Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อรรถเสวนา
•
ติดตาม
3 ส.ค. 2023 เวลา 14:02 • ปรัชญา
พลังแห่งความเชื่อ
เนื่องจากธรรมชาติของโลกทั่วไป ล้วนเกิดจากการสมมติขึ้น ดังนั้นทุกอย่างในโลก จึงก่อเกิดขึ้นด้วยความคิด เมื่อมีความคิดริเริ่มแล้ว ก็ลงมือกระทำอย่างจริงจัง จนประสบผลสำเร็จตาม ที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ จึงกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มจากความคิดดังกล่าว เมื่อคิดแล้วก็ทุ่มเทความเชื่อลงไป เริ่มต้นก็ต้องเชื่อให้ได้ว่า จะสามารถสร้างสิ่ง ที่คิดไว้นั้นให้เป็นจริงขึ้น
กระทั่งความเชื่อทั้งหมดนั้น ผ่านการทุ่มเทสั่งสม จนมีกำลังความเข้มข้นเพียงพอ ที่จะไม่สามารถทนอยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในความคิดอีกต่อไป ด้วยแรงเร้าจากความเชื่อ อันเข้มข้นเหล่านั้นเอง ที่ผลักดันให้เราต้อง ลงมือทำในสิ่งที่คิดไว้นั้น จนก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างจริงจังขึ้น
บทนำ
(Introduction)
ทั้งหมดนี้จึงกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็น ผลพวงจากพลังแห่งความเชื่อ แทบทั้งสิ้น ที่สร้างสรรพสิ่งขึ้นในจักรวาล แม้ลำพังเพียงความเชื่อของคนๆ เดียว ที่ดูเหมือนจะมีกำลังน้อย แต่เมื่อผ่านการผลักดัน จนถึงขีดสุดก็อาจสำเร็จ เป็นรูปธรรมได้ และไม่เพียงแต่จะส่งผล ต่อตัวเจ้าของความคิด และความเชื่อเท่านั้น แต่ยังอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้แก่คนหมู่มาก ด้วยการช่วยจุดประกาย ความคิดริเริ่มใหม่ๆ ที่จะสานต่อไปเป็นความเชื่อ ของแต่ละบุคคล หรือคณะบุคคลต่อๆ ไป ไม่จบไม่สิ้น
และด้วยพลังแห่งความเชื่อเหล่านี้นั่นเอง เมื่อมีกำลังเพียงพอ ตามกำหนดที่สมควรจะเป็นแล้ว ก็ย่อมสามารถชักนำ ให้พลังแฝงเร้นอื่นๆ ของโลกแปรเปลี่ยนปรับตัวตามไป และนี่ก็คือสิ่งที่ผู้เขียน จะนำมาบรรยายในบทความนี้ เกี่ยวกับการใช้พลังความเชื่อ ในการปรับปรุงแก้ไข ชะตากรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะที่นิยมทำกันในปัจจุบัน
Power of faith
ก่อนจะนำพาท่านผู้อ่านมา เรียนรู้กับกรรมวิธีในปัจจุบัน ก็ต้องขอเท้าความย้อนทวนกลับไป ยังอดีตนับแต่บรรพกาลที่ผ่านมา ในยุคโบราณนั้น บรรพชนได้เฝ้าสังเกต และศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อที่จะแสวงหาวิธีเอาตัวรอด และดำรงอาศัยอยู่ให้ได้ภายใต้ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ และหลังจากการเฝ้า ทุ่มเทศึกษาเรียนรู้นานเข้า พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถ กำหนดขอบเขตของหลักเกณฑ์ หลายประการขึ้น และสามารถนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ ต่อการดำรงชีพของพวกตน จนสามารถสืบทอด อารยธรรมยาวนาน มากระทั่งถึงยุคสมัยปัจจุบัน
แน่นอนว่าศาสตร์สาขาหนึ่ง ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ คือโหราศาสตร์ หรือหลักวิชาในการพยากรณ์ ก็เป็นศาสตร์หนึ่ง ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนบังเกิดกรรมวิธีอันหลากหลาย ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง เพียงแต่ว่าโหราศาสตร์ดังกล่าวนี้ ในหลายกรรมวิธี กลับยังไม่สามารถพิสูจน์ อย่างเป็นรูปธรรมได้ โดยอาศัยหลักแห่งตรรก หรือเหตุผลพื้นฐาน ในแง่มุมความคิดของหลายๆ คน แต่กลับถูกมองว่า ต้องอิงอยู่กับเรื่องของความเชื่อ หรือความศรัทธาเป็นหลัก
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Scientific process)
คนจำนวนมากจึงมักจะมองว่า โหราศาสตร์ เป็นเรื่องราวของสิ่ง ที่งมงายไม่น่าเชื่อถือ โดยลืมนึกไปว่า แท้จริงแล้วโหราศาสตร์ก็ไม่ ต่างจากศาสตร์แขนงอื่นๆ ที่อาศัยหลักของสถิติ ซึ่งได้จากการเฝ้าสังเกตบันทึก ข้อมูลตลอดเวลาอันยาวนาน แล้วจึงนำเอาข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้นมาทำการวิเคราะห์วิจัยจนสามารถกำหนดเป็นหลักวิชาหรือกฏเกณฑ์ที่จะใช้ในการคำนวณ จนได้ผังภาพหรือแผนภูมิที่สามารถอ่านแปลออกเป็นความหมายสารพัดสารพันได้
ไม่ต่างจากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งบ่อยครั้งก็จะได้สูตร หรือสมการจากการทดลอง แล้วเก็บข้อมูล มาเข้ากระบวนการทางสถิติ เพื่อสร้างกฏเกณฑ์ หรือสมการที่จะใช้ ในการคำนวณหาค่า หรือแท้จริงแล้วน่าจะใช้คำว่า พยากรณ์ค่าที่ควรจะเป็นออกมาได้ ตัวอย่างหนึ่งของกรรมวิธี ทางสถิติดังกล่าว ที่นักวิจัยนิยมใช้กันมากก็คือ กระบวนการ วิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis) ซึ่งเป็นกรรมวิธีใน การหาความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลสองกลุ่ม แล้วสร้างเป็นสมการ หรือสูตรในการพยากรณ์ค่าอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกัน
หลายท่านอาจจะแย้งว่า กระบวนการทางวิยาศาสตร์นั้น แม้จะใช้หลักสถิติเหมือน กับหลักวิชาทางโหราศาสตร์ แต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทำ การทดลองซ้ำในรูปแบบเดิม และได้ผลเช่นเดิมได้ แต่ท่านอย่าลืมว่า สมการมากมายในทางคณิตศาสตร์ ที่ใช้กันอยู่ในทางวิทยาศาสตร์นั้น บ่อยครั้งจะติดค่าที่เรียกว่า สัมประสิทธิ์แบบคงที่ คือเป็นตัวเลขโดดๆ ที่ได้มาจากการสังเกตผลในการทดลอง โดยที่หลายครั้งยังไม่มี กฏเกณฑ์ที่แน่ชัดด้วยว่า ค่าเหล่านี้ได้มาอย่างไร
Scientific process
ตัวอย่างหนึ่งที่น่า จะเป็นที่รู้จักกันดี ก็คือ ค่าคงที่เอกภพ ในสมการสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์ในช่วงต้น ซึ่งแม้ไอน์สไตน์จะถอด ออกไปจากสมการของตนแล้ว แต่ปัจจุบันจากผลความก้าวหน้า ในงานวิจัยทางฟิสิกส์ทฤษฎี ก็กลับมีแนวโน้มว่า จะต้องนำกลับมาใช้อีก เพื่อที่จะอธิบายปรากฏการณ์ ของจักรวาลได้อย่างถูกต้อง โดยที่ยังไม่มีความชัดเจนว่า ค่าที่กำหนดไว้นั้นควรจะอิงอยู่ บนหลักเกณฑ์ใดจึงจะถูกต้องอย่างแท้จริง
โดยค่าคงที่ดังกล่าวเหล่านี้ บ่อยครั้งจะได้มาจากการ ควบรวมเอาค่าตัวแปรบางอย่าง ที่ยังไม่แน่ชัดเข้าด้วยกัน หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การลดทอนค่าตัวแปรบางตัวออกไป เพื่อลดรูปสมการให้ง่ายขึ้น โดยอิงอาศัยอยู่บน สมมติฐานข้อใดข้อหนึ่ง และด้วยกระบวนการดังกล่าวนี้ สูตรและสมการทาง วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ จึงจะใช้งานได้อยู่บนเงื่อนไข ที่ถูกกำหนดไว้ ในขอบข่ายของแต่ละทฤษฎี ไม่สามารถใช้ได้ อย่างครอบจักรวาล
ยกตัวอย่างเช่น กฏของนิวตันก็จะใช้ได้ เฉพาะกับการเคลื่อนที่ ของวัตถุที่ช้ากว่า ความเร็วแสงมากๆ ขณะที่สมการของไอน์สไตน์ จะเหมาะสมกับการเคลื่อนที่ ของวัตถุที่ใกล้ความเร็วแสงมากกว่า และหากลดความเร็วลงมา สมการของไอน์สไตน์ และนิวตันก็จะปรับ เข้าหากันโดยอัตโนมัติ
กระบวนการทางโหราศาสตร์
(Astrological process)
ที่บอกเล่ามาข้างต้นนี้ ก็เพื่อจะอธิบายว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวิทยาศาสตร์ และโหราศาสตร์นั้น ไม่ได้แตกต่างกัน ทั้งในแหล่งกำเนิดที่มาของหลักวิชา และกระบวนการที่ใช้ในการคำนวณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ไปใช้งาน เพราะวิทยาศาสตร์เอง ก็ยังทำซ้ำได้ภายใต้เงื่อนไข ที่ทฤษฎีต้นกำเนิดกำหนดไว้ โหราศาสตร์เองก็เช่นกัน หลายๆ หลักวิชาจะมีการลดรูป ของสูตรการคำนวณ ให้กระชับและง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้การ คำนวณนั้นไม่ยุ่งยาก
แน่นอนว่าผลการลดรูป ของตัวแปรต่างๆ หรือกล่าวอีกนัยคือ ตัดมันออกไป โดยอิงอาศัยสมมติฐานบางอย่าง ก็ย่อมส่งผลต่อความแม่นยำ ของผลการคำนวณ ที่จะใช้ในการพยากรณ์ด้วย โดยผลที่ได้จะเป็นในรูปแบบ เดียวกับทางวิทยาศาตร์ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเพียงแนวโน้มของ ความน่าจะเป็นเท่านั้น ยังมิใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด
แต่เนื่องจากว่าจุดประสงค์ ของวิชาโหราศาสตร์นั้น เน้นไปที่การให้ผลการพยากรณ์ แนวโน้มของชะตาชีวิตเป็นหลัก ดังนั้นผลที่ได้ออกมา จึงมีนัยสำคัญเพียงพอที่จะใช้ เป็นแนวทางเบื้องต้น ในการดำเนินชีวิตได้ ในขณะเดียวกันหากต้องการ ผลการคำนวณที่ละเอียดลึกซึ้งและถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น กระบวนการดังกล่าวของโหราศาสตร์ก็จะไม่ต่างจากวิทยาศาสตร์ คือต้องหันไปใช้สูตรหรือสมการที่ยุ่งยากซับซ้อน และทำการหาค่าตัวแปรที่ถูกต้องมาใส่ให้ครบ
เมื่อนั้นผลที่ได้ก็จะสามารถใช้ให้คำทำนาย ที่ถูกต้องเหมาะสมใกล้เคียง ความจริงมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ซึ่งในปัจจุบันเมื่อ เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ ได้พัฒนาไปเป็นอย่างมาก แนวโน้มที่ทั้งโหราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์จะใช้ ความสามารถในการประมวลผล ข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว ของคอมพิวเตอร์มาช่วย ในการคำนวณก็มีความ เป็นไปได้สูงมากขึ้น ซึ่งผลที่ได้ก็น่าจะเป็น ที่พึงพอใจจากผู้คน ทั้งสองแวดวงยิ่งๆ ขึ้นไป
Astrological process
เมื่อได้ทราบหลักที่มาเบื้องต้น ที่ต้องถือว่าเป็นพื้นฐาน ของหลักวิชาพยากรณ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อไล่ย้อนทวนไปแล้ว ก็จะพบว่ามีแนวทางในการพัฒนามา ไม่ต่างจากกระบวนวิวัฒน์ ของทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างไร เพียงแต่ว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับกันก็คือ วิชาโหราศาสตร์นั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพยากรณ์ ชะตาชีวิตของผู้คน หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นหลักวิชาที่พยายามจะศึกษาและอ่านพฤติกรรมของบุคคล และเนื่องจากคน หรือมนุษย์เป็นสิ่ง ที่อาจกล่าวได้ว่า มีความซับซ้อนมากที่สุดในจักรวาล หรือธรรมชาติ
เพราะมนุษย์เรามีจิตใจ และอารมณ์ความรู้สึก ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกำหนดแนวคิด และพฤติกรรม ซึ่งสามารถแปรปรวนได้ อย่างมากมายมหาศาล และแทบจะตลอดเวลาด้วย ดังนั้นวิชาโหราศาสตร์ ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ต้องถือว่า เป็นหลักวิชาที่ต้องจัดการ กับตัวแปรปริมาณมาก ซึ่งจะใช้กำหนดหรือเป็นตัวแทน พฤติกรรมของมนุษย์ดังกล่าว โดยสามารถกล่าวได้ อย่างเต็มปากเต็มคำว่า แม้แต่ศาสตร์สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสาขาวิทยาศาสตร์เอง ก็ยังไม่มีวิชาใดสามารถทำนายพฤติกรรมของคน หรือมนุษย์ได้อย่างถูกต้องแน่ชัด
ดังนั้นเพื่อกำจัด หรือลดรูปตัวแปรจำนวนมากออกไป จึงทำให้โหราศาสตร์ดูเหมือน จะขาดคำอธิบายที่ชัดเจนเพียงพอ ว่าค่าคงที่หรือสูตรที่ใช้ ในการคำนวณนี้มาได้อย่างไร กระทั่งถูกมองว่า เป็นการเข้าไปอิง กับความเชื่อเป็นส่วนใหญ่ จนทำให้ดูเหมือนไม่น่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้ว การกำหนดค่าคงที่ หรือสูตรทั้งหลายทั้งปวง ที่ใช้ในศาสตร์แห่งการพยากรณ์ หลากหลายสาขานั้นๆ ก็ล้วนได้มาจากการสังเกต และทดลองนับครั้งไม่ถ้วน
ท่านสามารถดูได้จาก ช่วงเวลาแห่งการพัฒนา ของโหราศาสตร์แต่ละสาขานั้น เรียกได้ว่า มีความเป็นมายาวนานไม่แพ้ สายการวิวัฒน์ของศาสตร์สาขาอื่นๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งถ้าจะสืบค้นย้อนทวนกันไปจริงๆ ก็ล้วนเป็นเพียงการแตกแขนง ออกมาจากศาสตร์เร้นลับ ในสมัยโบราณจำนวนมาก ดังเช่น วิชาเคมีก็พัฒนามาจาก วิชาเล่นแร่แปรธาตุในสมัยก่อน จึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกสาขาวิชาในปัจจุบัน แม้แต่ตัวโหราศาสตร์เอง ก็ล้วนมีต้นกำหนดจากสรรพวิชา ในสมัยโบราณเช่นเดียวกัน
สัญลักษณ์โหราศาสตร์
(Astrology symbol)
มีสิ่งหนึ่งที่โหราศาสตร์ มีแต่วิทยาศาสตร์ยัง ไม่สามารถพิสูจน์ อย่างเป็นรูปธรรมได้ ก็คือการใช้พลังแห่ง ความคิดหรือความเชื่อ ที่ถูกทดแทนด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งมีทั้งในรูปแบบ ของตัวอักขระโบราณ ผังภาพ หรือแผนภูมิในลักษณะต่างๆ ที่อาจเทียบได้กับตัวสัญลักษณ์ ในสมการทางคณิตศาสตร์ อันหลากหลายในปัจจุบัน
เพียงแต่ว่า สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์นั้น จะเป็นตัวแทนของค่า หรือความหมายบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กัน อยู่ในสมการ ในลักษณะที่จะแปรตามกัน หรือแปรผกผัน ซึ่งกันและกันเท่านั้น ซึ่งสามารถแทนค่าลงไปได้ เพื่อให้ได้ผลการคำนวณที่เหมาะสม ในขณะที่สัญลักษณ์ทางโหราศาสตร์นั้น มีนัยสำคัญแฝงเร้นที่มากไปกว่านั้น และอิงกับพลังของความเชื่อเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะเกือบทุกสัญลักษณ์ ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ผ่านการทุ่มเทความเชื่อลงไป จนนับรุ่นของคนไม่ถ้วน เป็นเวลายาวนานหลายพันปี ก็จะทำให้สัญลักษณ์เหล่านั้น เกิดสิ่งที่เรียกว่า เป็นที่สถิตของพลังแห่ง ความเชื่ออย่างแรงกล้า และสามารถนำพลัง เหล่านั้นไปใช้งานได้จริง ทั้งในเชิงของการอ่านค่า ความหมายที่แอบแฝงอยู่ หรือใช้ในการปรับค่าชะตากรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการ
Astrology symbol
ตัวอย่างที่ชัดเจน ซึ่งคนปัจจุบันรู้จักกันเป็นอย่างดี และมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง ก็คือ ไพ่ทาโร่ต์ หรือที่อาจเรียกกันว่า ไพ่ยิบซี เพราะคนยิบซีโบราณ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการใช้ไพ่ประเภทนี้ มากที่สุด โดยการทำงาน ของไพ่ทาโร่ต์นั้น จะกระทำผ่านสัญลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่บนตัวไพ่ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งไพ่แต่ละใบจะมีความหมาย ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ของตัวเอง ไม่ต่างจากตัวแปรหนึ่งตัว และเมื่อนำไพ่เหล่านั้น มาอ่านผสมรวมกันเข้า ก็มีลักษณาการ ไม่ต่างจากสมการหนึ่งๆ ที่ประกอบไปด้วยตัวแปรจำนวนมาก
โดยแต่ละสัญลักษณ์หรือไพ่แต่ละใบนั้น ก็ล้วนมีการปะจุความเชื่อถือเอาไว้ ที่เป็นตัวไปกำหนดความหมาย ของสัญลักษณ์ต่างๆ บนหน้าไพ่เหล่านั้น จนทำให้มันมีอำนาจในการสื่อสาร กับผู้ที่แปลความหมายดังกล่าว ดังนั้นผู้ที่เป็นนักพยากรณ์ ด้วยไพ่ทาโร่ต์ จึงไม่ต่างจากนักคณิตศาสตร์ที่เก่ง คือต้องสามารถถอดสมการ ที่ปรากฏอยู่ในการจัดเรียงตัว ของไพ่ทั้งหมดให้ได้คำตอบ ที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
พลังอำนาจแห่งสัญลักษณ์
(Power of symbols)
นอกจากเรื่องของไพ่ทาโร่ต์แล้ว สัญลักษณ์จำนวนมาก ทางโหราศาสตร์ ก็ล้วนถูกบัญญัติ หรือกำหนดความหมายเอาไว้ จากความเชื่อของคน จำนวนมหาศาล ที่ผ่านกาลเวลาอันยาวนานมา อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ก็คือ สัญลักษณ์ของสิ่งที่เรียกว่า กัวหรือข่วย ซึ่งประกอบด้วยการจัดเรียงตัวของหยิน (เส้นขาด) และหยาง (เส้นเต็ม) โดยจะประกอบขึ้นเป็น ทั้งแบบตรีลักษณ์ คือสามขีดเรียงกัน หรือนำตรีลักษณ์ทั้งสอง มารวมกันเป็นฉกลักษณ์ (หกขีด)
ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์หลัก ที่ใช้กันในวิชาอี้จิง โดยสัญลักษณ์เหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะให้ความหมาย ที่แฝงเร้นอยู่ หลังจากนำมา ผสมผสานเข้าด้วยกันแล้ว แต่ยังมีพลังอำนาจจากความเชื่อ ที่สามารถใช้ในการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของพลังลึกลับ ที่แฝงเร้นอยู่ในธรรมชาติ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะมันอยู่พ้นไปจาก ที่กระบวนการวิทยาศาสตร์ จะใช้อธิบายได้นั่นเอง
เมื่อท่านผู้อ่านพอจะสามารถ เข้าใจแนวทางของพลังอำนาจ ที่ปรากฏอยู่ในสัญลักษณ์ ทางโหราศาสตร์อันหลากหลายนั้น ต่อไปก็จะมาชวนท่านผู้อ่านคุย ถึงการนำสัญลักษณ์เหล่านี้ไปใช้ ในการปรับชะตากรรม โดยการชักนำพลังงาน ของธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง กับการดำเนินชีวิตของผู้คน ให้สามารถดำเนินไปในแนวทาง ที่ผู้ปรับชะตาต้องการ
ก่อนอื่นจึงต้องขอเน้นย้ำ กับท่านผู้อ่านอีกครั้งว่า การใช้สัญลักษณ์ใดๆ จะต้องทุ่มเทความเชื่อเข้าไปเป็นหลัก กระทั่งสัญลักษณ์นั้น มีพลังของความเชื่อ ที่เข้มข้นรุนแรงเพียงพอ มันจึงจะสามารถชักนำพลัง ให้ดำเนินไปในทิศทางที่ต้องการได้
Power of symbols
ตัวอย่างหนึ่งของสัญลักษณ์ ที่มีใช้กันมากและเป็นวงกว้างในสังคมปัจจุบัน ก็คือ ข้อความที่มีความหมายในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ชาวจีนเป็นผู้ที่ใช้ข้อความที่ประกอบไปด้วยตัวอักษรมาจัดเรียงไว้ด้วยกัน และสามารถอ่านออกความหมาย ที่เป็นสิริมงคล หรือมีความหมายที่ต้องตรงตาม ความประสงค์ของผู้ใช้งาน ข้อความเหล่านั้น จุดประสงค์ก็เพื่อให้เห็นผ่านตา และได้อ่านอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยเหตุนี้ข้อความทั้งหลายนี้ จึงมักจะถูกนำมาติดไว้ในที่เปิดเผย และสามารถมองเห็นได้ง่าย ซึ่งผลของการอ่านข้อความเหล่านี้ทุกวัน ก็เท่ากับเป็นการกระตุ้น ย้ำเตือนให้มีความเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้จะก่อเกิดพฤติกรรม ตามความหมายที่เขียนไว้นั้น และนี่ก็คือเบื้องต้น ของการใช้พลังความเชื่อ ในการชักนำให้ก่อเกิดพลังงาน ที่ต้องการขึ้น
หลายคนที่นำเอาคำคม ซึ่งให้ความหมายในการ กระตุ้นเตือนพฤติกรรม ที่สามารถกระทำได้จริงมาติดไว้ ก็ต้องถือว่าเข้าเกณฑ์แนวทาง การใช้สัญลักษณ์สร้างความเชื่อ และใช้ความเชื่อชักนำพลังงาน ให้ก่อเกิดพฤติกรรม ตามที่ต้องการได้ เช่น การติดคำว่า “จงมีตนเป็นที่พึ่ง” หรือ “อัตตาหิอัตโนนาโถ”
ในความหมายพื้นฐานนั้น ก็จะทำให้คนที่อ่านถูกเน้นย้ำให้ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก ในลักษณะนี้ก็เข้าข่ายของการใช้ข้อความสร้างความเชื่อและพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เรียกได้ว่า เป็นพื้นฐานที่สามารถพิสูจน์ และยอมรับได้ในทางจิตวิทยาสมัยใหม่ เพราะเหมือนเป็นการใช้ข้อความกระตุ้น หรือควบคุมพฤติกรรมของตน ให้ดำเนินไปในทิศทางที่ต้องการ
พลังอำนาจแห่งธรรมชาติ
(Power of nature)
ทว่าในหลายกรณีนั้น จะมีเรื่องของสิ่งเหนือธรรมชาติ เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะคงยากปฏิเสธว่า ในธรรมชาติยังมีพลังอำนาจ มากมายที่เราไม่รู้จัก และพลังเหล่านี้ก็มิได้สนใจว่า เราจะสามารถทำความเข้าใจ มันได้หรือไม่ แต่มันก็ล้วนส่งผลต่อการ ดำรงชีวิตของเราอยู่ทุกวัน ตัวอย่างที่พอจะเห็นได้ชัด ก็คือเรื่องของอุณหภูมิของลมฟ้าอากาศ ซึ่งไม่ว่าเราจะสนใจหรือไม่ก็ตาม เมื่ออากาศร้อน เราก็จะต้องรู้สึกร้อนตามไป ส่วนจะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ความรู้สึกของแต่ละบุคคล
ทว่าในสิ่งที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปก็คือ เรื่องของกระแสปราณในธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ต่างจากคลื่นการสื่อสารทั้งหลาย ที่เต็มเกลื่อนอยู่ในชั้นบรรยากาศ ของโลกและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา แม้เราจะมองไม่เห็นแต่มันก็คงอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเราสามารถใช้ อุปกรณ์สื่อสารที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ วิทยุ หรือโทรทัศน์ เราก็ย่อมสามารถรับรู้ความหมาย ที่แฝงมากับคลื่นสื่อสาร เหล่านั้นได้เป็นธรรมดา
Power of nature
การรับรู้หรือใช้กระแสปราณในธรรมชาติ ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่า ก็ไม่ต่างจากกัน หากสามารถใช้อุปกรณ์ ที่เหมาะสมก็สามารถจัดการ กับพลังปราณเหล่านั้น และนำมาใช้ประโยชน์ ได้ตามต้องการ บ่อยครั้งที่ผู้เขียน มักจะได้คำถามเกี่ยวกับ การใช้สัญลักษณ์เหล่านี้ ในการปรับพลังปราณของสถานที่ และต้องคอยอธิบายให้ผู้ถามรับทราบ จึงขอยกมากล่าวไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาเอาไว้
ตัวอย่างเช่น การปรับแก้ห้องน้ำนั้น ผู้เขียนเคยให้ติดคำว่า “ห้ามเข้า” ด้วยตัวหนังสือเหลืองบนพื้นแดง ไว้ที่ประตูห้องน้ำ นอกจากจะมีจุดประสงค์ในการใช้ ธาตุไฟของสีแดง และธาตุดินของสีเหลือง ในการสกัดยับยั้งปราณน้ำจากห้องสุขาดังกล่าวแล้ว ยังต้องการให้เกิดภาวะ การชะงักงันของพลัง
เมื่อเจอกับพลังความเชื่อ ที่คนจำนวนมาก ได้ทุ่มเทความคิดเข้าไป ที่ป้ายนั้นในทุกครั้งที่มาอ่านพบ เพราะพวกเขาเข้าใจความหมายดังกล่าว จึงใส่ความเชื่อเข้าไปที่ป้ายนั้นโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ป้ายนั้นเกิดพลังงาน ที่สามารถสกัดยับยั้งทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เกิดภาวะชะงักงัน จึงย่อมสามารถใช้สกัดพลังปราณ ที่จะเข้าไปในห้องน้ำได้โดยปริยาย
บทสรุป
(Conclusion)
กล่าวโดยสรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่า พลังอำนาจทั้งหลายในโลก ล้วนขับเคลื่อนไปด้วยพลังแห่งความเชื่อทั้งสิ้น หากปราศจากความเชื่อแล้ว ก็ดูเหมือนว่า พลังอำนาจทั้งหลาย จะไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง เพราะความเชื่อเป็นการทุ่มเทความคิดอันแรงกล้าเข้าไปสมมุติให้สิ่งใดๆ เป็นไปตามที่คิดไว้ ซึ่งหากมีมวลสมมุติมากพอ ก็จะก่อเกิดผลตามที่มวลสมมุติเหล่านั้นต้องการได้ ยิ่งหากมวลสมมุติดังกล่าว มีการสั่งสมบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน ก็จะเท่ากับการสั่งสมพลังอำนาจ ทำให้สิ่งที่ถูกสมมุตินั้น ยิ่งมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น
หลักการนี้เป็นไปได้ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติของพลังงาน มิติของสัญลักษณ์ มิติทางจิตวิญญาณ และแม้แต่มิติทางสังคม ซึ่งในมิติท้ายสุดนี้ ท่านจะพบเห็นได้ว่า เพื่อผลทางการชักนำสังคม มักจะมีกระบวนการของการโฆษณาชวนเชื่อนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางการเมือง การปกครอง
หรือแม้แต่ การโฆษณาขายสินค้า ก็ล้วนต้องหาทางสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้น ในสิ่งที่ผู้โฆษณาเหล่านั้นต้องการ จึงถือได้ว่า พลังแห่งความเชื่อได้ครอบคลุมทุกมิติของผู้คน กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า สามารถโน้มนำภาวะของธรรมชาติให้เป็นไปตามที่มนุษย์ต้องการได้ด้วย หากมีมวลสมมุติมากพอ
(สนทนาชะตากรรม ep.4 พลังแห่งความเชื่อ)
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สนทนาชะตากรรม
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย