกิดขึ้นใหม่ มิใช่รูปนามเดิม จึงทำให้ความทรงจำเดิมไม่อาจส่งผ่านต่อไปทั้งหมด จะมีบ้างก็เพียงการรับรู้สุดท้ายของวิญญาณก่อนที่รูปนามเดิมจะดับ และส่งผ่านไปยังรูปนามที่เกิดใหม่ในทันที ซึ่งจะเป็นเพียงความทรงจำในช่วงสั้นๆ ก่อนตาย และจะเป็นไปได้เฉพาะกรณีของภพภูมิที่เป็นมวลพลังงานเท่านั้น
หรือที่เรียกกันว่าโอปปาติกะ คืออุบัติเกิดขึ้นทันที ในส่วนภพภูมิที่เป็นมวลสารสภาวะดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะต้องผ่านกระบวนการก่อรูปเป็นสสารอีกชั้นหนึ่งไม่ว่าจะเกิดในไข่หรือในครรภ์ของมารดาก็ตาม และในช่วงพักรอนี้เองที่ความรู้ดังกล่าวของวิญญาณอาจสูญสลายไปตามหลักของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ดังกล่าวข้างต้นนั้น
พูดมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นหนทางเลาๆ แล้วว่า เหตุใดวิญญาณจึงจดจำเรื่องราวในอดีตชาติภพไม่ได้ แต่การจำไม่ได้ของวิญญาณ มิใช่การเข้าไปรู้ไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านพ้น จิตเดิมจะจดจำไว้หมด โดยความทรงจำที่แท้นี้เองจะถูกบันทึกไว้ในเส้นเหตุการณ์-เวลา (Event-Time line) หรือสายธาตุธรรมเดิมภายในจิต และเหตุที่ความทรงจำเหล่านี้ไม่สูญหายตามไปด้วย ก็เพราะจิตเดิมนั้นมีความเป็นนิรันดร์ ไม่มีการเกิดตาย จึงทำให้ทุกสิ่งที่จิตเดิมทรงจำไว้พลอยเป็นอมตะตามไปด้วย อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงได้
หากกระทำอย่างถูกวิธี ดังเช่น การทำสมาธิจิตจนถึงระดับที่จะโน้มเข้าสู่บุพเพนิวาสนุสติญาณ หรือความรู้เกี่ยวกับชาติภพเดิมๆ ของตนเอง หรือการโน้มไปสู่จุตูปปาติญาณ ซึ่งเป็นความรู้ที่จะสามารถเข้าถึงกระแสกรรมสหสัมพันธ์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำให้ไปหยั่งรู้ได้ว่า สัตว์ทำกรรมใดจะต้องไปเสวยผลแห่งกรรมใด ส่วนกรรมวิธีในการฝึกฝนนั้น ความจริงแล้วก็มีการพูดถึงอยู่มากในแวดวงพระพุทธศาสนา เชื่อว่าคงจะหาอ่านกันได้ไม่ยาก และหากมีเวลาผู้เขียนก็จะนำมาถ่ายทอดพูดถึงในแง่มุมที่แตกต่างออกไปอีกที
ถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านก็คงจะพอเข้าใจแล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีอยู่ แต่ที่วิญญาณจดจำไม่ได้นั้น เป็นเพราะทุกครั้งที่เกิดตายจะมีการเปลี่ยนรูปนามใหม่ จึงทำให้สัญญาหรือความทรงจำเดิมสูญหายไป แต่อาจมีข้อมูลเก่าจากการรับรู้ของวิญญาณก่อนตายจากชาติภพเดิม มาถูกบันทึกลงในสัญญาตัวใหม่ได้ ส่วนในกรณีของคนหรือสัตว์ที่เป็นมวลสาร มักจะเป็นรูปนามว่างๆ เสียมากกว่า ดังจะเห็นได้จากเด็กเล็กๆ ที่บริสุทธิ์ดุจผ้าขาว และพร้อมที่จะถูกขีดเขียนแต่งแต้มสีสันใหม่ๆ เข้าไป
พวกเด็กๆ จึงสามารถเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะนามของพวกเขายังว่างเปล่าอยู่ มันทำให้พวกเขากระหายที่จะรับรู้สิ่งที่ดูเหมือนแปลกใหม่สำหรับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่สามารถใช้กระบวนการทั้งสามคือการคิด การจำ และการรู้สึก ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก วิญญาณของพวกเด็กๆ จึงต้องใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยกับรูปนามใหม่สักระยะหนึ่ง และนี่ก็คือหลักฐานความไม่เที่ยงของเบญจขันธ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสถึง
ความจริงแล้ว การจดจำอะไรไม่ได้ในชาติภพใหม่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายแต่อย่างไร ตรงกันข้ามมันก็ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน ประการแรกก็คือทำให้จิตวิญญาณสามารถเริ่มต้นเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ไม่ต้องจมปรักติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ และสามารถวางตัวได้อย่างเหมาะสมกับชาติภพใหม่ของตน
ยกตัวอย่างเช่น คนที่เคยเกิดเป็นสุนัขและชอบกินอาจมของสกปรกเป็นอาหาร เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ หากยังไม่ลืมความกระหายอยากเก่าๆ นั้นก็คงลำบากไม่น้อย หรือคนที่เคยกระทำความผิดร้ายแรงมา หากไม่มีการล้างข้อมูลเพื่อเริ่มต้นใหม่ พวกเขาก็อาจยังคงถูกความผิดในอดีตมาตามหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น จนทำให้ไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
นอกจากที่กล่าวมานี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับการระลึกชาติที่น่าสนใจอยู่อีกบางประการ คือมักจากถามกันว่า ถ้ามีชาติหน้าชาติก่อนจริง ทำไมผู้ที่ตายไปแล้วไม่กลับมาบอกกล่าวให้ผู้ที่ยังอยู่รับทราบ หากเจอคำถามประเภทนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านผู้อ่านก็คงสามารถอธิบายให้พวกเขาฟังได้แล้วว่า เพราะวิญญาณต้องไปทรงรูปนามใหม่ แต่หากถูกถามเกี่ยวกับกรณีที่ยังมีผู้ย้อนระลึกชาติได้ เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า เป็นการเข้าไปดูในสิ่งที่จิตบันทึกไว้ และการจะเข้าไปได้นั้น ก็ต้องผ่านกระบวนการทางจิตเพียงสถานเดียว
ดังนั้นคนที่ระลึกชาติได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กเล็กๆ เพราะจิตใจยังบริสุทธิ์สะอาดไม่มีความคิดมารบกวน สภาวะที่ว่างจากความคิดนี้เอง จึงทำให้พอจะเข้าไปรับรู้ข้อมูลในอดีตได้บ้าง แต่ในกรณีนี้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนด้านสมาธิจิตต่อไป ไม่ช้าก็จะถูกกระแสโลกกลืนกิน จนทำให้ความบริสุทธิ์แต่เยาว์วัยนั้น
ต้องถูกปนเปื้อนจนสูญเสียความสามารถทางจิตในการเข้าถึงข้อมูลในอดีตนั้น อีกกรณีหนึ่งก็คือการที่อยู่ในสภาวะตกภวังค์จากการสะกดจิต ซึ่งก็เป็นการทำให้เกิดภาวะที่ว่างจากความคิดเช่นกัน ในกรณีนี้หากผู้สะกดมีความสามารถในการโน้มน้าวที่ดีพอ ก็สามารถไขความรู้เดิมของจิตออกมาได้
ส่วนในกรณีของภพภูมิแห่งมวลพลังงานนั้น พวกเขาย่อมมีธรรมชาติในการเชื่อมโยงกับจิตซึ่งเป็นมวลรู้ที่มีมิติละเอียดใกล้เคียงกับมวลพลังงานมากกว่า เหล่ามวลพลังงานเหล่านี้จึงสามารถเข้าถึงข้อมูลดั้งเดิมได้ หากพวกเขาปรารถนา ซึ่งยังคงใช้เกณฑ์เดียวกันคือต้องสงบระงับจากความคิดคำนึงทั้งหลาย และปล่อยให้ความรู้ของจิตปรากฏขึ้นเอง ส่วนกรณีของเหล่าสัมภเวสี หรือผู้ที่อยู่ในอบายจะมีความแตกต่างไปบ้างแม้จะเป็นมวลพลังงานเหมือนกันก็ตาม
พวกนี้อาจจะรับรู้เรื่องราวในชาติภพที่ผ่านมาได้บ้าง จากกระบวนการรับรู้ของวิญญาณก่อนตายและมาบันทึกใส่สัญญาในรูปนามใหม่ จึงเป็นเพียงความจำช่วงสั้นๆ และมักจะเกี่ยวเนื่องกับภาวะก่อนตายของตนมากกว่า นอกจากนั้นพวกนี้ยังต้องได้รับทุกข์เวทนาเกินกว่าจะมีสติพอที่จะสงบระงับ เพื่อเข้าถึงความทรงจำใดๆ ได้ ดังนั้นแม้จะมีความจำอยู่บ้างแต่ก็มักจะสับสนเกินกว่าจะเข้าใจได้ จึงน่าจะเรียกว่า เป็นความรู้สึกตกค้างก่อนตายจะตรงกว่า
อธิบายมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านก็คงจะมีข้อมูลเพียงพอแล้วที่จะตอบคำถามที่ว่า ทำไมผู้ที่ตายไปแล้วไม่กลับมาบอกเล่าให้ฟัง โดยจะขอสรุปเป็นสามระดับดังนี้คือ ระดับที่หนึ่งสมมติว่าผู้ตายไปเกิดในภพภูมิชั้นสูง นับแต่ขั้นเทพขึ้นไป พวกนี้สามารถจดจำเรื่องราวแต่หนหลังได้ แต่เพราะเวลาของแต่ละภพภูมิมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกันมาก สมมติว่าผู้ตายไปเกิดในภพภูมิที่หนึ่งวันของที่นั้นเท่ากับร้อยปีในมนุษย์
ดังนั้นเมื่อผู้ตายรู้ตัวว่าตนเองมาอยู่ในภพภูมิใหม่แล้วเกิดนึกถึงบรรดาญาติมิตรของตนได้ และต้องการลงไปบอกให้รับรู้ เวลาในโลกก็อาจผ่านไปแล้วหลายร้อยปี ทำให้ญาติมิตรของผู้ตายนั้น ล้วนแยกย้ายตายจากไปเกิดยังภพชาติอื่นกันหมดแล้ว จึงไม่มีผู้ใดอยู่รอรับการบอกเล่า ถ้าโชคดีได้เกิดไปอยู่ในภพภูมิเดียวกัน ก็คงจะหายสงสัยได้เองโดยไม่ต้องมีใครบอก
ระดับที่สองถ้าผู้ตายไปเกิดในอบาย หรือภพภูมิชั้นต่ำ พวกนี้ก็ไม่ต่างจากคนติดคุกหรือถูกกักกัน แม้จะจดจำได้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่สามารถขึ้นมาบอกกล่าวกับญาติพี่น้องของตนได้ ส่วนระดับสุดท้ายหรือระดับที่สามนั้น ผู้ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ ในกรณีนี้ก็ต้องบอกว่า น้อยครั้งจะจดจำได้ เพราะต้องรอพักเพื่อก่อเกิดของรูปนามใหม่ดังกล่าว
แต่แม้จะจดจำได้ บางครั้งกลับทำให้สับสนเปล่าๆ เพราะเคยผ่านมาแล้วแทบจะทุกบทบาท สมมติว่า มาเกิดชาติใหม่เป็นเด็กแล้วไปเจอผู้หญิงแก่ที่เคยเป็นภรรยาตน จึงอาจทำให้เกิดความสับสนได้จากความผูกพันเก่าๆ ในขณะที่อีกฝ่ายจำอะไรไม่ได้ ก็จะพลอยวุ่นวายตามไป จากการรบเร้าพัวพันของคนที่สับสนกับบทบาทในอดีตและปัจจุบันของตน
นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ บทความนี้ต้องการพูดถึง และต้องการสื่อสารไปยังทุกๆ ภพภูมิให้เข้าใจบทบาทที่แท้จริงของแต่ละคน ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น โดยต้องขอบอกว่า หากจะกล่าวไปแล้ว การเกิดตายข้ามพ้นภพชาติมานับไม่ถ้วนกันทุกดวงวิญญาณนั้น ย่อมต้องเคยมีโอกาสสัมพันธ์เจอะเจอกันมาหลายต่อหลายบทบาทแล้ว และหากสามารถทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้
ท่านก็จะรู้ด้วยตัวเองว่า คนทุกคนล้วนเคยมีบทบาทความสัมพันธ์ต่อกันมาในทุกรูปแบบ แม้แต่หญิงที่เรากำลังจะเข้าไปจีบนั้น ก็ล้วนเคยเป็นทั้งลูก พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งเคยเกิดเป็นศัตรูที่ตามล้างผลาญกันมาทั้งสิ้น ดังนั้นหากจะถามว่า แล้วจะใช้บทบาทไหนกัน ก็ต้องบอกว่า ไม่มีแม้แต่บทบาทหนึ่งที่เป็นจริง เพราะเคยเป็นมาแทบทุกบทบาท แล้วก็จบสิ้นเลิกลากันไปแล้ว
หากท่านรู้เช่นนี้ ท่านย่อมหมดสิ้นอารมณ์ความผูกพันดังกล่าวไปโดยปริยาย และนี่คือสิ่งที่ผู้เข้าใจในสังสารวัฏฏ์อย่างกระจ่างชัด ดังเช่นพระอริยะเจ้าทั้งหลาย ย่อมสิ้นสูญความผูกพันโยงใยในโลกเป็นธรรมดา เพราะล้วนเห็นแจ้งแล้วว่า ไม่มีความผูกพันที่แท้จริงใดๆ ในโลกนี้ ทุกบทบาทล้วนหมุนเวียนแปรเปลี่ยนไปตามอำนาจแห่งกรรมสัมพันธ์ที่ไร้สารัตถะอันจริงแท้ทั้งสิ้น
พูดถึงเรื่องนี้จึงพลอยนึกถึง กรณีของผู้ที่เคยประสบกับปัญหา คู่ในอดีตชาติติดตามมาหึงหวงก่อกวน เรื่องนี้หากถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปได้ แต่ค่อนข้างยาก เพราะหลักการเหลื่อมล้ำของเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นในกรณีของวิญญาณที่มีความยึดมั่นในคู่ครองล่าสุดของตน โดยอาจเป็นการติดยึดเพียงข้างเดียว
เมื่อมาพบก็จะเข้ามาหาและพยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าๆ จนอาจสร้างปัญหาให้แก่วิญญาณที่ถูกก่อกวนนั้น ซึ่งในบทความนี้จะขอพูดถึงเฉพาะกรณีของมนุษย์เท่านั้น โดยจะชี้ให้เห็นว่า ลักษณะใดที่จะเป็นการติดตามมาจริง หรือเป็นการคิดไปเอง เพื่อให้ท่านที่ประสบกับปัญหาดังกล่าว จะสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่า กรณีของตนเป็นเรื่องจริงหรือไม่
โดยในที่นี้จะขอยกกรณีศึกษาที่เคยเกิดขึ้นกับสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า มีพี่สาวท่านหนึ่งที่รู้จักกับกลุ่มปฏิบัติธรรมที่ผู้เขียนเคยอยู่ร่วมด้วย ปรากฏว่าพี่คนนี้มีแฟนเป็นคนต่างชาติชาวเยอรมัน และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนถึงขั้นที่แฟนจะบินมาแต่งงานกันที่ประเทศไทย แต่เพียงลงเครื่องบินที่สนามบินดอนเมืองในตอนนั้น ปรากฏว่าหนังสือเดินทาง และเอกสารสำคัญล้วนสูญหายสิ้น
จนไม่สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ จำต้องบินกลับประเทศไป และเหตุการณ์ก็เกิดซ้ำซ้อนอยู่เช่นนั้นถึงสามครั้ง จนพี่สาวท่านนั้นรู้สึกผิดสังเกตุจึงมาปรึกษากับพวกของผู้เขียนในกลุ่ม พวกเราก็ทำการตรวจสอบดูจึงพบว่า มีอดีตคู่ครองที่ตามมาเจอ เกิดความหึงหวงไม่ยินยอม จึงขัดขวางในทุกรูปแบบ และเพราะความเป็นเทพที่มีอิทธิอำนาจจึงสามารถทำเรื่องก่อกวนได้ รุ่นพี่ในกลุ่มท่านหนึ่งจึงได้ทำการเจรจาให้ โดยชี้ให้ท่านผู้นั้นเข้าใจว่า ท่านเป็นเทพได้ก็เพราะมีเทวธรรมคือ หิริความละอายต่อบาป และโอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป
ดังนั้นหากท่านยังกระทำการกลั่นแกล้งมนุษย์อยู่เช่นนี้ อาจทำให้ก่อบาปโดยไม่รู้ตัว และต้องสิ้นจากความเป็นเทพอย่างน่าเสียดาย อีกอย่างภพชาติก็แตกต่างกันมาก แม้จะขัดขวางสำเร็จ ก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ และหากท่านรักคู่ของท่านจริง ทำไมไม่ส่งเสริมให้คู่ของตนมีความสุข หรือต้องการให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้างเช่นนี้ไปชั่วชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพอใจหรือ ผลสุดท้ายเทพท่านนั้นก็เกิดสำนึกและยอมวางมือไป
เรื่องเล่าที่ยกมานี้จึงถือเป็นอุธาหรณ์อันดี สำหรับท่านที่ต้องประสบพบกับปัญหาเดียวกันนี้ กล่าวคือ จะต้องมีเหตุอันปรากฏเด่นชัดว่าเป็นอุปสรรคขัดขวาง ในทุกครั้งที่มีความรักความผูกพันกับผู้ใด ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งความรักลึกซึ้งพอที่จะแต่งงานกัน ก็จะยิ่งต้องพบเจอการขัดขวางที่หนักยิ่งขึ้น ดังนั้นหากไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ ก็ต้องบอกว่า น่าจะเป็นการคิดไปเอง
เพราะลำพังการฝันถึงหรือคิดถึง ก็ยังไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ หากถามต่อว่า พวกคู่เก่าที่จะมาตามหึงหวงข้ามภพข้ามชาตินี้ จะเป็นจิตวิญญาณระดับไหนได้บ้าง ก็ต้องบอกว่า ต้องเป็นระดับที่มีอิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นได้ทั้งเทพหรือพวกภูต หรืออสุรกายที่มีฤทธิ์ แต่จะไม่ใช่พวกสัมภเวสีหรือวิญญาณที่ต้องรับทุกข์โทษในอบาย เพราะพวกนี้ปกติก็ต้องได้รับความทุกข์ทรมานไม่ว่างเว้นอยู่แล้ว ย่อมไม่สามารถมาตามหึงหวงผู้ใดได้อีก
ขณะที่พวกสัมภเวสีหรือวิญญาณเร่ร่อน พวกนี้จะมีรัสมีเศร้าหมอง จึงมักจะไม่กล้าเข้าใกล้มนุษย์ที่มีรัสมีกายปกติ แม้จะมีบางในช่วงที่รัสมีตก และพวกนี้พอจะเข้ามาใกล้แต่ก็ทำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก สำหรับคนที่ประสบปัญหาเช่นนี้ ก็ขอให้มีความหนักแน่นและต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด จากนั้นให้ไปถวายพระพุทธรูป และอุทิศผลบุญอุให้คู่ในอดีตผู้นั้น
โดยให้อธิษฐานตัดสัมพันธ์ไปว่า ภพชาติเดิมสิ้นไปแล้ว ความสัมพันธ์เดิมไม่มีแล้ว จากนี้ไปขอให้ต่างคนต่างอยู่ไปตามกรรมแห่งตน อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกเลย ถ้าจิตใจมุ่งมั่นเด็ดขาดจริงๆ แล้ววิธีนี้จะทำให้ไมได้เจอะเจอกันอีกเลยตราบนานเท่านาน
(กลไกกลกรรม ep.2 บทบาทที่แท้จริง)
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
กลไกกลกรรม
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย