15 ก.ค. 2023 เวลา 19:35 • ปรัชญา

ธรรมนำกรรมเสริม

หากจะว่าตามหลักธรรมที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ ของพระพุทธศาสนา ก็จะพบว่ามีการแจกแจงกรรม หรือธรรมนำเกิดไปยังภพภูมิต่างๆ ไว้อย่างละเอียดลึกซึ้ง อาทิเช่น หากต้องการไปเกิด เป็นมนุษย์ก็ต้องมีมนุษยธรรม คือเบญจศีลเป็นอย่างน้อย คือ ละเว้นจากบาปทั้งห้า อันมีการฆ่าหรือทำร้ายชีวิตของผู้อื่น การลักขโมยสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน
การล่วงละเมิดภรรยาของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการสมยอม หรือไม่ก็ตาม การพูดในสิ่งที่เป็นเท็จ ซึ่งบางครั้งจะกินความไปถึง การส่อเสียดหรือยุยง ให้คนแตกกันด้วยเรื่อง ที่ไม่เป็นจริงด้วย และข้อสุดท้ายก็คือ การเสพในสิ่งมึนเมาอันจะเป็นเหตุ ให้เกิดความประมาท เช่น บรรดาสุรายาเสพติดสารพัดชนิด ซึ่งล้วนสามารถทำให้หลงสติ จนไปทำผิดศีลข้ออื่นๆ อีกสี่ข้อข้างต้นได้
ส่วนถ้าอยากไปเกิดเป็นเทพยดา ในแดนสวรรค์ชั้นฟ้า ก็ต้องมีเทวธรรมหรือหิริโอตัปปะ หรือความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป ถ้าต้องการเป็นพรหม ก็ต้องเจริญพรหมวิหารธรรม กล่าวคือ การเป็นผู้มีเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข กรุณา ลงมือช่วยให้ผู้อื่นพ้น จากความทุกข์ มุทิตายินดีกับความสำเร็จ หรือความสุขของผู้อื่น สุดท้ายอุเบกขาวางเฉย ไม่ยินดียินร้าย ต่อเรื่องราวของผู้อื่นใด รวมทั้งของตัวเองด้วย
เมื่อกล่าวถึงฝ่ายสุขคติภูมิ แล้วก็ต้องพูดถึงซีกของทุคติ หรืออบายภูมิด้วย กล่าวคือ ถ้าต้องการตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิด ก็เน้นเรื่องโทสะ หรือความโกรธแค้นอาฆาตเข้าไว้ ถ้าต้องการไปเป็นเปรต หรืออสุรกายก็ให้เน้นที่โลภะ หรือความโลภการอยากได้ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าอยากไปเป็นเดรัจฉาน ก็เน้นที่โมหะ หรือความหลงงมงาย ประเภทที่ใช้ชีวิตแค่ กิน ขับถ่าย สืบพันธ์ แล้วก็นอน พวกนี้ตายไปก็จะได้ไปเกิด เป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่แท้ เพราะใช้ชีวิตแบบเดียวกันนั่นเอง
มาถึงตรงนี้ก็มีคำถามอยู่ประการหนึ่ง ทำไมในเมื่อแต่ละภพภูมิ จึงมีการระบุหลักสูตรหรือแนวทางปฏิบัติ ที่จะนำไปสู่โดยไม่ว่างเว้น แต่เหตุใดภพของเปรต และอสุรกาย จึงใช้เหตุปัจจัยคือ ความโลภเหมือนกัน ผู้เขียนได้เคยลองตรวจสอบ กับคัมภีร์หลายเล่ม แม้แต่ที่พูดถึงเรื่อง ของภพภูมิโดยตรงอย่างโลกทีปนี จักรวาลทีปนี หรือแม้แต่ไตรภูมิ ก็ล้วนไม่มีการชี้ชัด และมองว่าเปรตกับอสุรกายนั้น เป็นอบายที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
คำถามก็คือ เมื่อกรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์โลก ถ้าเช่นนั้นภพของเปรต และอสุรกายที่เหมือนกัน เหตุใดจึงไม่รวมเป็นภูมิเดียวกัน จะจำแนกให้วุ่นวายกันไปทำไม แน่นอนว่าผู้เขียนมีคำตอบอยู่ และพร้อมจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า มันมีข้อแตกต่างกันอย่างมากมาย โบราณท่านจึงแบ่งอบาย ออกเป็นสี่ภพภูมิคือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน
แต่ก่อนอื่นที่ผู้เขียนจะตอบคำถามที่ตั้งไว้ข้างต้น ผู้เขียนจะขอพาท่านผู้อ่านลองไปดู เรื่องของนรกหรือสวรรค์นานาชาติดูบ้าง เพราะมีคำถามมากมายเหลือเกิน เข้ามาที่ผู้เขียนว่า คนแต่ละชนชาติต่างศาสนา และคติความเชื่อ พวกเขาจะมีนรกสวรรค์ ที่เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องของภพภูมิแล้ว ผู้เขียนจึงขอถือโอกาส ยกมาตอบรวมกันในที่นี้
โดยยังอิงอาศัยทฤษฎีเกี่ยวกับ จักรวาลแห่งการสมมติ ที่ผู้เขียนเคยกล่าวถึงไว้ว่า โลกียะล้วนเป็นแดนแห่งการสมมติทั้งสิ้น เพราะสรรพสิ่งในโลกียะต้องประกอบขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา ซึ่งล้วนดำเนินไปตาม ความไม่รู้ของวิญญาณ ที่เฝ้าสมมติสิ่งต่างๆ ขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อทุกสิ่งเป็นแค่ เรื่องของการสมมติ จึงไม่แปลกที่แต่ละชนชาติ และศาสนาจะสมมตินรก และสวรรค์ของตน ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ สรุปความก็คือ เมื่อภพชาติเกิดจากอุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นหากชนชาวใดยึดถือ อยู่ในคติความเชื่อใด เขาก็จะเกิดภพชาติตาม คติความยึดถือของพวกเขา ยิ่งมีคนจำนวนมากที่เชื่อในเรื่องเดียวๆ กัน และถ้าเป็นความเชื่อที่เข้มข้น พวกเขาก็จะได้ภพภูมิเฉพาะกลุ่ม ที่จิตวิญญาณของตน จะเข้าไปเกิดและอยู่อาศัย
ด้วยหลักการนี้ เพื่อตอบคำถามข้างต้น ก็จะได้ข้อสรุปที่ไม่สร้างให้เกิด ความขัดแย้งระหว่างกัน นั่นคือต่างคนต่างมี ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องก้าวก่ายกัน และผู้ใดต้องการจะลองเปลี่ยนรสชาติ ไปเกิดในนรกสวรรค์ของผู้อื่น ก็ลองเปลี่ยนศาสนา หรือคติความเชื่อไปตามนั้น หากความยึดมั่น ของท่านมีกำลังพอ ก็จะสามารถไปเกิดยังที่นั้น ได้ตามใจปรารถนา
เมื่อพูดถึงเรื่องของคนต่างชาติต่างศาสนาแล้ว ก็จะขอถือโอกาสพูดถึงเรื่องของ ภพภูมิที่ปรากฏอยู่ในศาสนธรรมอื่นบ้าง ยกตัวอย่างเช่น บรรดาปีศาจที่มีอำนาจในศาสนาคริสต์ พวกเหล่านี้สามารถล่อลวงผู้คน โดยเฉพาะหัวหน้าของเหล่าปีศาจที่มีนามว่า ซาตานนั้น ดูเหมือนจะมีฤทธิ์อำนาจ ไม่น้อยกว่าบรรดาเทพสวรรค์ ผู้เขียนได้เคยลองพิจารณาเล่นๆ ว่า ในภพภูมิเหล่านี้ มีอยู่ในนรกสวรรค์ ของศาสนาพุทธบ้างหรือไม่ และถ้ามีพวกเขาทำกรรมอะไร จึงทำให้มีอิทธิอำนาจดุจเทพ
ในขณะเดียวกันก็ต้องเสวย วิบากกรรมฝ่ายต่ำอยู่ในอบาย นอกจากนั้นยังมีบรรดาเหล่าภูต หรือที่เรียกว่าแฟรี่ (Fairy) ตามคติความเชื่อของทางยุโรป ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและไม่ดี ถ้าจะเทียบกับเรื่องภพภูมิในศาสนาพุทธ พวกนี้สมควรอยู่ในภพภูมิใด และจะอธิบายเรื่องกรรม ที่กระทำได้อย่างไร เพราะไม่ใช่ทั้งเทพและมนุษย์ ดูเหมือนจะเป็นภพภูมิเฉพาะอีกแห่งหนึ่ง
เอาเป็นว่า เราจะกลับเข้ามาทำความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้กัน อย่างละเอียดดู โดยผู้เขียนขอเริ่มที่คำว่า กรรม และ ธรรม สองคำนี้ดูเหมือน จะเป็นสิ่งเดียวกัน ในแง่ของกรณีที่ว่า อะไรเป็นเครื่องนำเกิดกันแน่ ซึ่งความจริงแล้วโดยปกติทั่วไปคำว่าธรรม จะมีความหมายที่กว้างกว่า โดยอาจกล่าวว่ากรรมเป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่ในที่นี้เราจะมาพิจารณากัน จากหลักสูตรการนำเกิด ของศาสนาพุทธข้างต้น ที่มักจะกล่าวว่า มนุษยธรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เทวธรรมพาไปเกิดเป็นทิพย์
จะเห็นว่ามีคำว่าธรรมห้อยท้ายทั้งสิ้น ในขณะที่กรรมซึ่งแบ่งออกเป็น กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมนั้น จะมีส่วนสัมพันธ์กับการนำเกิดอย่างใด โดยเฉพาะในคัมภีร์กรรมทีปนีนั้น ยังมีการพูดถึงอาสัญกรรม หรือกรรมที่ทำก่อนตาย ในที่นี้จะรวมถึงมโนกรรมด้วย เพราะเป็นกรรมที่เกิดจากใจ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำจริง เพราะบางคนที่ป่วยใกล้ตาย ไม่มีแรงพอจะกระดุกกระดิกตัวด้วยซ้ำ แต่ก็มีอาสัญกรรมกับเขาได้เช่นกัน
ในคัมภีร์ยังกล่าวว่า เมื่ออาสัญกรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็จะสร้างชนกกรรม เพื่อนำไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ หากอ่านโดยผิวเผิน ก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าจะตั้งประเด็นมาพิจารณากัน ก็ต้องถามว่า ในเรื่องกรรมนำเกิดกับธรรม ที่จะส่งไปกำเนิดยังภพภูมิต่างๆ มีกลไกการทำงานร่วมกัน หรือต่างกันอย่างไรบ้าง เพราะดูเหมือนว่า สองหลักการคล้ายจะไม่มี ส่วนร่วมกันหรืออย่างไร
จึงไม่มีการยกไปอธิบาย หรือพูดถึงในที่เดียวกัน และเพื่อจะช่วยไขข้องใจให้กระจ่าง ผู้เขียนจึงขอถือโอกาส นำประเด็นทั้งสองนี้ ลองมาหาคำอรรถาธิบายร่วมกันดู เพราะคิดว่ามันน่าจะมี ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่จะช่วยตอบโจทย์หลายๆ เรื่องราว ที่มีการตั้งคำถามไว้ข้างต้น และอาจจะทำให้ท่านผู้อ่าน เกิดความเข้าใจ เหมือนที่ผู้เขียนรับรู้อยู่
เริ่มต้นผู้เขียนขอจำแนกธรรม และกรรมออกจากกันก่อน โดยจะขอตั้งสมมติฐานเหมือนเคยว่า ธรรมเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนด ภพภูมิที่จะต้องไปเกิด ส่วนกรรมนั้นจะเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ดังที่ตั้งชื่อบทความนี้ไว้ว่า ธรรมนำกรรมเสริม และด้วยสมมติฐานนี้ ผู้เขียนก็จะเริ่มเข้าสู่การอธิบาย โดยใช้สมมติฐานดังกล่าว โดยเราจะเริ่มกันที่ภพภูมิของมนุษย์ก่อน
โดยสมมติว่า คนๆ หนึ่งสร้างบุญไว้มาก แต่ศีลห้าหรือมนุษยธรรมไม่ครบหรือไม่บริสุทธิ์ และบุญก็ไม่มากพอ ที่จะไปเกิดเป็นเทวดาได้ คำถามก็คือ คนเหล่านี้ตายแล้ว จะไปเกิดยังภพภูมิใด หากอาศัยหลักเหตุผล ในสมมติฐานของผู้เขียน ก็จะตอบได้อย่างชัดเจน เรื่องหนึ่งแล้วว่า เมื่อไม่มีมนุษยธรรมเพียงพอ เขาย่อมไมได้เกิดเป็น มนุษย์อย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเขาจะไปเกิดในภพภูมิใด
ในที่นี้ถ้าจะเปรียบเทียบ กับเกณฑ์การแบ่งภพภูมิ ในหลักธรรมของศาสนาพุทธแล้ว ก็ต้องบอกว่า ภพภูมิที่ใกล้เคียงที่สุด ก็น่าจะเป็นภพหนึ่ง ที่ใกล้เคียงกับอสุรกาย แต่ไม่ใช่พวกอสุรกาย ก็เพราะมีการสั่งสมบุญมา ขณะที่พวกอสุรกายจะไม่ค่อยทำบุญ โดยในที่นี้จะขอเรียกว่า พวกภูตไปพลางๆ ก่อน และพวกที่อยู่ในภพภูมินี้ ก็จะมีรูปกายและความเป็นอยู่ ขึ้นกับบุญบาปที่ตนทำมา
ซึ่งบางครั้งหากมีบุญมาก ก็อาจมีอำนาจฤทธิ์ได้ด้วย คือมีอำนาจเหนือดินแดน ที่เป็นบุญเขตของตน หลายคนอาจเคยเจอ พวกเหล่านี้ตามป่าเขา ที่ตามหลอกหลอนขับไล่คน ให้ออกไปจากเขตที่ตนอยู่ หากจะเทียบไป ก็น่าจะตรงกับพวกแฟรี่ทางฝ่ายไม่ดี ส่วนว่าถ้ามีบาปน้อยบุญมากหน่อย แต่ยังไม่มีมนุษยธรรม ก็อาจไปเป็นพวกแฟรี่ฝ่ายดีก็เป็นได้
คราวนี้ลองมาดูในทางตรงกันข้าม สมมติว่า คนๆ หนึ่งตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยได้ทำบุญอะไร แต่เป็นคนที่มีศีลห้าบริสุทธิ์ จนมีกำลังเพียงพอ เมื่ออาศัยหลักการในสมมติฐานข้างต้น ก็ต้องบอกว่า เมื่อเขาตายไปแล้ว จะต้องได้ไปเกิด เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะธรรมที่นำเกิดมีกำลังเพียงพอ แต่เพราะทำบุญมาน้อย จึงต้องเกิดเป็นคนที่อัตคัดขัดสน ดังนั้นเมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้เขียนก็จะขอสรุปดังนี้ว่า ธรรมเป็นเครื่องนำเกิด แต่บุญบาปหรือกรรมเป็นแค่ เครื่องสนับสนุนค้ำจุนเท่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นเหมือนของประดับมากกว่า
จากตัวอย่างข้างต้น หากมีมนุษยธรรม ครบสมบูรณ์เพียงพอ ย่อมต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าบุญมากก็จะเป็นคน ที่มีฐานะมั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติ อุดมสมบูรณ์ มีความสุขสบาย แต่ถ้าบุญน้อยก็จะยากจนข้นแค้น หาเช้ากินค่ำไปตามประสา แต่ถ้าบาปมากกว่าบุญ นอกจากจะยากจนแล้ว ก็ยังอาจต้องรับทุกขเวทนา เป็นคนพิกลพิการ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ด้วยหลักการเดียวกันนี้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีมนุษยธรรม แม้จะมีบุญมากเพียงใด ก็มาเกิดในภพมนุษย์ไม่ได้ ดังนั้นจึงเกิดภพภูมิเฉพาะให้ไปอุบัติบังเกิด ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า ภพของเหล่าภูตดังกล่าว โดยถ้ามีบุญมากก็ จะมีรูปร่างสวยงามมีความเป็นอยู่ดี เหมือนพวกนางไม้ หรือแฟรี่ในเทพนิยาย ของพวกยุโรป ถ้าบุญน้อยก็จะมีรูปร่างอัปลักษณ์ ความเป็นอยู่ยากลำบากกว่า
ถ้าบุญบาปใกล้เคียงกัน ก็มีความเป็นอยู่ปานกลาง อนึ่งในกรณีนี้ต้องระบุก่อนว่า ไม่มีอบายธรรมทั้งสามแรงกล้าพอ ที่จะนำไปเกิดใน นรก เปรต และเดรัจฉาน ผู้เขียนจึงยกให้พวกนี้อยู่ในภพภูมิ ใกล้ไปทางพวกอสุรกายแทน ในกรณีที่มีบุญน้อย แต่ถ้ามีบุญมากก็เอียงไป ทางด้านเหล่าเทพเบื้องต้น
บางคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า พวกนางไม้หรือแฟรี่ ที่เป็นเหมือนนางฟ้าตัวเล็กๆ มีปีก บินตอมอยู่ตามดอกไม้เหมือนแมลงนั้น น่าจะเป็นพวกเทพชั้นจาตุฯ ที่เป็นพวกตฤณเทพ หรือเทพที่อยู่ตามยอดหญ้า หรือรุกขเทพที่อยู่ตามต้นไม้มากกว่า ผู้เขียนก็เห็นด้วย และกำลังจะกล่าวถึงต่อไป คือหากจิตวิญญาณใดมีเทวธรรม พวกเขาย่อมได้ไปเกิด เป็นเทวดาอย่างมิต้องสงสัย เพียงแต่ถ้าบุญน้อย ก็ต้องเป็นเทพชั้นล่าง อาจจะอาศัยอยู่ ตามยอดหญ้าหรือต้นไม้
ทว่าพวกนี้จะสูงกว่าพวกภูตดังกล่าว เพราะแม้แต่ ในเทพตำนานของทางยุโรปเอง ก็มีการแบ่งระดับของเทพ แยกออกจากพวกภูต โดยเรียกว่า เป็นเทวดา หรือนางฟ้าโดยตรง หลายท่านอาจโต้ว่า มันน่าจะเป็นเพียง เทพตำนานไม่ใช่เรื่องจริง แต่ท่านอย่าลืมว่า สรรพสิ่งในจักรวาล ล้วนเป็นเรื่องสมมติ ดังนั้นหากเทพตำนานใด สามารถทำให้คนเชื่อมากพอ ก็จะเกิดเป็นอุปาทานหมู่ ที่จะมีกำลังพอไปก่อเป็นภพชาติ ตามสมมติดังกล่าวได้
เมื่อพูดถึงเรื่องเทวดากันแล้ว ผู้เขียนก็จะขอใช้สมมติฐานเดิม มาอธิบายในสายเทพบ้าง โดยยังอิงอาศัยหลัก ธรรมนำกรรมเสริมเช่นเคย ดังนั้นหากมีผู้ใด ที่มีหิริโอตัปปะหรือเทวธรรม และได้ไปเกิดในสวรรค์ และพวกเขามีบุญมาก ก็ย่อมเป็นเทพชั้นสูงที่มีทิพยสมบัติอันอลังการ มีทิพยอำนาจและเทพฤทธิ์ที่สูงส่ง พร้อมสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าบุญน้อยก็จะเป็นเทพชั้นล่างดังกล่าว ซึ่งในกรณีของเทพนี้ เนื่องจากเทวธรรมได้คัดกรองด้วยตัวเองไว้แล้วว่า ต้องไม่มีบาป
ดังนั้นผู้ที่มีบาปอยู่ย่อมไม่อาจไปเกิดเป็นเทพได้ แต่ลองมาดูในทางตรงกันข้าม สมมติว่า คนผู้หนึ่งมีบุญมหาศาลแต่ไม่มีเทวธรรมหรือมนุษยธรรม ด้วยสมมติฐานนี้พวกเขาย่อมไม่สามารถไปเกิดได้ทั้งมนุษย์และสวรรค์ คำถามคือพวกเขาจะไปยังที่ใด ในกรณีนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ภพภูมิของจิตวิญญาณเหล่านี้ น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับพวกปีศาจในศาสนาคริสต์ คือมีฤทธิ์อำนาจเทียมเท่ากับเทวดา แต่ไม่สามารถไปเป็นเทวดาได้ ทั้งไม่สามารถกลับมาเกิด ในภพมนุษย์ได้ด้วย
และด้วยอำนาจบุญที่พวกเขามี จึงทำให้เขามีฤทธิ์อำนาจทุกอย่างที่ทิพย์ควรมี และก็มีสมบัติที่ยิ่งใหญ่อลังการ เป็นของตนดุจเดียวกัน อาจจะต่างก็ตรงที่ว่า ทางศาสนาคริสต์มีคติว่า ปีศาจต้องไม่กระทำความดี หรือต้องไม่มีบุญ ก็ต้องบอกว่า ในกรณีของพวก ที่เล่นคุณไสยอวิชชาทั้งหลาย คนเหล่านี้บางครั้ง ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็มิได้ประกอบธรรม ที่จะนำไปสู่อบายโดยตรง ดังนั้นคนเหล่านี้นั่นเอง ที่จะต้องไปเกิดในภพภู มิที่เรียกกันว่า อสุรกาย
ซึ่งน่าจะมีความสอดคล้องใกล้เคียง กับนิยามของภพภูมิปีศาจ ในความหมายของศาสนาคริสต์มากกว่า ซึ่งก็มีการระบุไว้เหมือนกันว่า พวกที่บูชาซาตานหรือปีศาจ ด้วยพิธีกรรมเซ่นสังเวยต่างๆ ก็จะไปเกิดเป็นปีศาจ พวกนี้จึงมีฤทธิ์อำนาจจากความเชื่อ ที่แรงกล้าของตนนั่นเอง แต่ก็ต้องมีสภาพความเป็นอยู่ และรูปกายที่อัปลักษณ์ ต้องเสพสิ่งที่เป็นของต่ำและสกปรก เพื่อยังอัตภาพแห่งตนเอาไว้ ตามพิธีกรรมที่ตนเชื่อถือ เช่น ดื่มเลือด หรือสิ่งที่ปรุงขึ้น จากของอาถรรพ์ทั้งหลาย
คราวนี้เราจะลองยกระดับขึ้นไป ในชั้นของพรหมบ้าง ถ้าว่าตามสมมติฐานนี้ ก็ต้องบอกเหมือนเดิมว่า ใครก็ตามที่มีพรหมวิหาร หรือธรรมที่จะทำให้ เป็นพรหมอย่างสมบูรณ์ พวกเขาย่อมไปเกิด เป็นพรหมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เนื่องจากชั้นของพรหมนี้มิได้ถูกปรุงแต่งด้วยบุญ แต่เป็นฌาณก็ต้องบอกว่า หากเขามีกำลังของฌาณน้อย หรือทรงได้แค่สมาธิ หรือฌาณชั้นต้น พวกเขาก็จะเป็นพรหมระดับล่าง ที่มีพรหมสมบัติเล็กน้อยอายุไม่ยาวนาน และมีความสุขตามอัตภาพของตน
แต่หากสามารถทรงฌาณชั้นสูงได้มากเพียงใด ก็จะยิ่งได้พรหมสมบัติ ที่ยิ่งใหญ่อลังการมากเพียงนั้น ในที่นี้จะรวมถึงอรูปพรหมด้วย กล่าวคือ หากฌาณที่ทรงอยู่นั้น สูงถึงขั้นอรูปฌาณเมื่อใด คนผู้นั้นก็จะเข้าถึงภาวะวิสัย หรือภพภูมิแห่งอรูปพรหม อย่างมิต้องสงสัย โดยพื้นฐานยังคงอยู่ที่ว่า มีพรหมวิหารที่สมบูรณ์พร้อมหรือไม่
ต่อไปเราจะมาลองพิจารณา ในทางตรงกันข้ามดูบ้าง กล่าวคือ หากคนผู้หนึ่งมีฌาณสมาบัติที่สูงส่งแก่กล้า แต่กลับไม่มีกำลังของพรหมวิหารเพียงพอ หรือไม่มีพรหมวิหารเลย พวกนี้จะไปเกิดยังที่ใด แน่นอนว่าพวกเขาย่อม ไม่อาจไปเกิดเป็นพรหมได้ แต่เนื่องจากมีกำลังของฌาณ ซึ่งอยู่เหนือกำลังทิพย์ และมนุษย์ไปแล้ว พวกเขาจึงย่อมสามารถ อยู่เหนือความเป็นเทพได้
เพราะผู้ทรงฌาณ ย่อมมีใจหนักแน่นเป็นหนึ่ง มีอำนาจที่พ้นไปจาก การปรุงแต่งของบุญและบาปแล้ว แต่เพราะยังไม่อาจเข้าถึงความเป็นพรหมได้ ภพภูมิดังกล่าว จึงปรากฏอยู่หว่างกลาง ระหว่างเขตแดนของสวรรค์ และพรหมโลก และผู้เขียนขอเรียกจิตวิญญาณเหล่านี้ว่า มาร
เหล่ามารพวกนี้เอง ที่มีอำนาจเหนือเหล่าเทพ แม้แต่พรหมด้วยกันยังไม่อยากยุ่งด้วย จากกำลังแห่งฌาณสมาบัติที่พวกเขาทรงอยู่ จึงทำให้พวกเขามีอำนาจสูงล้น และมากด้วยเล่ห์กล ขณะที่ว่าสามารถใช้กลไก แห่งกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกมารจะไม่ทำกรรมโดยตรง เพราะพวกเขาเรียนรู้วิธี และช่องทางที่จะหลบหลีก ขอเพียงไม่มีเจตนากรรมย่อมไม่เกิด
และด้วยอำนาจแห่งสมาบัติ ของวิญญาณที่มีอำนาจ พวกเขาจึงสามารถ ควบคุมใจของตนได้ ดังมีคำกล่าวว่า หากทำสิ่งใดในสภาวะแห่งฌาณ ย่อมไม่เกิดกรรม เพราะใจที่เป็นหนึ่งนิ่งแน่น ย่อมไร้การปรุงแต่งใดๆ ซาตานในความหมายของคริสต์ศาสน าจึงน่าจะใกล้เคียงกับเหล่ามาร ในความหมายทางพุทธได้มาก
จากที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ เชื่อว่าผู้อ่านคงพอ จะมองเห็นแง่มุมที่แตกต่าง และสามารถทำความเข้าใจหลักการทำงาน ของกรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้เขียน ใช้อธิบายความทั้งหมดนี้ ล้วนตั้งอยู่สมมติฐานส่วนตัว แม้จะไม่ใช่หลักการ ที่เลื่อนลอยเสียทีเดียว เพราะตั้งขึ้นบนพื้นฐานของความรู้ และข้อมูลที่มีอยู่ในคัมภีร์และเรื่องราว จากหลากหลายอารยธรรม และคติความเชื่อ แต่ผู้เขียนก็ยังไม่ขอ ยืนยันความจริงเท็จใดๆ ขอยกเรื่องนี้ให้เป็น ดุลยพินิจของท่านผู้อ่านแทน สุดแล้วแต่ว่า จะพิจารณาไปในแง่มุมใด
แต่ถ้าจะอาศัยหลักการ ที่ผู้เขียนบรรยายมานี้ ก็ต้องขอสรุปว่า ธรรมหรือคุณธรรม ที่ทุกคนมุ่งบำเพ็ญนั้น มีความสำคัญในการนำเกิดมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล หรือฝ่ายอัพยากฤต คือธรรมฝ่ายกลางๆ ที่ไม่ดีไม่ชั่วก็ตาม เพราะธรรมเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่กำหนดภพภูมิ ที่ท่านจะต้องไปเกิด ขณะที่บุญและบาปหรือกรรมนั้น จะเป็นเครื่องประดับที่คอยสนับสนุน ส่งเสริมหลังจากที่ท่านได้ไปเกิดแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วก็ต้องบอกว่า คุณธรรมสำคัญกว่ากรรม
ในกรณีที่ต้องการเลือกว่า จะไปเกิดยังภพภูมิใด ถ้าจะถามว่าตัวคุณธรรม ก็คือตัวกรรมหรือไม่ ในทัศนะของผู้เขียนขอตอบว่า คุณธรรมจะเป็นเครื่องกำหนด พฤติกรรมหรือการกระทำกรรม ดังเช่นคนที่มีคุณธรรมในระดับเทพ คือเทวธรรม พวกเขาย่อมไม่กระทำกรรม ที่ไม่ดีหรือกรรมชั่วเป็นปกติ ดังมีพุทธพจน์รองรับไว้ว่า “คนดีทำดีได้ง่ายทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำชั่วได้ง่ายทำดีได้ยาก”
ดังนั้นเมื่ออ่านจบบทความนี้แล้ว ท่านผู้อ่านก็คงจะเห็น แนวทางนำเกิดของตนแล้ว ก็ขอให้เป็นวิจารณญาณ ส่วนบุคคลของแต่ละท่านว่า ประสงค์จะเลือกไปเกิดยังภพภูมิใด แต่ถ้าจะถามผู้เขียนแล้ว ก็ต้องขอบอกว่า ภพภูมิใดก็ไม่น่าไปเกิดทั้งสิ้น เพราะมันเป็นเรื่องสมมติ เป็นเพียงความฝันไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเรื่องที่ผู้เขียนนำมาบรรยายทั้งหมดนี้ ก็เป็นการพูดถึงคติความเชื่อที่ถูกสมมติขึ้น หากจะพิจารณากันอย่างจริงจังแล้ว จะพบว่า แม้แต่ตัวคุณธรรมที่จะนำเกิดนั้น ก็เป็นเรื่องสมมติเช่นกัน
แล้วภพภูมิของสิ่งที่สมมติขึ้น จะมีอยู่จริงได้อย่างไร ท้ายนี้ก็ต้องขอฝากไว้ว่า ภัยที่แท้จริงนั้น มิใช่มหันตภัยใดๆ ที่ทุกท่านหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็นธรณีพิบัติ อุทกภัย วาตภัย หรือแม้แต่อวสาน แห่งโลกธาตุหรือจักรวาล ทั้งหลายทั้งปวงนี้ แม้จะน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่ยังมิใช่ภัยที่แท้ การเกิดต่างหากที่เป็นภัยที่แท้จริง เพราะหากท่านไม่ต้องมาเกิดแล้ว ย่อมไม่ต้องพบกับภัยใดๆ สารพัดสารพันที่บรรยายมาข้างต้นนั้น
(กลไกกลกรรม ep.3 ธรรมนำกรรมเสริม)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา