21 ก.ค. 2023 เวลา 13:00 • การ์ตูน

เรื่องราวต่อจากตอนจบ ใน Zoku Owarimonogatari

ถ้าจะให้จัดอันดับเรื่องราวในซีรีส์ Monogatari คงเป็นงานหยาบของผมมาก เพราะไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ดีในสายตาของผม แม้ว่าในตอนแรก ๆ จะคิดว่า Bakemonogatari น่าจะเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่สุด แต่มันเป็นเรื่องที่ปูพื้นฐานให้เรื่องอื่น ๆ เกิดขึ้นมา เลยคิดว่า Zoku Owarimonogatari น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นที่สุดในซีรีส์ชั้นยอดนี้ แต่มาถึงตอนนี้ ก็กลับเอาเรื่องราวนั้นออกจากหัวไม่ได้
โอชิโนะ โอกิ ใน Zoku Owarimonogatari
ดังนั้น เพื่อให้หัวปลอดโปร่งมากขึ้น ผมจะขอพูดถึง Zoku Owarimonogari ในประเด็นต่าง ๆ ที่ทำให้ผมเข้าใจความสำคัญ ความเจ๋ง ความจำเป็น และการเล่าเรื่องที่ทำให้ซีรีส์ Monogatari เป็นที่ยกย่องและเป็นอันดับต้น ๆ ในใจของผม (มี Spoil เนื้อหาทั้งหมดของซีรีส์ Monogatari)
ผมเคยคิดว่ามันยากมากที่จะพูดถึงซีรีส์นี้โดยไม่สปอย และพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย แต่จะพูดถึงได้อย่างไรหากจะไม่มีการสปอยเกิดขึ้น ดังนั้น ผมจึงสรรค์หาเหตุผลนานัปการเพื่อกึ่ง ๆ หลอกตัวเองว่า สปอยไปเถอะ เพราะอยากจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เหตุผลนั้นคือ Monogatari เป็นเรื่องที่มีคนดูไม่เยอะ คนที่เคยดูก็มักจะดูจนจบกันไปแล้ว และสำหรับคนที่ยังไม่เคยดู การสปอยใดก็ไม่เป็นการทำให้เรื่องมีความน่าสนใจน้อยลงไปเลย
เนื่องจากข้อมูลของแต่ละเรื่องราวในซีรีส์มีเยอะมาก ๆ การพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งย่อมต้องอ้างอิงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น (หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยวิธีการเล่าเรื่องแบบ non-linear) ทำให้การสปอยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แม้กระนั้น แม้จะสปอยเนื้อหาบางส่วน ก็เป็นการพูดถึงรายละเอียดบางอย่างที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อหาโดยรวมทั้งหมด
เมื่อ Zoku Owarimonogatari เป็นเรื่องสุดท้ายของซีรีส์ (อย่างน้อยก็ในอนิเมะ) มันจึงเป็นเรื่องที่อ้างอิงถึงเหตุการณ์และเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เช่น เมื่อคนหนึ่งจะเขียนบทสรุปในเรียงความ คนนั้นก็จะต้องพูดถึงเนื้อหาของเรียงความนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะละรายละเอียดยิบย่อยของแต่ละเรื่องแล้วก็ตาม แต่ผลลัพธ์ของเนื้อหาย่อมต้องปรากฏอยู่ในบทสรุป
บทสรุปนี้เป็นเรื่องราวที่เตือนคนดูว่า ซีรีส์ Monogatari เป็นเรื่อง Coming-of-age เรื่องหนึ่ง แม้ว่าจะมีเรื่องราวประหลาด สิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เรื่องเล่าก็เล่าผ่านมุมมองของพระเอกที่เป็นเพียงวัยรุ่นที่กำลังจะเรียนจบมัธยมและต่อชั้นมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตัวละครที่มีอายุอื่น ๆ จึงเป็นเพียงตัวละครสมทบเท่านั้น อย่างที่ทาดัตซุรุ เทโอริ นักเชิดตุ๊กตากล่าวไว้ว่า เขาเพียงเล่นตามบทบาทของตนเท่านั้น และโอชิโนะ เมเมะรู้ว่าบทบาทของตัวเองต่อเรื่องนี้คืออะไร และพาเอาตัวเองออกจาเรื่องไป
ทาดัตซุรุ เทโอริ
เมื่อผมดู Owarimonogatari Season 2 จบ ผมคิดไม่ออกว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปอย่างไรได้อีก เพราะเรื่องราวของอารารากิ โคโยมินั้นได้จบลงแล้ว และเรื่องราวก็เคลียร์ไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่เหมือน NisiOisin ไม่จบ เหมือนผู้เขียนไม่อยากให้เรื่องราวมันจบลงไป เลยสะท้อนความไม่ต้องการนั้นลงไปในเรื่องราวของอารารากิ ที่ไม่ยอมให้เรื่องมันจบ ดังนั้น Zoku Owarimonogatari จึงเป็น ภาคต่อของเรื่องราวตอนจบ
นั่นคือประเด็นแรก และผมคิดว่าเป็นประเด็นที่สำคัญ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่ออารารากิตื่นมาเข้าห้องน้ำ มองกระจก แล้วพบว่าภายสะท้อนของตนเองหยุดชะงักลง เมื่อเขาเอามือเอื้อมไปจับภาพสะท้อนของตนเอง เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แล้วภาพสะท้อนที่หยุดขยับนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
เราจึงจะต้องไปดูประเด็นที่สองของเรื่องนี้ อารารากิเรียนจบชั้นมัธยมไปแล้วเมื่อภาคที่แล้ว แต่เขายังไม่ได้ผลตอบรับจากมหาวิทยาลัยที่เขายื่นสอบเข้าไป ตอนนี้ อารารากิอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ไม่มีบทบาทหน้าที่อยู่ในคำแนะนำ ไม่สามารถแนะนำตัวเองว่า ผมชื่ออารารากิ โคโยมิ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมหก แต่เป็นเพียง อารารากิ โคโยมิเท่านั้น
และการที่อารารากิอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มันหมายความว่า เขากำลังก้าวข้ามช่วงชีวิตช่วงเวลาหนึ่งเพื่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง เขากำลังจะโบกมืออำลาการผจญภัยของเขาที่ประสบพบมาตลอดหนึ่งปี แต่เขาสามารถทำแบบนั้นได้หรือ หรือว่าเขายังมีอะไรที่เขากำลังลังเลอยู่ จนไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไปยังอนาคต หากแต่ผูกตนเองอยู่ในอดีต หยุดชะงักไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อเพราะความลังเลจะทิ้งเรื่องราวในอดีตไป และนั่นสะท้อนออกมาในภาพสะท้อนบนกระจกเช้าวันนั้น
ภาพสะท้อนของอารารากิหยุดชะงัก
ตัวผมเองที่ก็ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว และห่างไกลความเป็นวัยรุ่น จนหากมีคนชวนออกไปเที่ยวตอนกลางคืนต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะออกไปหรือจะนอนดี ผมเองก็เข้าใจบทบาทนั้นเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม รอเข้ามหาวิทยาลัย ก็อยู่ในจุดที่คาใจกับอดีตและไม่แน่นอนกับอนาคต มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงเปลี่ยนผ่านในสมัยวัยรุ่น
เพราะว่าเคยประสบพบเจอเรื่องราวและความรู้สึกเหล่านั้นมาในอดีต จึงเข้าใจความรู้สึกของอารารากิในตอนนั้น ช่วงเวลาระหว่างสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง ความผูกพันที่มีในอดีต ความไม่แน่นอนในอนาคต ความไม่รู้ว่าตัวตนของเราในขณะนั้นคืออะไร จะเรียกตัวเองว่าอะไร จะแนะนำตัวเองว่าอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนหนึ่งจะหยุดชะงักลงเพราะความไม่แน่นอนและความลังเลที่มีต่ออดีต
007734 "Hello" ในเพลงเปิดของ Zoku Owarimonogatari
เมื่อวางพื้นฐานของเรื่องแล้ว Zoku Monogatari ดำเนินต่อไป อารารากิเข้าไปอยู่ในโลกกระจก เมื่อเขาเห็นว่าทุกอย่างมันกลับด้านไปหมด ซับภาษาญี่ปุ่นก็กลับซ้ายกลับขวา เพลงเปิดก็ร้องกลับหลัง แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น น้องสาวคนโตของอารารากิ โคโยมิอย่าง อารารากิ คาเร็น ที่โดยปกติแล้วสูงกว่าคนพี่ชาย กลับตัวเล็ก โอโนโนกิ ตุ๊กตาที่ไร้สีหน้า ก็กลับแสดงสีหน้าออกมาได้หลากหลายรูปแบบ นี่มันคือโลกกระจกจริง ๆ หรือ
อารารากิออกไปศาลเจ้าที่คุ้นเคยเพื่อไปปรึกษากับเพื่อนสนิทตัวเล็กของเขาอย่างมาโยอิ ที่เป็นเทพอยู่ที่นั่น แต่กลับเจอเพื่อนที่ไม่ได้ตัวเล็กเท่าไหร่ หากแต่เป็นมาโยอิ เวอร์ชั่นพี่สาวที่ไว้วางใจได้ (และน่ารักที่สุดในโลก) ระหว่างทางอารารกิประสบเคราห์เจอซุรุกะ รุ่นน้องเลือดแรงที่ตอนนี้เลือดแรงมากกว่าเดิม ทั้งยังเลือดเย็น พุ่งเข้าโจมตีอารารากิอย่างไม่พูดไม่จา จนฮาเนะคาว่า เพื่อสาวคนสนิทของอารารากิเข้ามาช่วยได้ทัน แม้ว่าเธอนั้น แท้จริงแล้วว่า ไม่ได้อยู่ที่เมือนนั้นแล้วด้วยซ้ำ
อารารากิกับพี่สาวฮาจิคุจิ มาโยอิ
สิ่งที่แปลก (และเป็นกังวลต่อผม) มากที่สุด คือการหายตัวไปของแวมไพร์คู่ชีวิตของอารารากิอย่างชิโนบุ เพราะต้องอย่าลืมว่า ตัวตนของแวมไพร์นั้นไม่ได้สะท้อนอยู่บนกระจกนั่นเอง โอโนโนกิที่พอจะเข้าใจเหตุการณ์แล้วจึงพาอารารากิไปหาชิโนบุ และนั่นคือคำบอกใบ้สองอย่างพร้อมกัน หนึ่ง แม้ในโลกกระจก ชิโนบุก็ยังมีตัวตนอยู่ และสอง โอโนโนกิยังเรียกอารารากิว่า โอนิ-โอนี่จัง หรือ คุณพี่ชายปีศาจ เพราะชิโนบุคู่ชีวิตเป็นปีศาจแวมไพร์
โอโนโนกิ ใน Zoku Owaraimonogatari
แต่สองเรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะหากในโลกกระจก แวมไพร์นั้นไม่มีอยู่ และหากมโนทัศน์เรื่องแวมไพร์ไม่มีอยู่ ทำไมโอโนโนกิยังเรียกอารารากิแบบนั้นอยู่ โอโนโนกิเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เพราะโอโนโนกิไม่ได้มองชิโนบุเป็นแวมไพร์ และที่อยู่ต่อหน้าอารารากิไม่ใช่ชิโนบุที่เป็นแวมไพร์ ไม่ใช่ แวมไพร์เลือดเหล็ก เลือดร้อน เลือดเย็น แต่เป็น Kiss-shot Acerola-Orion Heart-Under-Blade ที่เป็นมนุษย์
นอกจากนั้น โซดาจิ เพื่อวัยเด็กของอารารากิก็ปรากฏตัวอยู่ที่บ้านอารารากิ ซ้ำยังดูเหมือนว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังนอนห้องเดียวกันกับอารารากิ โคโยมิอีกด้วย แต่เธอไม่ได้มีความโกรธเคืองหรือโมโหอยู่ตลอดเวลาอย่างที่เราพบเจอเธอครั้งแรกใน Owarimonogatari Season 1 และเธอบอกคำใบ้อีกอย่างให้โคโยมิ นั่นคือ แท้จริงแล้ว โดยทั่วไปกระจกสามารถสะท้อนเสียงได้เพียง 80% และที่เหลืออีก 20% หายไปในความมืด
โวซดาจิ ใน Zoku Owarimonogatari
คำใบ้ต่อไปสามอย่างคือ หนึ่ง หากนี่โลกในกระจก แล้วอารารากิเวอร์ชั่นของโลกนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะอีกด้านหนึ่งของอารารากิก็คือโอชิโนะ โอกิ แต่มาถึงตอนนี้ โอกิไม่ปรากฏตัว สอง หากโลกกระจกสะท้อนตัวตนอีกด้านหนึ่งของคนอื่น ๆ แล้ว ทำไมน้องสาวคนเล็กอย่างอารารากิ ซุกิฮิ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย และสาม ทั้งหมดทั้งมวลนั้น อารารากิไม่ได้คำนึงหรือพูดถึงคุณแฟนสาวของตัวเองอย่างเซนโจวกาฮาระเลยสักครั้ง แล้วเธอไปอยู่ไหน
จากข้อสังเกตของหลาย ๆ คน Zoku Owarimonogatari ถูกเขียนขึ้นด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แม้ว่า Owarimonogatari เขียนขึ้นเพื่อเป็นเรื่องตอนจบแท้ ๆ แล้วก็ตาม ทำไมยังจะต้องมีเรื่องราวต่อจากนั้นอีก หนึ่งคือ NisiOisin วางปากกาไม่ได้จริง ๆ และมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกเป็นสิบหลังจากนี้ และสอง เขาเขียน Hanamonogatari ให้เป็นเรื่องสุดท้าย แต่ตอนจบของ Owarimonogatari ไม่ได้มีอะไรผูกโยงกับ Hanamonogatari เลย
ใน Hanamonogatari เรื่องราวพูดถึงกัมบารุ ซุรุกะ กับแขนลิงของเธอ ซึ่งมีความผูกพันกับสิ่งประหลาดที่แม่ของเธอสร้างขึ้นมา และชื่อของคนแม่ก็ปรากฏบ่อยครั้งมากในเรื่อง แต่เธอเสียไปนานมากแล้ว ตอนนั้นคือ กาเอ็น โทโอเอะ นอกจากนี้ โอกิที่ปรากฏใน Hanamonogatari กลับเป็นผู้ชาย และยังพูดทีเล่นทีจริงว่า “ตายละ ผมลืมไปว่าในเรื่องนี้ผมเป็นผู้ชาย” ทำไมเป็นแบบนั้น Zoku Monogatari จึงต้องผูกเรื่องเหล่านั้นเพื่อให้องค์ประกอบใน Hanamonogatari ครบถ้วน
"ตายละ ผมลืมไปว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ชาย" - โอชิโนะ โอกิ ใน Hanamonogatari
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่อารารากิต้องไปเจอกับโทโอเอะ ในห้องอาบน้ำบ้านกัมบารุ ซึ่งเรื่องราวและคำพูดของโทโอเอะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่จะให้พูดถึงตอนนี้จะยาวเกินไปมาก มันจึงสมควรได้รับการพื้นที่ของมันเองในบทความอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้น โทโอเอะให้อารารากิกลับไปที่โรงเรียน เพื่อไปดำเนินบทสรุปของเรื่อง และที่นั่น เขาได้พบกับอีกส่วนหนึ่งของเขา โอชิโนะ โอกิ
ในตอนนี้ โอกิไม่ใช่ตัวร้ายเหมือนที่เธอเป็นมาตลอด Owarimonogatari แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอารารากิ และด้วยความเป็นคนกวนส้นของโอกิ เขาสลับชุดนักเรียนชายของอารารากิเป็นชุดนักเรียนหญิง ตั้งแต่นั้น โอกิจึงเป็นสิ่งแปลกประหลาดเพศชาย ที่มีหน้าที่ตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของใครก็ตามที่ผ่านมาพบเขา เช่น ที่กัมบารุไปพบใน Hanamonogatari
อารารากิในชุดนักเรียนหญิงใน Zoku Owarimonogatari
ทั้งสอง อารารากิ และ โอกิ ช่วยกันไขปริศนาของโลกนี้ และร่วมกันแก้ไขเพื่อให้ได้กลับสู่โลกที่เขาจากมา หรือก็คือ เพื่อออกจากโลกกระจก แต่นั่นคือความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ ทั้งสองอยู่ในโลกกระจกจริง ๆ อย่างนั้นหรือ
โลกนี้เป็นโลกที่สะท้อน 20% ของแสงที่กระจกไม่ได้สะท้อน ดังนั้น มันจึงเป็นโลกที่สะท้อนบุคลิก 20% ของคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น คาเร็นที่มีรูปร่างสูงกว่าพี่ชายนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น และความเป็นน้องสาวตัวเล็กนั้นก็สะท้อนออกมา โอโนโนกิไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้เพราะเป็นตุ๊กตาทำจากศพ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งในส่วนนั้นก็ถูกสะท้อนออกมา
มาโยอิ ที่ตายจากโลกนี้ไปเมื่อ 11 ปีก่อน แม้ว่าจะติดอยู่ในร่างของเด็กสาว แต่ก็ใช่ว่าภายในจะไม่ได้โตขึ้นเลยตามกาลเวลา อายุของพี่สาวคนนี้ก็สะท้อนออกมาเช่นกัน โซดาจิ แม้ภายนอกจะเป็นคนที่โมโหอยู่ตลอดเวลา และคับแค้นอารารากิแค่ไหนก็ตาม แต่ภายในใจแล้วก็มีความต้องการจะเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวอารารากิ และเติบโตไปพร้อมกับเขา
ชิโนบุ แม้ว่าภายนอกจะติดอยู่ในร่างเด็กเพราะโดนดูดเลือดและผูกพันกับอารารากิไปชั่วนิรันดรก็ตาม หรือแม้ว่าจะเป็นแวมไพร์ แต่จริง ๆ แล้วเธอก็เคยเป็นมนุษย์ แม้จะนานมาแล้วก็ตาม แต่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเจ้าหญิงในปราสาทที่สง่างามและจิตใจดีก็ยังคงอยู่ และปรากฏออกมาเช่นเดียวกัน นาเดะโกะ เด็กสาวขี้อายที่ปรากฏภายนอก แท้จริงแล้วก็มีอีก 20% ที่สะท้อนให้เห็นว่า เธอก็เป็นวัยรุ่นที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนกับคนอื่น ๆ
กัมบารุ ที่แม้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นรุ่นน้องคนสนิทที่น่ารักของอารารากิ แต่ความรู้สึกโกรธแค้นและอยากจะฆ่าอารารากิเพราะความหึงหวงเซนโจวกาฮาระก็ยังอยู่ และสะท้อนออกมาให้เห็น เช่นเดียวกันกับฮาเนะคาว่า ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้อยู่ในเมือง เพราะต้องออกไปทำภารกิจลับข้างนอก แต่ในใจแล้วก็มีส่วนที่ยังอยากจะอยู่ในเมืองนี้ กับเพื่อน ๆ ของเธอเหมือนกัน เธอจึงปรากฏตัวอยู่ในโลกนี้
เหตุผลที่น้องสาวคนเล็กอย่างซุกิฮิไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ก็เพราะว่าสิ่งที่เธอแสดงออกมาภายนอก เป็นจริงทุกประการ และไม่มี 20% ที่หายไปจากบุคลิกภายนอกแต่อย่างใดนั่นเอง และที่โอกิไม่ได้ข้ามไปสู่อีกโลกหนึ่ง แต่กลับอยู่ต่อหน้าอารารากิในขณะนี้ ก็เพราะว่าไม่มีใครเข้าไปอยู่ในโลกกระจกตั้งแต่แรกนั่นเอง
Ougi Formula ใน Owarimonogatari Part 1
ย้อนกลับไปที่ Owarimonogatari เรื่องแรก โอกิต้องเชิญอารารากิออกจากห้องเรียนปิดตาย เพราะชิโนบุในตัวอารารากิที่เป็นแวมไพร์ไม่สามารถเข้าบ้านใครได้หากไม่มีคนเชิญตามตำนานนั่นเอง ดังนั้น แวมไพร์ก็ไม่สามารถเข้าไปในโลกกระจกได้ หากไม่มีใครผายมือเชิญเข้าไป ดังนั้น อารารากิไม่ได้เข้าไปอยู่ในกระจกตั้งแต่แลก หากแต่ดึงแสง 20% ที่สูญหายนั้น ออกมาทับกับโลกความเป็นจริง
หากเป็นคุณหนูขี้สงสัยอย่างจิทันดะ เอรุ ในเฮียวคะ คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมอารารากิถึงดึงแสงที่สูญหายนั้นออกมา คำตอบนั้นคือ ย้อนกลับไปที่พื้นฐานของเรื่อง อารารากิไม่อาจจะเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความลังเล ภาพในกระจกนั้นจึงชะงักหยุดลง อารารากิเอื้อมมือไปแตะกระจกนั้นโดยไม่รู้ตัว และด้วยจิตใต้สำนึกที่ยังมีความลังเลในอดีตอยู่นั้น เขาจึงดึงสิ่งที่ยังค้างคาใจในอดีตออกมา เพราะจิตใต้สำนึกคิดอยากจะแก้ไขมัน
และคำถามที่ตามมาคือ แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไร ทั้งนี้ อารารากิเองก็ตอบไม่ได้ โอกิก็ตอบไม่ได้ เพราะโอกิไม่รู้อะไรเลย อารารากิต่างหากที่รู้ แต่บทสรุปนั้นคือ มันไม่สำคัญ สิ่งที่ยังลังเลในอดีตนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ใหญ่โต หรือเล็กน้อย มันไม่สำคัญ หากจำเรื่องนั้นได้แล้ว จะค่อยแก้ก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญคือ ตอนนี้ อารารากิเป็นใคร เขาสามารถตอบมันได้อย่างสง่าผ่าเผยได้หรือไม่ โอกิถาม
อารารากิตอบ
ผมคืออารารากิ โคโยมิ เป็นแค่คนที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้เท่านั้นแหละ
อารารากิ โคโยมิ ใน Zoku Owarimonotari
และแล้วทุกอย่างก็คืนสภาพเดิม โดยปิดเรื่องที่เซนโจวกาฮาระมาหาอารารากิที่บ้าน และเราก็มีที่คำถามที่หลงเหลืออยู่ ทำไมในภาพสะท้อนไม่มีเซนโจวกาฮาระ อารารากิตอบอย่างหล่อ ๆ ไปว่า แม้ว่าเขาจะมีความลังเลเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ มากมาย ที่สะท้อนออกมาในโลกนั้น แต่ที่เซนโจวกาฮาระไม่สะท้อนออกมานั้น เพราะหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเซนโจวกาฮาระ เขาไม่มีความลังเลอะไรทั้งสิ้น
"ฉันไม่มีอะไรให้เสียใจในเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับเธอ" อารารากิ โคโยมิ ใน Zoku Owarimonogatari
เรื่องราวปิดฉากที่อารารากิตั้งคำถามว่า เคยหรือไม่ เมื่อเรากำลังรอไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว เราลังเลว่าเราจะใช้ขาขวาหรือขาซ้ายก้าวเป็นข้างแรก และเมื่อยังลังเลอยู่แบบนั้น เมื่อไฟเป็นเป็นสีเขียว เรากลับนิ่งชะงัก ก้าวขาไม่ออก และยืนทื่อ ๆ อยู่แบบนั้น และนั่นสะท้อนประโยคที่หลาย ๆ ตัวละครกล่าวต่ออารารากิว่า “อารารากิคิดมากเกินไป” และความคิดมากนั้นเป็นต้นเหตุที่ภาพสะท้อนหยุดลง และเขาไม่สามารถไขปริศนาในโลกกระจกได้เร็วกว่านั้น
มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของปรัชญาสายอัตถิภาวนิยม หรือ Existentialism เช่น Jean-Paul Sartre ที่ว่า มนุษย์เรา "ถูกลงโทษให้เป็นเสรี" เมื่อมีเสรีภาพอย่างไม่จำกัดเช่นนั้นแล้ว จะทำอะไร จะตัดสินใจอะไรได้อย่างไร เมื่อเสรีภาพในการมีชีวิตล้นเอ่อ ความสับสนและวิตกกังวลก็เกิดขึ้น จนเราไม่อาจตัดสินใจอะไรได้เลยแม้แต่เรื่องเพียงเล็กน้อยอย่างจะก้าวขาซ้ายหรือขาขวาก่อน
Jean-Paul Sartre
ในประเด็นนี้ Soren Kierkegaard เคยเขียนเอาไว้อย่างน่าสนใจมากเกี่ยวกับความวิตกกังวล เสรีภาพ บาป และความรับผิดชอบของมนุษย์ เขากล่าวว่า
ดังนั้น ความวิตกกังวลคือความวิงเวียนแห่งเสรีภาพ...
Soren Kierkegaard, ใน The Concept of Anxiety (1844)
Soren Kierkegaard
เซนโจวกาฮาระหัวเราะออกมา จับมืออารารากิ และในขณะที่ไฟเปลี่ยนเป็นเขียว เธอกล่าวว่า เป็นการลังเลที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ หากความคิดนั้นเกิดขึ้นมา สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ใช้ขาทั้งสองข้างกระโดดก้าวไปเลยทีเดียว พร้อมกับการเล่นคำสุดท้ายที่ผูกเรื่องทั้งหมดไว้ที่เดียว
"ไม่เหมือนจิงโจ้ เหมือนกบ"
ไม่เหมือนกับจิงโจ้ (คังการู; カンガルー) แต่เหมือนกับกบ (คาเอรุ; 蛙) , ไม่ต้องคิด (คังกาเอรุ; 考える) แต่รู้สึก (คังจิรุ; 感じる)
อารารากิ โคโยมิ ใน Zoku Owarimonogatari
แน่นอนว่า ตลอดทั้งเรื่อง Monogatari มีการใช้ตำนานซันซุคุมิเค็น หรือตำนาน ทาก กบ และงู อยู่ตลอดทั้งเรื่อง เราเจองูแล้ว นั่นคือนาเดะโกะ เราเจอทากแล้ว นั่นคือมาโยอิ และบทสรุปนี้ให้เราพบกับกบ นั่นคือเซนโจวกาฮาระ ครบองค์ประกอบของตำนาน
โดยสรุปแล้ว Zoku Owarimonogatari เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงความไม่ต้องการให้เรื่องราวมันจบลง เพราะความลังเลและยึดติดกับเรื่องราวในอดีต แต่เมื่ออดีตมันผ่านไปแล้ว มันก็เป็นเพียงอดีตที่ไม่รู้ว่าเราจะสามารถแก้ไขมันได้หรือไม่ สิ่งที่เราทำได้คือก้าวเดินต่อไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน และหากลังเลที่จะเดินเข้าหาความไม่แน่นอน เราจะหยุดชะงักอยู่ที่ทางแยกระหว่างอดีตและอนาคต
เมื่อถึงจุดนั้น แม้ว่าจะชักช้าสักหน่อย แต่เมื่อเตือนตัวเองได้แล้วว่า ไม่ว่าอดีตจะมีเรื่องค้างคาใจอย่างไร หรือไม่ว่าอนาคตจะไม่แน่นอน เรายังต้องเตือนสติและตอบให้ได้ว่า ในตอนนี้ ปัจจุบันนี้ เราเป็นใคร เราคืออะไร และหากยังคงลังเลที่จะก้าวพ้นอดีตสู่อนาคต ก็กระโดดเข้าหามันด้วยขาทั้งสองข้างไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อนั้น อารารากิ โคโยมิ ได้เติมโตอีกขั้นแล้ว (และบทบาทเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในอนาคตอย่างที่เราเห็นใน Hanamonogatari)
กระโดด!
เป็นเรื่องราวที่สะท้อนการเขียนของ NisiOisin ที่ก็คงลังเลกับการเขียนจุดจบเรื่องราววัยรุ่นของอารารากิเหมือนกัน เขาก็คงลังเลและค้างคาใจกับหลาย ๆ เรื่องที่เขาเขียนให้เราเสพกัน คงมีหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้เขาไม่กล้าที่จะ Move on ไปยังเรื่องราวอื่น ๆ Zoku Owarimonogatari นับว่าเป็นเรื่องราวต่อจากตอนจบที่เล่าถึงสภาพจิตใจของทั้งตัวละครในเรื่องและนักเขียนตัวละครเหล่านั้นได้อย่างดีเยี่ยม
และนั่นคือบทสรุปของเรื่องราวปกรณัมภูตผี และเรื่องราววัยรุ่นของอารารากิ โคโยมิ (อย่างน้อยก็ในอนิเมะที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม) แม้ว่าจะยังมีนิยายหลายเรื่องที่เขียนขึ้นหลังจากนี้ แต่หากเรื่องราวนี้เป็นบทสรุป มันก็เป็นบทสรุปที่น่าพึงพอใจ (แต่ก็อยากให้เรื่องอื่น ๆ ได้รับดัดแปลงเป็นอนิเมะอยู่ดี) เมื่อกลับมาดู Zoku Owarimonogatari ก็พบว่า ไม่มีเรื่องไหนของ Monogatari ที่ด้อยเลยสักเรื่อง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา