Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฮวงจุ้ยเพื่อชีวิต
•
ติดตาม
12 ก.ค. 2023 เวลา 19:04 • บ้าน & สวน
พิฆาตสนามปราณ
เพื่อที่จะทำความเข้าใจปัญหา ของพลังพิฆาตอย่างเป็นระบบ และมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน ไม่ว่าพลังพิฆาตนั้นจะเกิดจาก รูปลักษณ์ของสิ่งก่อสร้างที่คุกคาม หรือช่องเปิดต่างๆ ที่พาดผ่านตำแหน่ง ที่เราใช้สอยเป็นประจำ เช่น เตียงนอน หรือโต๊ะทำงาน เราจึงจำเป็นต้องมาทำความเข้าใจถึงที่มา หรือกำเนิดสนามปราณ ของมนุษย์ให้ชัดเจนก่อน จึงจะสามารถทำความเข้าใจได้ว่า เหตุใดโบราณท่าน จึงมีคำเตือนในเรื่องเหล่านี้ ไว้ค่อนข้างเคร่งครัด โดยเฉพาะในศาสตร์ สาขาวิชาภูมิพยากรณ์ หรือที่รู้จักกันในนาม ของวิชาฮวงจุ้ย
ซึ่งว่าด้วยเรื่องของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์และฟ้าดิน หรือสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งยากจะปฏิเสธว่า มันมีความพัวพันเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้ง ไม่อาจแยกออกจากกันได้ โดยเฉพาะในปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีได้รับ การพัฒนาอย่างล้ำสมัย ก็ยิ่งทำให้เราสามารถ ทำความเข้าใจความพัวพัน ดังกล่าวได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น กระทั่งมีการสร้างทฤษฎีขึ้น เพื่ออธิบายถึงความพัวพัน เหล่านี้โดยเฉพาะ จนดูเหมือนว่า ไม่เพียงแต่มนุษย์กับโลกเท่านั้น ที่มีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวเนื่อง
จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นเนื้อเดียวกัน หรือเป็นองค์ประกอบ ในระบบเดียวกัน แต่มันยังกินความไปถึงจักรวาล และดวงดาวในฟากฟ้า ดังคำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือที่รู้จักกันในนามของ Butterfly effect ที่พูดเอาไว้อย่างน่าคิดว่า “ผีเสื้อกระพือปีในที่หนึ่ง จะส่งผลให้เกิดพายุใหญ่ในอีกที่หนึ่ง” จากคำกล่าวเหล่านี้ จึงเป็นการย้ำเตือนให้มนุษย์เราเกิดสำนึก อย่าได้แยกตนออกจากธรรมชาติเป็นอันขาด เพราะนั่นอาจเป็นการเดิน ไปสู่จุดจบของอารยธรรมได้
ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจ เกี่ยวกับผลกระทบของ พลังพิฆาตรูปแบบต่างๆ ที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ คำถามแรกก็คือ มันมีผลต่อส่วนใดของชีวิตเรา และเป็นไปได้หรือที่มัน จะทำให้ชีวิตของคนๆ หนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่ง ต้องมีอันวิบัติ ล่มสลายไปจนหมดสิ้น เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่วิชาเรียกว่า พลังพิฆาต ทั้งหลายนั้น จะมีผลต่อชีวิตคนได้รุนแรงดัง ที่หลักวิชาทั้งหลาย ในศาสตร์สาขาดังกล่าวระบุไว้
หลายคนมีความสงสัยในเรื่องนี้ แม้แต่ตัวผู้เขียนเองในช่วง ที่เข้ามาศึกษาศาสตร์ แห่งภูมิพยากรณ์ในช่วงแรกๆ และอาจบอกได้ว่า ปมปัญหาประเด็นดังกล่าวนี้เอง ที่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผู้เขียน ซึ่งปกติเป็นคนสายเทคโนโลยี อดสงสัยไม่ได้ว่า มันจะมีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล ทางวิทยาศาสตร์บ้างหรือไม่ เพราะผู้เขียนไม่ต้องการเรียนรู้อย่างงมงาย หรือแบบเชื่อตามๆ กันไป
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียน ไม่ด่วนตัดสินใจลงไป อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เพราะความที่มันเป็นศาสตร์ ที่ดำรงคงอยู่มาอย่าง ยาวนานกว่าหกพันปี นับแต่มันก่อกำเนิดขึ้นในโลก และภูมิปัญญาใดก็ตามที่สามารถรอดพ้น กาลเวลายาวนานมาได้ถึงเพียงนั้น มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ที่ไม่อาจดูแคลนได้
หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าไประดับหนึ่ง ผู้เขียนก็เริ่มพบคำตอบบางอย่างว่า สิ่งที่พลังพิฆาตทั้งหลาย กระทำต่อชีวิตคนเรานั้น มันเริ่มต้นจากการมีผลกระทบ ต่อสนามปราณของคนเราเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางตรง คือปะทะแบบซึ่งหน้า หรือส่งผลกระทบทางอ้อม ต่อสนามปราณ หรือพลังของอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของผู้คนเหล่านั้น
ซึ่งย่อมส่งผลให้พลัง ของบ้านปั่นป่วน และเสียหาย สุดท้ายก็จะไปรบกวน สนามปราณของคน ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนั้น ให้สูญเสียดุลยภาพตามไป อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ยิ่งต้องใช้เวลาอยู่ในบ้านนั้นนานเพียงใด ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากเพียงนั้น
ดังนั้นก่อนที่เราจะไปทำความรู้จัก กับพลังพิฆาตรูปแบบต่างๆ พร้อมเหตุผลเบื้องลึก ที่ทำให้มันมีอิทธิพลต่อ การดำรงชีวิตของผู้คน เราจึงต้องมาทำความรู้จักกับ สนามปราณของมนุษย์ก่อน ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน หลายท่านอาจจะคุ้นเคย กับสิ่ง ที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า ออร่า (Aura) ซึ่งถูกระบุว่า เป็นสนามพลังบางอย่าง ที่รายล้อมอยู่รอบ ตัวมนุษย์ทุกคน
ในที่นี้ผู้เขียนก็จะขออนุโลมว่า ออร่ากับสนามปราณนั้น เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะออร่าจะมีนัย ที่กินความครอบคลุมถึง เรื่องราวของจิตวิญญาณด้วย แต่สนามปราณนั้นเป็นเพียง สนามพลังที่เกิดขึ้นในระบบชีวเคมี ภายในร่างกายของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นในความหมายของออร่า สนามปราณจึงเป็นเพียง ส่วนของออร่าชีวภาพ มิได้รวมความไปถึง ออร่าจิตวิญญาณแต่อย่างไร
ทว่าเพียงความหมายในส่วนของชีวภาพนี้ ก็สามารถสร้างปัญหามากมาย ให้เกิดขึ้นกับชีวิตผู้คนนั้นๆ ได้อย่างกว้างขวางมากมายแล้ว เพื่อที่จะทำความเข้าใจถึง ที่มาของสนามปราณดังกล่าว เราจะต้องรับรู้ก่อนว่า ในระบบร่างกายของคนเรานั้น สิ่งที่เป็น ตัวขับเคลื่อนหลักของชีวิต ก็คือระบบการไหลเวียน ของโลหิตที่หมุนวนไปทั่วร่างกาย
หากปราศจากวงจร การเลื่อนไหลดังกล่าว ร่างกายก็จะสูญเสีย ศักยภาพในการดำรงคงอยู่ และถ้าไม่ได้รับการ รักษาเยียวยาอย่างทันท่วงที ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นระบบไหลเวียนของเลือดในตัวเรา จึงถือเป็นวงจรหลักที่หล่อเลี้ยง ให้ชีวิตของพวกเราดำรงอยู่ได้
และดังที่พวกเราส่วนใหญ่เรียนรู้กันมาแล้วว่า ที่เลือดของมนุษย์มีสีแดงก็เพราะมีโมเลกุล เฮโมโกลบินซึ่งเป็นโปรตีน ที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นเมื่อหัวใจทำการสูบฉีด ให้โลหิตไหลเวียนไปด้วยความดัน ที่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ ก็จะส่งผลให้อะตอม ของธาตุเหล็กจำนวนมากเหล่านี้ เกิดการเสียดสีกัน
จนก่อให้เกิด สนามพลังอ่อนๆ ที่คล้ายกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากระบบโลหะเหลว ที่ไหลเวียนอยู่ภายในบริเวณ ใกล้แกนกลางของโลก ด้วยเหตุนี้สนามพลังดังกล่าวนี้ จึงครอบคลุมไปทั่ว ทุกส่วนของร่างกายที่โลหิตของเราไหลเวียนไปถึง และมันก็คือสนามปราณ ที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้เอง
โดยปกติแล้วนักบำบัดด้วยกรรมวิธี ของการแพทย์ทางเลือกหลายสาขา จะทำงานกับสนามปราณดังกล่าวนี้ ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนในการสัมผัส กับสนามปราณดังกล่าวได้ ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่า บริเวณใดที่สนามปราณปั่นป่วน หรือเสียสมดุลย์ มักจะเป็นบริเวณ ที่ผู้ป่วยมีอาการไม่สบาย ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง และการที่จะทำให้ สนามปราณกลับคืนสู่สมดุลย์ ก็จะเป็นการเยียวยา ในอาการดังกล่าวได้
การใช้สารเคมีทาง เภสัชภัณฑ์หรือยา ก็เป็นการปรับระบบ ชีวเคมีในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้สนามปราณ เกิดความสมดุลย์ขึ้นได้เช่นกัน ไม่ต่างกับกรรมวิธีทาง การแพทย์สายโบราณทั้งหลาย เช่น การฝังเข็ม หรือการฝึกควบคุมลมปราณก็ตาม ซึ่งปัจจุบันล้วนได้รับการยืนยัน ทางการแพทย์มากขึ้นทุกขณะ ว่าสามารถเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาได้
คราวนี้เราก็จะมาพิจารณาถึง ผลกระทบของพลังพิฆาตบางรูปแบบ ที่จะมีผลต่อชีวิตของผู้คน หลังจากที่เราได้รับรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิด และความสำคัญของสนามปราณทางชีวภาพ ที่ล้วนมีผลต่อการดำรงชีวิตอยู่ ของผู้คนตามธรรมชาติ การรบกวนใดๆ ที่จะส่งผลให้สนามปราณเสียสมดุลย์ ก็จะมีผลต่อสุขภาพ และความเป็นอยู่ ของคนผู้นั้นเป็นธรรมดา
ดังนั้นเราจะมาดูกันต่อไปว่า แล้วพลังพิฆาตที่พูดถึงกันนี้ จะมีผลกระทบต่อสนามปราณ ได้อย่างไร โดยรูปแบบของพลังพิฆาต ที่เราจะพิจารณาเป็นอันดับแรกนี้ก็คือ พลังพิฆาตที่เกิดจากช่องเปิดชนิดต่างๆ อันได้แก่ ประตูหรือหน้าต่าง เป็นต้น โดยจะเกิดกรณีของการพิฆาตได้ก็ต่อเมื่อ มันได้พาดผ่านตำแหน่ง ที่เราใช้สอยกันอยู่เป็นประจำ ทั้งกรณีของการหลับนอน หรือนั่งทำงาน
เพื่อที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่างในเรื่องนี้ ผู้เขียนจำเป็นต้องอธิบายถึง องค์ประกอบพื้นฐานของสสารต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก หรืออาจจะเรียกได้ว่า ตลอดทั้งจักรวาลเท่าที่มนุษย์ สามารถตรวจสอบไปถึง ดังที่เราเรียนรู้กันมา ในวิชาวิทยาศาสตร์กันแล้วว่า สสารทุกอย่างจะ ประกอบไปด้วยโมเลกุล ที่จับเกาะยึดกันอยู่ด้วย พันธะทางเคมีระหว่างอะตอม ของธาตุชนิดต่างๆ
และอะตอมที่ว่านี้ ก็จะประกอบไปด้วย นิวเคลียสที่เป็นแกนกลาง ซึ่งเกาะกันอยู่ด้วย แรงทางนิวเคลีย ระหว่างนิวตรอน และโปรตรอน โดยมีอิเลคตรอนหมุนวนอยู่โดยรอบ ในขณะที่ทั้งนิวตรอน โปรตรอน ยังประกอบไปด้วย สิ่งที่ฟิสิกส์สมัยใหม่ เรียกว่าคว้าก ตามที่ศาสตร์สาขาควอนตัม ซึ่งเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ องค์ประกอบย่อยของสสารทั้งหลาย ได้กล่าวถึงไว้
ตัวคว้ากและอิเลคตรอนนี้เอง ที่อาจเรียกได้ว่า เป็นอนุภาพมูลฐานที่สุดเท่าที่ เราจะพอทำความเข้าใจได้ ทั้งที่ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ ได้มีการศึกษาเจาะลึกเข้าไป ถึงองค์ประกอบมูลฐาน ที่ละเอียดย่อยไปกว่านั้น และสามารถพิสูจน์ได้ ในทางทฤษฎีแล้วว่า มันอาจจะเป็น องค์ประกอบพื้นฐานของคว้าก และอิเลคตรอนอีกชั้นหนึ่ง โดยรู้จักกันในนาม ของทฤษฎีสตริง
ซึ่งได้แตกสาขาพัฒนา ขึ้นไปอีกหลายขั้น ซึ่งผู้เขียนจะไม่ขอพูดถึง ในรายละเอียดมากไปกว่านี้ เพราะไม่ต้องการให้บทความนี้ ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจได้ แต่ที่ต้องกล่าวถึง ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่จะช่วยขยายความ ถึงที่มาของปัญหาที่เกิดจากพลังพิฆาต ผ่านช่องเปิดดังกล่าว ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้จากองค์ประกอบมูลฐานดังที่กล่าวไว้นั้น ให้ท่านผู้อ่านลองจินตนาการว่า สิ่งที่เป็นกำแพงทึบ หรือบานประตูหน้าต่าง ไม่ว่าจะทำขึ้นด้วยวัสดุประเภทใดก็ตาม ทั้งคอนกรีต เหล็ก ไม้ หรือกระจก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสสาร ที่มีองค์ประกอบย่อยๆ ดังกล่าวมาเกาะเกี่ยวยึดโยงกันไว้ ด้วยแรงทางธรรมชาติแบบใดแบบหนึ่ง และในระดับย่อยของ อนุภาคมูลฐานเหล่านั้นแล้ว ทุกอย่างพร้อมจะหลุด หรือปลดปล่อยพลังงานออกมา เมื่อมีการกระทบกระแทกกันเกิดขึ้น เหมือนกับฝุ่นที่เกาะอยู่ บนบานประตูด้านหนึ่ง เมื่อเราเคาะจากอีกด้านหนึ่ง ก็ย่อมเกิดการส่งถ่ายแรงไปกระทบให้ฝุ่นละออง ที่อีกฝั่งกระเด็น หรือเคลื่อนตัวออกไปได้
ด้วยลักษณาการเดียวกันนี้เอง เมื่อมีอากาศเคลื่อน เข้ากระทบกับพื้นผิวใดๆ โมเลกุลของก๊าซในอากาศ ที่เป็นสสารอย่างหนึ่ง ก็ย่อมพุ่งเข้าไปกระแทกถูก โมเลกุลของพื้นผิวของวัสดุนั้นๆ ซึ่งย่อมจะส่งแรงกระแทกต่อเนื่องกันไป จนมาถึงชั้นของโมเลกุลที่อีกด้านหนึ่ง ที่อยู่ตรงกันข้ามกับแนวปะทะ ซึ่งย่อมจะปลดปล่อยพลังงาน ในการกระแทกนั้นออกไป กระทบกับโมเลกุล ของอากาศที่อยู่ติดกัน แล้วส่งผ่านแรงต่อเนื่องไปเช่นนี้เรื่อยๆ
คราวนี้เราก็จะมาลองพิจารณา จากผนังทึบดูก่อน สมมติว่าเป็นผนังคอนกรีต เมื่อถูกอากาศปะทะกับพื้นผิวของผนัง โมเลกุลของสาร ที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้าง ของคอนกรีตก็จะส่งแรง ต่อเนื่องไปในค่าหนึ่ง ในที่นี้ให้ถือเป็นแรง F1 หากผนังทั้งผืนนั้น เป็นคอนกรีตล้วน ดังนั้นแรงที่ส่งผ่านเข้ามาในห้อง จึงมีค่าเพียง F1 เท่านั้น
แต่ถ้าบนผนังนั้นมีช่องเปิดอยู่ สมมติว่าเป็นบานประตู ที่ทำขึ้นด้วยไม้ แน่นอนว่า แรงที่ส่งผ่านวัสดุ ที่มีโครงสร้างต่างกัน ระหว่างคอนกรีตกับไม้ ก็ย่อมมีแรงกระทำที่ไม่เท่ากัน โดยสมมติให้แรง ที่ผ่านไม้มีค่าเท่ากับ F2 เมื่อคอนกรีตมีความหนาแน่น มากกว่าไม้ จึงสรุปได้ว่า แรง F1 จะต้องน้อยกว่า F2 เมื่อถูกกระทบจากอากาศ ที่มีความหนาแน่นเท่ากัน เนื่องจากองค์ประกอบ ของคอนกรีตมีการยึดโยงกัน ที่แน่นมากกว่าโครงสร้างของไม้
โมเลกุลของคอนกรีต จึงสามารถต้านปะทะกับ แรงชนของอากาศได้มากกว่า ทำให้แรงที่จะส่งผ่าน ออกไปยังโมเลกุลอากาศ ในด้านตรงกันข้ามมีสัดส่วน ที่น้อยลงไปด้วย ไม่ต่างจากการขว้างลูกบอล เข้าใส่กำแพงคอนกรีต ซึ่งย่อมต่างจากการขว้างเข้าใส่แผ่นไม้ โดยจะพบว่าลูกบอล จะเด้งสะท้อนกลับแรงกว่าในกรณีของคอนกรีต นั่นคือแรงต้านที่คอนกรีตมีมากกว่า จึงทำให้แรงที่ส่งผ่านไปย่อมมีน้อยกว่าไม้
ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อท่านผู้อ่านนั่ง หรือนอนโดยมีช่องเปิดพาดผ่าน ท่านก็จะได้รับแรงที่ส่งผ่าน ช่องเปิดเหล่านั้นเข้ามา แม้ว่าจะมีบางสิ่งขวางไว้ก็ตาม ซึ่งในกรณีที่ยกมาข้างต้นนั้น ก็คือบานประตูไม้ โดยแรงที่ส่งผ่านบานประตูเข้ามา ก็จะถ่ายทอดแรงให้กับ มวลอากาศภายในห้อง จนกระแทกต่อเนื่องกัน เป็นลำของแรงพาดผ่านตัวเราไป และโมเลกุลของอากาศเหล่านี้นั่นเอง ที่จะไปก่อกวนสนามปราณของเรา ในตำแหน่งที่ถูกกระทบนั้น
จึงย่อมส่งผลให้ สนามปราณบริเวณดังกล่าว ถูกก่อกวนจนปั่นป่วน และถ้าแรงกระทำนั้นมีค่ามากพอ เช่นในกรณีที่เปิดบานประตูทิ้งไว้ ก็จะยิ่งทำให้สนามปราณสูญเสีย เสถียรภาพมากยิ่งขึ้น จนอาจส่งผลให้ระบบชีวเคมีในบริเวณนั้น ซึ่งก็มีองค์ประกอบมูลฐานเช่นเดียวกัน ย่อมได้รับผลกระทบ จากแรงกระทบนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และนี่ก็คือสาเหตุของความไม่สบายต่างๆ นานาที่ท่านจะได้รับ
ในกรณีที่ละเมิดกฏข้อห้าม ในการขวางช่องเปิดดังกล่าวนั้น เมื่อเรามีอาการไม่สบาย ก็ย่อมไม่อาจดำเนินชีวิตได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และหากมีอาการป่วยเรื้อรัง คุณภาพของชีวิต ก็ย่อมจะเสียหายไปตามระดับ ของอาการเจ็บไข้นั้น
จากที่บรรยายมาข้างต้น ท่านผู้อ่านคงพอจะมองภาพออกแล้วว่า ผลกระทบจากพลังพิฆาตของช่องเปิดนั้น มีผลกระทบต่อสนามปราณ ของเราได้อย่างไร โดยระดับความรุนแรง ของผลกระทบนั้น ก็จะขึ้นกับแรงของอากาศ ที่มากระทำกับพื้นผิววัสดุ ที่เราใช้ ในกรณีนี้ในหลักวิชาภูมิพยากรณ์ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการอยู่ ในปลายทางที่มีถนน พุ่งเข้าใส่โดยตรง อย่างกรณีของทางสามแพร่ง ที่มีถนนวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะแยกซ้ายขวาไป หากอาคารบ้านเรือนใด ตั้งอยู่ที่สุดปลายทางแนวถนน ตรงจุดทางแยกนั้น ก็จะถูกกระทบจากแรงลมที่พุ่งเข้ามา
อันอาจเนื่องมาจากการสัญจร ของบรรดายวดยาน ที่วิ่งเข้ามาตามถนนนั้น อีกกรณีหนึ่งก็คือ การอยู่ประจัญกับซอกของอาคารสูง ซึ่งเป็นแนวที่บีบให้ลม ที่พัดผ่านมีความแรงมากขึ้น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อาคารที่ตั้งรับอยู่ ที่ในหลักวิชาจะเรียกว่าพิฆาตช่องลม โดยถือว่าเป็นพิฆาตที่มีพลังมาก หากไม่หาทางแก้ไขก็จะถูกแรงลมปะทะเข้าตรงๆ จนส่งผลให้เกิดความเสียหาย ต่อสนามปราณของอาคาร และผู้อยู่อาศัยในอาคารนั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่โบราณท่าน ไม่ให้ตั้งอาคารต้านปะทะ กับกระแสลม ที่ถูกบีบบังคับให้พุ่งตรง เข้าใส่อย่างรุนแรง ก็เพราะมันจะพัดพาเอาฝุ่นผง และสิ่งสกปรกขนาดเล็ก รวมทั้งบรรดาเชื้อโรคจุลชีพทั้งหลาย เข้ามาตกสะสมอยู่ที่อาคารบ้านเรือน ที่ตั้งรับดังกล่าว ซึ่งย่อมส่งผลให้เกิดความเจ็บไข้ไ ม่สบายต่อผู้คนที่อยู่อาศัยเป็นธรรมดา เมื่อบรรยายมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่า การถูกกระแสลมแรงพุ่งใส่ เมื่อประกอบกับเหตุผล ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ก็พอจะเข้าใจได้ว่า มันจะให้แรงกระทำต่ออาคาร และส่งผ่านเข้าสู่ช่องเปิด เข้าไปในตัวอาคารได้มากขึ้น แต่กรณีของถนนที่พุ่งเข้าหานั้น ยังไม่ชัดเจนพอ ในกรณีที่หากถนนนั้น ไม่มีอาคารหลังใหญ่พอ ที่จะเป็นแนวกระหนาบบีบกระแสลม ที่สองฟากข้างของถนนดังกล่าว ลำพังเพียงยวดยานที่วิ่งเข้ามา แม้จะมีส่วนชักนำลมให้วิ่งเข้ามาที่ปลายทาง แต่ก็ไม่น่าจะมีผลมากนัก
เรื่องนี้ก่อนจะอธิบายผู้เขียนต้องขอพูดถึงเรื่องของพื้นผิวที่แตกต่างกัน ระหว่างถนนกับสภาพที่อยู่รอบข้างของถนน ในกรณีนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผู้เขียนจะขอสมมติตามที่ท่านสงสัยมา โดยให้สองข้างถนนนั้นเป็นบริเวณเปิดโล่ง โดยอาจจะเป็นพื้นดินที่มีวัชพืชขึ้นปกคลุม ในขณะที่ตัวถนนเป็นคอนกรีต กรณีความต่างของวัสดุนี้เอง เมื่อกระทบถูกแสงแดด จึงย่อมมีการดูดกลืน และคลายพลังงานที่ไม่เท่ากัน
แน่นอนว่าคอนกรีต จะดูดความร้อนไว้ได้มากกว่า พื้นดินที่ปกคลุมด้วยวัชพืช ดังนั้นอัตราการคลาย ความร้อนบนพื้นคอนกรีต จึงย่อมมีมากกว่า และปัจจัยนี้เอง ที่ทำให้มวลอากาศเหนือผิวคอนกรีต มีความร้อนกว่าบริเวณรอบข้าง จึงย่อมส่งผลให้เกิด การเคลื่อนไหวของกระแสอากาศ ที่รุนแรงกว่า เมื่อประสานกับทิศทาง ที่ยวดยานวิ่งเข้าหา ก็ย่อมดึงเอากระแสลมดังกล่าว ให้พุ่งเข้าใส่อาคารที่ปลายทาง ได้มากและรุนแรงขึ้น
เหตุผลนี้ยังสามารถใช้อธิบาย ในกรณีของความแตกต่าง ระหว่างแสงเงา ที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของ วัสดุชนิดเดียวกันได้ด้วย ตัวอย่างเช่น เงาของตัวอาคารที่ทอทาบ อยู่บนพื้นถนนคอนกรีต ก็ย่อมส่งผลให้อุณหภูมิ ของพื้นคอนกรีตเดียวกันนั้น มีไม่เท่ากับ โดยบริเวณที่ไม่มีเงาอาคาร บดบังก็จะถูกแสงแดดเต็มๆ ก็ย่อมจะมีอุณหภูมิที่สูงกว่า
และนั่นก็ย่อมส่งผลกับ การเคลื่อนตัวของมวลอากาศ ในบริเวณนั้นเป็นธรรมดา โดยมวลอากาศในบริเวณ ที่ถูกเงาอาคารทาบนั้นจะเย็นกว่า จึงเคลื่อนตัวเข้าหาบริเวณที่ร้อนกว่า และถ้าทิศทางที่มัน เคลื่อนตัวเข้ามานั้น มีอาคารใดตั้งรับอยู่ ก็จะเกิดประเด็นปัญหาเหมือนดังที่ บรรยายมาข้างต้นนั้นเช่นกัน
ในกรณีของพลังพิฆาต ที่เกิดจากเหลี่ยมมุมของอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่เล็งตรงมายังตัวอาคาร ของเราก็เป็นกรณีเดียวกัน คือส่งผลจากความแรง ของกระแสลมที่ถูกรีดให้พุ่งตรงมาใส่ ให้ท่านผู้อ่านลองจินตนาการ ถึงสันเหลี่ยมของอาคารทรงสี่เหลี่ยม เมื่อลมปะทะทั้งสองด้าน ของเหลี่ยมมุมนั้นแล้ว ก็จะมีแรงสะท้อนกลับ โดยมุมสะท้อนดังกล่าว ก็จะขึ้นตรงกับมุมที่ตกกระทบ
ดังนั้นหากมุมกระทบ มีองศาที่กว้างมาก ก็จะทำให้กระแสลม ที่พุ่งออกถูกรีดผ่าน ผนังอาคารทั้งสองด้าน ของสันเหลี่ยมดังกล่าว แล้วพุ่งตรงมาใส่อาคารที่ ตั้งประจัญกับเหลี่ยมมุมนั้นอยู่ ผลที่ได้ก็จะลงเอย ในกรณีเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น ในขณะเดียวกันพิฆาตจากเหลี่ยมมุมนี้ ยังสามารถเกิดขึ้น จากสันคมของเสา ที่เป็นส่วนประกอบ ของตัวอาคารเองก็ได้
เพราะมันจะเป็นตัวต้านปะทะ และรีดกระแสลมในลักษณะเดียวกัน ขณะที่สันของเสาภายในอาคาร จะมีผลจากกระแสอากาศ ที่เป่าจากเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลมที่ใช้อยู่ ภายในอาคารเหล่านั้น และมันก็ล้วนมีผลกระทบ ต่อสนามปราณของผู้ที่ ไปขวางทางของกระแสพิฆาตดังกล่าวนั้นได้
มีอีกกรณีหนึ่งที่หลายๆ คน ที่แม้จะผ่านการฝึกฝนเรียนรู้เกี่ยวกับ ผลกระทบจากพลังพิฆาตชนิดต่างๆ ในหลักวิชาภูมิพยากรณ์กันมาแล้ว ก็ยังอาจคิดไม่ถึง นั่นคือกรณีของสิ่งที่เรียกว่า พลังพิฆาตย้อนศร หลายคนอาจเข้าใจได้ว่า พิฆาตที่เกิดจากเหลี่ยมมุมนั้นมีกลไกการทำงานอย่างไร แต่อาจยังไม่รู้ว่ากรณีของมุมแหลมของที่ดิน ซึ่งถูกปิดด้วยแนวกำแพง ที่สอบเข้าหากัน ก็สามารถส่งผลเป็นพลังพิฆาต เข้าใส่ตัวอาคารได้เช่นกัน
เพราะมันจะเป็นตัวบีบลม ที่พัดผ่านเข้าปะทะ กับแนวกำแพงดังกล่าว แล้วบีบให้พุ่งย้อนกลับหลัง เข้าใส่ตัวอาคารที่ตั้งรับอยู่ได้ ยิ่งมุมแหลมนั้นมีองศาน้อยเพียงใด ก็จะยิ่งรีดกระแสลมได้แรงเพียงนั้น ดังนั้นโบราณท่าน จึงให้หลบเลี่ยงการปลูกสร้าง อาคารที่มีมุมแหลม รวมทั้งกรณีของที่ดินด้วย หากมีมุมแหลมปรากฏขึ้นไม่เพียงจะส่งผลร้ายต่ออาคารที่อยู่รอบด้านเท่านั้น แต่ยังเกิดผลสะท้อนย้อนกลับ ใส่ตัวอาคารหลังดังกล่าวได้ด้วย
(มิติทางปัจจัยสภาพ ep.5 พิฆาตสนามปราณ)
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
มิติทางปัจจัยสภาพ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย