31 ก.ค. 2023 เวลา 21:57 • บ้าน & สวน

องศาวิญญาณ

หากว่ากันตามหลักวิชาของศาสตร์ฮวงจุ้ยแล้ว เรื่องของการมีผีหรือวิญญาณ เข้าไปสิงสู่อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน ก็มีความเป็นไปได้ โดยในศาสตร์ฮวงจุ้ย ก็ได้ให้หลักการในการตรวจสอบอยู่ หลากหลายแนวทางด้วยกัน ในบทความนี้ เราจึงจะมาลองสำรวจตรวจสอบกันดูว่า ลักษณะของอาคารบ้านเรือนแบบใด จึงจะเอื้อหรือเหมาะสมต่อการเป็นที่สิงสู่ ของบรรดาภูติผีวิญญาณทั้งหลายนั้น อีกทั้งกรณีไหนบ้างที่จะเป็นเรื่องผีจริง หรือเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่คลับคล้ายกัน ไปจนกระทั่งเป็นการคิดหรือตีความไปเองล่วงหน้าของผู้ที่เข้าไปอยู่อาศัย
บทนำ
(Introduction)
เบื้องต้น เราคงต้องมาจำแนกกันก่อนว่า สิ่งที่เข้าใจไปว่า เป็นปรากฏการณ์ผีสางนั้น แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องผีจริง หรือผีปลอมกันแน่ เพราะบ่อยครั้ง คนที่ไม่มีความรู้ชัดเจนเกี่ยวกับศาสตร์ฮวงจุ้ย มักจะแยกแยะไม่ออกระหว่างบ้านที่มีฮวงจุ้ยไม่ดี (bad Feng Shui) กับบ้านที่มีผีสิง เพราะบ้านที่มีฮวงจุ้ยไม่ดีนั้น ก็คือมีพลังงานที่ไม่ดี มีความแปรปรวนไม่เสถียร
บ่อยครั้งจึงอาจสร้างปรากฏการณ์แปลกๆ เช่น ภาพแสงที่วูบไหว หรือ เสียงแปลกๆ จนอาจทำให้เข้าใจผิดไปว่า เป็นปรากฏการณ์ของภูติผี เพื่อเป็นการแยกแยะให้เกิดความชัดเจน ต่อไปนี้ เป็นข้อสังเกตุที่เราอาจนำไปพิจาณาตรวจสอบอาคารบ้านเรือนของเราได้
บ้านพลังฮวงจุ้ยไม่ดี
(Bad Feng Shui house)
หากย้ายเข้าบ้านใหม่ และดูเหมือนว่า จะมีโชคไม่ดี กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการเกิดของเรื่องร้ายๆ ที่ติดตามกันมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ควรกระทำก็คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับอาคารหลังดังกล่าว หากบ้านเคยมีประวัติแห่งความโชคร้าย โอกาสที่พลังงานของอาคาร อาจมีปัญหามาตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง และจบลงด้วยการส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัยคนก่อน เช่นเดียวกับที่กำลังส่งผลกระทบต่อเราในตอนนี้
Bad Feng Shui house
หากบ้านดูเหมือนจะมีโชคร้ายในเรื่องการเงิน เช่น การตกงาน การล้มละลาย การลงทุนที่ไม่ดี โอกาสที่บ้านหลังนี้จะมีปัญหาฮวงจุ้ยที่เกี่ยวกับพลังงานทางการเงินก็เป็นไปได้มาก ในขณะเดียวกัน หากเป็นบ้านที่ประสบกับความสัมพันธ์ที่แตกหัก ปัญหาสุขภาพ หรือโศกนาฏกรรม /หรือการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ก็ย่อมเป็นบ้านที่มีปัญหาด้านพลังงานเกี่ยวกับ สุขภาพและความสัมพันธ์ ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการปรับแก้ทางฮวงจุ้ยอย่างเหมาะสม เช่น การย้ายตำแหน่งเตียง หรือ หาเคล็ดวัตถุมากดข่มพลังร้าย และกระตุ้นพลังที่ดี
บ้านพลังประทับความจำ
(Energy imprint house)
ในบางกรณี ที่มีสภาวะทางพลังงานเหมาะสม ตัวอาคารก็มักจะบันทึกพลังงาน เหมือนการบันทึกความทรงจำ จากเจ้าของคนก่อน โดยเหตุการณ์เช่นนี้ เราพอจะมีหลักการแยกแยะได้คือ เมื่อเราเห็นผีในบ้าน แต่ดูเหมือนผีจะไม่สนใจเรา เหมือนกับกำลังดำเนินกิจวัตรประจำวันทั่วไป เช่น กำลังเดินไปตามโถงทางเดิน หรือนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ปรากฏการณ์ประเภทนี้ ได้รับการสังเกตและนิยามว่าเป็น "เอฟเฟกต์ที่บันทึกไว้" (recorded effect) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผีในอังกฤษ
Energy imprint house
ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันถึง "รอยประทับพลังงาน" (energy imprint) ของเจ้าของบ้านคนก่อน ซึ่งบันทึกโดยบ้าน เหมือนเป็นความทรงจำ และย้อนเล่นแบบสุ่ม ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นจึงไม่ใช่ผีจริง แต่เป็น "การเล่น" ภาพชีวิตของเจ้าของคนก่อน และมันไม่ได้มีผลอะไรมากมายกับเรา เพื่อกำจัดพลังงานเหล่านี้ ก็ควรทำความสะอาดพื้นที่อย่างละเอียดถี่ถ้วน และอาจมีการเปลี่ยนแปลง ของตกแต่งเก่าๆ เช่น พรม สีผนัง ภาพแขวน หรือ เฟอร์นิเจอร์ เพื่อลบความทรงจำเก่าของบ้าน
บ้านพลังวิญญาณสิงสู่
(Ghost haunted house)
บ้านที่มีผีสิงจริงๆ คือบ้านที่มีบางสิ่ง (entity) มาอาศัย (live-in) ภายในบ้าน อาจเป็นเพียงหนึ่งหรือมากกว่า โดยอาจมีสมาชิกในครอบครัวไปมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งนั้น มากกว่าหนึ่งครั้งขึ้นไป โดยสิ่งเหล่านี้ ได้ติดอยู่ภายใน ธรณีเขต (earth bounded) เฉพาะ และไม่สามารถจากไปได้ หรือไม่ต้องการจากไป และมักจะถูกรับรู้ในรูปแบบของสนามพลังอารมณ์ (emotional energy field)
โดยเฉพาะอารมณ์ที่รุนแรงมากๆ ซึ่งในหลายกรณี สิ่งเหล่านี้อาจสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุที่จับต้องได้ เช่น ขว้างหนังสือจากชั้นวางไปทั่วห้อง และบางครั้งก็อาจทำด้วยความประสงค์ร้าย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำเพียงเพราะความต้องการที่จะให้ใครเห็น หรือ เพื่อเริ่มการสื่อสารบางอย่างกับผู้อยู่อาศัย ในบางกรณีก็อาจสร้างเสียงเสมือน (voice-like sounds)ได้อีกด้วย
Ghost haunted house
การสื่อสารส่วนใหญ่ จะเป็นไปในทางการส่งกระแสจิต (telepathic) ทำให้เราเหมือนได้ยินเสียงในหัวและรู้ว่าไม่ใช่เสียงของเรา แต่ก็ไม่รู้ว่า มาจากไหน ในสถานการณ์เช่นนี้ เราก็สามารถสื่อสารกับสิ่งนั้น เหมือนการพูดคุยกันทางความคิด ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ก็ต้องถือว่า ถึงเวลาแล้วในการติดต่อผู้เชี่ยวชาญเรื่องผีสิง เพื่อให้มาช่วยปลดปล่อยวิญญาณที่ติดอยู่ในอาคาร หรือกำจัดสิ่งที่ประสงค์ร้ายให้ออกพ้นไป
กลุ่มสภาพของบ้าน
(State categories of house)
หากอ้างอิงตามค่าทางสถิติแล้ว ก็ต้องบอกว่า โอกาสที่บ้านจะมีผีสิงจริงนั้น มีเป็นจำนวนน้อยสุด ที่มีมากจะเป็นกรณีความทรงจำของบ้านมากกว่า โดยจะเป็นกรณีของบ้านที่มีฮวงจุ้ยไม่ดีมากสุด แต่เพื่อให้ตรงกับจุดประสงค์ของบทความนี้ เราจะมาพิจารณาในกรณีของบ้านหรืออาคาร ที่จะมีผีสิงจริง โดยจะมีจุดสังเกตุหลายอย่าง ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มแวดล้อมสภาพ และ กลุ่มองศาสภาพ
ในส่วนของกลุ่มแวดล้อมสภาพ ยังสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มแวดล้อมภายใน และ กลุ่มแวดล้อมภายนอก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ทั้งสองกลุ่มสภาพนี้ จะเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน กล่าวคือ หากกลุ่มสภาพแวดล้อมไม่ดี และยังมีกลุ่มองศาสภาพที่เลวร้ายด้วย ก็จะเพิ่มโอกาสการมีผีหรือวิญญาณมาสิงสู่ได้มากขึ้น
กลุ่มแวดล้อมสภาพภายใน
(Internal surrounding state)
เรามาเริ่มกันที่กลุ่มแวดล้อมสภาพภายในกันก่อน สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาก็คือ ประตูทางเข้าบ้าน ซึ่งต้องไม่มีสภาพที่เป็นพลังหยิน เช่น มีร่มเงาต้นไม้ปกคลุม ไม่มีแสงแดด หรือ สายลมพัดผ่านเข้าออก ขนาดของประตูก็ส่งผลต่อสัดส่วนพลังปราณที่จะเข้าสู่ตัวบ้านด้วย
หากประตูมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อเทียบกับขนาดของอาคาร เมื่อรวมกับสภาพร่มเงาข้างต้น ก็จะทำให้พลังปราณที่จะผ่านเข้าบ้านมีน้อย แถมยังถูกแปรสภาพเป็นพลังหยินอีก ก็จะทำให้อาคารทั้งหลัง มีแต่พลังน้อยและยังเกิดสภาวะหยินครอบงำ ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะต่อการสิงสู่และอยู่อาศัยของภูติผีวิญญาณ
โดยเฉพาะหากประตูนั้นเปิดอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตามหลักการในศาสตร์ฮวงจุ้ยจะถือว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็น ประตูวิญาณ หรือ กุ่ยเหมิน (鬼門) ในขณะที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็น ประตูสวรรค์ หรือ เทียนเหมิน (天門) ซึ่งประตูวิญญาณนี้ จะเป็นทางผ่านของเหล่าวิญญาณได้
โดยเฉพาะอาคารที่ประตูทางเข้า ประตูภายใน และ ประตูด้านหลัง ตรงกันตลอดแนวยาวเป็นเส้นทแยงมุม ระหว่างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กับ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็จะเกิดสภาพของ เส้นทวารวิญญาณ (Line of the Spiritual Gates) ขึ้นได้ (ดังแสดงในรูปที่ 1) เพิ่มโอกาสให้เกิดการสิงสู่ของเหล่าวิญญาณมากขึ้น
รูปที่ 1 แสดงเส้นทวารวิญญาณ
ซึ่งตามหลักวิชาแล้ว จะเรียกประตูวิญญาณ ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือว่าเป็น ประตูชั้นนอก (Outer Gate) และเรียกประตูวิญญาณ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ว่า ประตูชั้นใน (Inner Gate) สำหรับการกำหนดแนวของประตูวิญญาณทั้งสอง จะใช้วิธีวัดจากจุดไท่จี๋ของบ้านด้วยเข็มทิศ โดยแนว 45องศา จะเป็นประตูชั้นนอก และแนว 215 จะเป็นประตูชั้นใน
นอกจากนั้น หากประตูทางเข้า เปิดตรงไปยังมุมมืด หรือมุมอับภายในอาคาร ก็จะเพิ่มแรงดึงดูดเหล่าวิญญาณได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากประตูนั้น หันตรงไปประจัญกับสถานที่มีพลังหยินเข้มข้น เช่น ศาสนสถาน สถานฌาปณกิจ โรงพยาบาล หรือ สุสาน ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการเข้ามาของวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายมากขึ้น
ตำแหน่งถัดไปที่ต้องพิจารณาก็คือ บันได และทางเดิน ภายในอาคาร หากมืดคลึ้ม คับแคบ หรือมีซอกหลืบมาก ก็จะสร้างสภาวะหยิน ที่เอื้อต่อการสิงสู่ของเหล่าวิญญาณได้มาก และยังจะกลายเป็นทางเดินของเหล่าวิญญาณที่มาสิงสู่อยู่ เพิ่มโอกาสในการพบเห็นได้มากขึ้นด้วย
Internal surrounding state
โดยเฉพาะหากมีกระจกเงาอยู่ในมุมมืด และหันหาช่องเปิด เช่น ประตู หรือหน้าต่าง ที่มืดคลึ้ม ก็จะเพิ่มทางผ่านของเหล่าวิญญาณขึ้นอีก แม้แต่กระจกที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า ที่ปิดมืดและหันประจัญกับประตูที่เป็นฝาตู้ ก็สามารถเป็นทางผ่านของเหล่าวิญญาณได้เช่นกัน อีกสิ่งที่ต้องระวังก็คือ ของประดับที่ได้มาจากสัตว์ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ก็ต้องถือเป็นส่วนของซากศพสัตว์
ของพวกนี้จึงมักจะมีพลังอาถรรพ์ ที่สามารถดึงดูดเหล่าวิญญาณให้เข้ามาสิงสู่ได้ โดยเฉพาะวิญญาณสัตว์ จึงไม่ควรนำมาประดับไว้ตามทางเดิน หรือตามผนังในห้องโถง รวมไปถึงพวกตุ๊กตา ที่มีองคาพยพคล้ายคน ก็สามารถดึงดูเหล่าวิญญาณคนตายเข้ามาสิงสู่ได้ จึงควรเลี่ยงนำมาเป็นของประดับ โดยเฉพาะการใช้เป็นของเล่น ที่เอาไว้ในห้องเด็ก เมื่อปิดไฟมืด จะทำให้สร้างภาพหลอนขึ้นได้ และยังอาจดึงดูดวิญญาณจริงเข้ามาอยู่ได้ด้วย
กลุ่มแวดล้อมสภาพภายนอก
(External surrounding state)
ในส่วนของแวดล้อมสภาพภายนอก ก็จะนับตั้งแต่นอกอาคารเป็นต้นมา แม้จะยังอยู่ภายในรั้วก็ตามที ส่วนที่อยู่ภายนอก ก็ยังใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับภายใน โดยอิงหลักที่ว่า “พลังหยินเหมาะกับคนตาย พลังหยางเหมาะกับคนเป็น” ดังนั้น การจะพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ จึงย่อมต้องเน้นไปที่พลังภาวะที่เป็นหยิน
หากรอบบ้านค่อนข้างมืดคลึ้ม ไม่ว่าจะเป็นเพราะการสร้างหลังคาต่อเติมออกไป หรือมีเงาไม้ใหญ่ปกคลุมก็ตามที หากปิดทึบจนแสงแดดส่องเข้ามาไม่ได้ ก็ย่อมจะกลายเป็นพลังภาวะหยินโดยไม่อาจเลี่ยง และย่อมเป็นสภาพที่เหมาะสมกับการสิงสู่ของเหล่าวิญญาณ โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็น ประตูวิญญาณ ทั้งสอง คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ กับ ตะวันตกเฉียงใต้
External surrounding state
หากภายในเขตรั้วอาคาร มีอาคารย่อยที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในพื้นที่ อาคารนั้นก็จะเหมาะเป็นที่สิงสู่ของเหล่าวิญญาณได้ โดยเฉพาะหากปิดตายทิ้งไว้ ไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังชีวิตคนเป็น ก็จะยิ่งสร้างเป็นสภาพที่เหมาะสมต่อการสิงสู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากตัวอาคารอยู่ติดกับสถานที่มีพลังหยินเข้มข้นรุนแรง เช่น วัด หรือ สุสาน
ก็จะยิ่งมีความเป็นไปได้สูง ที่จะดึงดูดเหล่าวิญญาณเร่ร่อนให้เข้ามาอาศัย ต้นไม้ใหญ่ที่ถือเป็นไม้อาถรรพ์ และเหมาะแก่การสิงสู่ของวิญญาณ เช่น ต้นหลิว ต้นไทร ต้นโพธิ์ ต้นตะเคียน หรือ ต้นกล้วย จึงควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรปลูกไว้ในเขตรั้วบ้าน
กลุ่มองศาสภาพ
(Backside direction state)
มาถึงกลุ่มองศาสภาพ ในกลุ่มสภาพหลังนี้ ค่อนข้างจะต้องใช้หลักวิชาชั้นสูง ในศาสตร์ฮวงจุ้ย มาช่วยในการวิเคราะห์ตรวจสอบ โดยต้องเริ่มต้นจากการวัดองศาของตัวอาคาร ซึ่งตามหลักการแล้วจะมีการวัดอยู่ 2 แบบหลักๆ ที่เรียกกันว่า “หน้าหัน หลังอิง” โดยหน้าหัน ก็คือองศาของทิศทางที่ตั้งฉากกับระนาบด้านหน้าของอาคาร หรือทิศที่ด้านหน้าอาคารตั้งประจัญ หรือชี้ตรงไป
ขณะที่ทิศหลังอิงก็คือ ทิศทางที่ตั้งฉากกับระนาบด้านหลังอาคาร หรือทิศที่ด้านหลังอาคารตั้งประจัญหรือชี้ตรงไป ซึ่งในกรณีการตรวจสภาพของผีสิงอาคารนั้น เราจะใช้ทิศหลังอิงเป็นหลัก เพราะต้องใช้วิชาดาวเหิน ในการวังผังดาวมาใช้ในการตรวจสอบ โดยจะมีหลักเกณฑ์คือ
1. ต้องเป็นผังดาวแบบพลังล้มเหลว คือ กลับกันกับพลังรุ่งเรือง โดยพลังรุ่งเรืองนั้น จะมี ดาวสายน้ำอยู่ด้านหน้าบ้าน และดาวภูเขาอยู่ด้านหลังบ้าน แต่พลังล้มเหลว จะมีดาวสายน้ำอยู่ด้านหลังบ้าน และดาวภูเขาอยู่ด้านหน้าบ้าน (ดังแสดงตัวอย่างในภาพบนของรูปที่ 2)
2. ต้องเป็นผังดาวแบบพลังสิ้นสภาพ คือ องศาทิศทาง ตกอยู่ในช่วงของ องศาสิ้นสภาพ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เฉพาะในระบบดาวเอียง ทำให้ไม่สามารถขึ้นผังดาวได้ ทำให้อาคารทั้งหลังไร้สิ้นผังดาว คือไร้พลังนั่นเอง
3. ต้องเป็นผังดาวแบบพลังศูนย์สิ้น คือ ผังดาวที่มีดาวภูเขาและสายน้ำเข้าไปอยู่รวมกันในวังกลาง ทำให้ไม่มีพลังของดาวทั้งสองมาคอยเกื้อหนุนพลังของอาคาร บางสำนักก็จะเรียกว่า โดนล้อคสภาพดาว ปกคิแล้ว ถ้าเข้าเพียงดาวสายน้ำ ก็จะเรียกว่า ล้อคการเงิน หรือ ลาภผล ถ้าเข้าเพียงดาวภูเขา ก็จะเรียกว่า ล้อคการงาน หรือ บารมี
แต่ถ้าเข้าทั้งสองดาวก็จะโดนล้อคทั้งสองสภาพ ถือว่าเสียหายมาก พลังอาคารจะอ่อนแอ โดยเฉพาะถ้าเป็นดาวยุคที่เป็นหยิน คือ 2 4 7 9 ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดสภาพผีสิงมากขึ้น เพราะจะไปเข้าเกณฑ์ในข้อที่ 4 ซ้ำเข้าไปอีก (ดังแสดงตัวอย่างในภาพล่างของรูปที่ 2)
4. ต้องเป็นผังดาวแบบพลังศูนย์หยิน คือ มีดาวหยินคือ 2 4 7 9 มารวมตัวกันที่ศูนย์กลาง ก็จะทำให้พลังของทั้งอาคารพลอยกลายเป็นพลังหยินครอบงำไปด้วย เพราะวังกลางถือเป็นจุดไท่จี๋ของอาคาร สิ่งที่เกิดในวังนี้ จึงย่อมส่งผลกระทบไปทั้งอาคารโดยปริยาย
รูปที่ 2 แสดงผังดาวบ้านพลังล้มเหลว
จากตัวอย่างในรูปที่ 2 เป็นผังดาวแบบพลังล้มเหลว โดยอาคารอิงองศา 170S ยุค 7 ทำให้เกิดสภาพพลังล้มเหลว คือ ดาว 7 สายน้ำอยู่หลัง และดาว 7 ภูเขาอยู่หน้า และที่วังกลาง ยังมีดาวหยิน 2 2 7 มาชุมนุมรวมกันด้วย
รูปที่ 3 แสดงผังดาวบ้านพลังศูนย์สิ้น
จากตัวอย่างในรูปที่ 3 เป็นผังดาวแบบพลังศูนย์สิ้น โดยอาคารอิงองศา 245Sw ยุค 7 ทำให้ดาว 7 เข้าวังกลางทั้งหมด และดาว 7 ก็เป็นดาวพลังหยิน จึงทำให้เกิดดาวหยินชุมนุมที่วังกลางซ้อนไปอีกชั้น การแก้ไขในกรณีเช่นนี้ จะต้องสร้างจุดประธานใหม่ เพื่อบิดองศาให้เกิดผังดาวที่ดี มีความเจริญรุ่งเรืองเข้ามาช่วยลดทอนพลังร้ายดังกล่าว
บทสรุป
(Conclusion)
นอกจากจุดสังเกตุต่างๆ ที่บรรยายมา เราก็ยังสามารถใช้หลอผาน หรือ เข็มทิศจีน ที่มีรหัสพลังต่างๆ รายล้อมเข็มทิศที่ใจกลาง ในการตรวจสอบดูร่องรอยของวิญญาณภายในอาคารได้ โดยเข็มทิศที่ใจกลางหลอผาน จะสามารถตรวจจับคลื่นพลังของพวกวิญญาณได้ และหากตรวจพบ ก็จะแสดงอาการหมุนไปโดยรอบไม่หยุด
หากพบเจอกับอาการดังกล่าว ก็แสดงว่า ภายในบ้านต้องมีพลังที่ไม่ดีสถิตอยู่ ค่อนข้างหนาแน่นและเข้มข้น ซึ่งมักจะหมายถึงพลังวิญญาณ ท้ายสุดนี้ ก็ต้องชี้แจงไว้ในที่นี้ว่า การมีวิญญาณสิงสู่อยู่ภายในอาคารนั้น บางครั้งก็ไม่เกี่ยวกับสภาพพลังภาวะหยินของอาคาร เพราะแม้แต่อาคารที่มีพลังหยาง หรือมีฮวงจุ้ยที่ดี ก็อาจมีวิญญาณสิงสู่ได้เช่นกัน
แต่มักจะเป็นวิญญาณที่ดี ที่ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อผู้อยู่อาศัย ซึ่งมักจะพบในอาคารสถานที่เก่าแก่ ที่มีอายุกาลยาวนาน ในกรณีเช่นนี้ อาจเป็นวิญญาณบรรพชนก็เป็นไปได้มาก เมื่อรับทราบแล้วก็ควรตั้งศาลบูชาให้ ในตำแหน่งที่พบเห็น เพื่อแสดงความนอบน้อม ถือเป็นการเชื่อมกับพลังของชะตาฟ้าอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะอาจทำให้ ความเป็นอยู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้
กล่าวโดยสรุปแล้ว เรื่องของวิญญาณนี้ อาจไม่สามารถแก้ไขด้วย ศาสตร์อวงจุ้ยปกติ แต่ต้องใช้อาถรรพ์วิชาชั้นสูง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับชะตาฟ้า หรือ ปราณฟ้า ผ่านปราณของสิ่งศักด์สิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องอาศัยหลักการพื้นฐานอย่างเช่น หลักฉกฐาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น กล่าวคือ ต้องทำให้อาคารทั้งภายนอกและภายใน มีความ “สว่าง สะอาด สะดวก” และ “ระเบียบ ระบบ ระบาย”
หากสามารถทำได้ครบตามหลักการของฉกฐานนี้แล้ว ก็จะสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งย่อมจะช่วยลดหรือบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับภูติผีวิญญาณเหล่านี้ลงไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะหลักการฉกฐาน จะทำให้เกิดสภาพสมดุลย์ของพลังหยินและหยาง ที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของคนเป็น มากกว่าเหล่าวิญญาณ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา