22 ก.ค. 2023 เวลา 21:28 • ไลฟ์สไตล์

อิทธิพลสิ่งพัวพัน

ผู้เขียนได้รับคำถาบ่อยครั้ง เกี่ยวกับหลายๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะเข้ามาพัวพันอยู่ในชีวิตของคนเรา อาทิเช่น ลายเซ็น เลขที่บ้าน บัตรประจำตัวประเภทต่างๆ หมายเลขโทรศัพท์ กระทั่งถึงเรื่องของธาตุประจำตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาสับสนว่า จะใช้ธาตุสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือจะใช้แบบจีนที่แบ่งเป็น ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ แบบไหนจึงเหมาะสมกว่ากัน โดยเฉพาะการหาธาตุประจำตัวก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นกัน
เพราะไม่รู้ว่าจะพิจารณาจากธาตุประจำราศีหรือวันเดือนปีเกิด ซึ่งล้วนมีธาตุประจำอยู่ทั้งสิ้น สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะใช้ธาตุไหนดี หลายคนสับสนกับปัญหาเหล่านี้ และผู้เขียนก็ต้องคอยตอบคำถามมาโดยตลอด จึงคิดว่าน่าจะเอามาเขียนบรรยายความกันเอาไว้ในที่นี้ จะได้ไม่ต้องคอยนั่งอธิบายกันให้ยืดยาวเยิ่นเย้ออีก อย่างมากก็เชิญท่านผู้ที่สงสัยเข้ามาอ่านในบทความนี้แทน
คราวนี้ก็มาถึงคำถามของหลายคนที่ไม่ได้ใส่ใจนักกับเรื่องเหล่านี้มากนัก หากท่านบังเอิญมาอ่านเข้าก็จะเกิดความไม่เข้าใจว่า จะสงสัยอะไรกันนักหนา และถ้ารู้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้ ผู้เขียนก็จะขอตอบว่า ถ้ารู้จริงย่อมสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ยกตัวอย่างเฉพาะเรื่องธาตุ คนที่สนใจดูแลตนเองด้วยวิชาทางโหราศาสตร์ เมื่อเขารู้อย่างแน่ชัดว่าตนเป็นธาตุอะไร เขาก็จะสามารถดีไซน์เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับที่จะสวมใส่ ตลอดถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อย่างลงตัวสอดคล้องและเสริมสิริมงคลให้เกิดแก่ตนเองได้
ด้วยเหตุนี้ หากไม่สามารถทำความเข้าใจในเรื่องธาตุได้อย่างถูกต้องก็จะพางงเอา ท้ายสุดพวกเขาก็อาจสับสนไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับชีวิตของตนต่อไป ซึ่งก่อนจะตอบคำถามเหล่านี้ ผู้เขียนก็ต้องขอบอกก่อนว่า อย่าไปเคร่งเครียดจริงจังกับเรื่องเหล่านี้มากจนเกินเหตุ เอาแค่พอดีๆ พอใช้เป็นเกณฑ์ประกอบเวลาต้องตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิต แต่อย่าถึงกับจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนี้เสียทีเดียว
สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือ โอกาสหรือความถี่ที่จะได้ใช้สิ่งพัวพันเหล่านั้น เพราะอัตราดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดบทบาทของอิทธิพลความพัวพัน ว่ามีความถี่ในการพัวพันจนถึงขั้นที่จะมีนัยสำคัญเพียงพอจะนำมาพิจารณาแล้วหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของลายเซ็น หากเป็นคนทั่วไปที่นานๆ จะมีโอกาสเซ็นซักทีหนึ่ง บางวันก็แทบจะไม่ได้เซ็นเลย หรือบางทีสัปดาห์หนึ่งจะได้เซ็นสักครั้งสองครั้ง
อันนี้ก็บอกได้เลยว่า ไม่ต้องไปให้ความสนใจ เพราะอิทธิพลที่มีนั้นน้อยมาก จนแทบจะตัดออกได้ แต่สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องเซ็นบ่อยครั้ง ดังเช่นผู้บริหาร ที่วันๆ หนึ่งอาจต้องเซ็นเป็นสิบๆ ครั้ง และทุกลายเซ็นจะมีผลต่อคนจำนวนมาก เพราะส่งผลต่อความอยู่รอดขององค์กร อันนี้ก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะต้องถือว่าอัตราการพัวพันของลายเซ็นนั้นมีอิทธิพลที่เป็นนัยสำคัญแล้ว
ส่วนเคล็ดการเขียนลายเซ็นต์นั้นก็มีอยู่อย่างหลากหลาย แล้วแต่ใครจะเชื่อในแนวทางไหน และคงหาได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็ให้ถือหลักที่ว่า ทั้งเริ่มต้นและลงท้ายก็ควรจะลากเส้นขึ้นทั้งหมด เป็นสัญลักษณ์บอกว่า มีแต่ขึ้นไม่มีลง ที่สำคัญไม่ควรมีจุดปิดท้าย เพราะจะหมายถึงการสิ้นสุดยุติ
ในเรื่องของเลขที่บัตรก็เช่นกัน หากเป็นพวกบัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม หรือเลขที่บัญชีที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง อันนี้ก็ค่อยนำมาพิจารณา สำหรับคนที่นานๆ จะได้ใช้สักครั้ง ก็ไม่ต้องไปซีเรียสอะไรมากมายนัก ส่วนบัตรประชาชนนั้น ก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ประจำตัวเหมือนเป็นตัวแทนของคนแต่ละคน แม้จะค่อนข้างมีผลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเคร่งเครียด
ส่วนใหญ่ผู้เขียนจะดูแค่ว่า หากบวกตัวเลขทั้งหมดแล้วรวมให้เป็นตัวเลขเดียว ตั้งแต่ 1-9 จากนั้นค่อยนำมาพิจารณากระทบกับดาววันเกิด หากไม่เป็นอริต่อกันก็ถือว่าใช้ได้ เพราะบัตรประจำตัวประชาชน ก็หนีไม่พ้นกฏเกณฑ์ของอัตราการพัวพันเช่นกัน คือถ้าไม่ค่อยได้ใช้เก็บเอาไว้ในกระเป๋า ก็ต้องถือว่ามีบทบาทน้อยเกินกว่าจะอิทธิพลใดๆ มากระทบโดยตรงได้
เลขหมายโทรศัพท์ก็เช่นเดียวกัน หากใช้บ่อยครั้งในการติดต่อธุรกิจการงานต่างๆ ก็ต้องถือว่าควรจะนำมาพิจารณา แต่ถ้าเป็นเบอร์ที่ใช้โทรคุยกันระหว่างเพื่อนฝูง ที่ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในชีวิตโดยตรง แม้จะใช้บ่อยเพียงใดก็ไม่จำเป็นต้องนำมาคิด แต่ส่วนใหญ่จะใช้รวมกัน อันนี้ก็ให้ไปดูว่า สัดส่วนการใช้นั้นเน้นหนักไปทางด้านงานหรือด้านเล่นมากกว่ากัน แต่ถ้าหนักไปทางเล่นก็ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเน้นเรื่องงาน ก็ให้เอามาคำนวณตามหลักเลขศาสตร์ จะเป็นแนวไหนก็ได้
แต่ส่วนตัวผู้เขียนจะใช้อยู่สองหลัก คือหลักเลขศาสตร์ที่กระทบกับดาวพระเคราะห์ตามกฏของมหาทักษา เพื่อดูผลกระทบดีร้ายจะออกไปในบทบาทใด แต่ถ้าจะอ่าน life cycle ของตัวเลขนั้นๆ ผู้เขียนจะใช้หลักของเลขศาสตร์ฮวงจุ้ย เพราะจะสามารถบ่งบอกถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของบทบาทที่จะเกิดจากชุดตัวเลขเหล่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นวงจรหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องได้ค่อนข้างละเอียด
สรุปความแล้วหลักของอัตราการพัวพันนี้ จะสามารถใช้เป็นเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาตัดทอนสิ่งที่ไม่มีอิทธิพลออกไป โดยถ้ามีอัตราการใช้เฉลี่ยแล้วน้อยกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน พูดง่ายๆ คือไม่ได้ใช้ทุกวัน ก็ให้ตัดออกไปได้ แม้ระดับวันเว้นวันก็ต้องถือว่ามีอิทธิพลที่มากระทบค่อนข้างน้อย ถึงแม้ว่าแต่ละครั้งจะใช้เป็นเวลานานๆ เช่น โทรศัพท์ ก็ต้องถือว่า ความถี่ในการใช้นั้นไม่มาก และเพราะอิทธิพลที่เกิดจะส่งผลเฉพาะช่วงที่ใช้เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อนานๆ ใช้ที แต่ใช้นานก็จะส่งผลเฉพาะในช่วงที่ใช้นั้นแล้วก็จะทิ้งช่วงไป เช่นนี้เรียกว่า ความพัวพันขาดช่วง ในเกณฑ์ของอัตราการพัวพันจึงไม่สามารถคำนวณตัวอิทธิพลที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ไม่ต่างกับรถที่จอดทิ้งไว้ไม่ค่อยได้ใช้ นานๆ จึงเอาออกไปขับสักที เครื่องยนต์ย่อมจะขาดความคล่องตัว แม้จะขับทีหนึ่งใช้ระยะทางไกลๆ ก็ไม่ทำให้รถนี้มีสภาพเครื่องดีขึ้นเหมือนที่ใช้อยู่เป็นประจำ
อุปมาสภาพเครื่องที่คล่องตัวเหมือนกับอิทธิพลความพัวพัน เมื่อนานๆ ใช้ที สภาพความพร้อมของเครื่องหรืออิทธิพลที่จะมาส่งผลย่อมไม่อยู่ในสภาพที่มีกำลังเพียงพอ จึงกล่าวได้ว่า อัตราการพัวพันไม่มีกำลังที่จะส่งอิทธิพลกระทบต่อดวงชะตาได้
คราวนี้เราจะมาลองคุยกันในเรื่องของธาตุบ้าง เพราะในวิชาโหราศาสตร์นั้น ได้ผูกความสัมพันธ์ธาตุเข้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยหลักวิชาที่จะใช้ธาตุให้เกิดประโยชน์นั้น ผู้เขียนพบว่า การใช้ธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นยังไม่มีหลักการที่ชัดเจนเพียงพอที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการในเรื่องของธาตุนั้นๆ อย่างมีประสิทธิผลในเชิงปฏิบัติ
ขณะที่หลักวิชาพยากรณ์ของจีน ที่แบ่งธาตุออกเป็นเบญจธาตุ คือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ นั้นได้มีการกำหนดบทบาทของแต่ละธาตุไว้อย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของวงจรการสร้างเสริม และการทำลาย จึงทำให้เราสามารถประยุกต์เอาธาตุที่เหมาะสมมาส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ ในขณะเดียวกันถ้าต้องการทอนกำลังของธาตุใดลง ก็สามารถใช้วงจรของการทำลายมาช่วยจัดการได้เช่นกัน
ดังนั้นหากจะถามผู้เขียนในเรื่องของธาตุนี้ ผู้เขียนจะแนะให้ใช้หลักของเบญจธาตุเป็นหลัก ส่วนหลักของธาตุสี่นั้น ผู้เขียนก็มิได้ละเลย เพราะธาตุสี่จะช่วยให้คำอธิบายที่ดีเกี่ยวกับ อุปนิสัยใจคอของคนที่เราจะพิจารณา โดยเฉพาะในหลักของพระเคราะห์และธาตุในวิชาของมหาทักษานั้น จะมีการแบ่งย่อยธาตุทั้งสี่ลงไปในระดับต่างๆ ที่แยกย่อยมากขึ้น ทำให้สามารถอธิบายพฤติกรรมของคนๆ นั้นได้ละเอียดชัดเจนมากขึ้นด้วย
และเมื่อประสานกับหลักของดาวคู่มิตร คู่ธาตุ และคู่สมพล ก็สามารถนำมาพิจารณาปรับปรุงพฤติกรรมให้เป็นไปในทางที่เหมาะสมมากขึ้นได้ โดยเฉพาะการเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หากสามารถพบเจอกับคนที่มีธาตุของดาวที่เป็นคู่มิตรต่อกันจะถือว่าดีที่สุด แต่หากต้องการเพื่อนร่วมงานหรือบริวาร ก็ต้องพิจารณาในเรื่องของคู่สมพลเป็นหลักจะดีกว่า เพราะเป็นการส่งกำลังมาเสริมให้แก่เรา
ส่วนเรื่องที่ว่าจะใช้หลักการใดในการพิจารณาว่า เรามีธาตุประจำตัวเป็นอะไรนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสับสนไม่น้อย เพราะคนๆ หนึ่งบ่อยครั้งจะเกิดในวันเดือนปีและราศีที่มีธาตุไม่เหมือนกันเลย สุดท้ายจึงงงว่า ตกลงจะใช้ธาตุใดดี อันนี้มีหลักเกณฑ์พิจารณาอย่างง่ายๆ ซึ่งสอดคล้องกันทั้งไทยและจีน ก็คือเรื่องของชะตาเรือนนอกและเรือนใน โดยปกติจะถือว่าวันและเวลาเป็นชะตาเรือนใน ส่วนปีและเดือนเป็นชะตาเรือนนอก หลักการนี้จะถูกใช้มากในวิชาการกำหนดฤกษ์ยามของทางจีน
ส่วนในทางไทยโดยเฉพาะวิชามหาทักษา ก็จะเน้นที่วันเกิดเป็นหลักเช่นกัน ดังนั้นหากให้ตอบแบบง่ายๆ ก็ต้องบอกว่า ให้ดูธาตุของวันเป็นหลัก แต่ในส่วนตัวผู้เขียนแล้ว หากต้องพิจารณาให้ผู้ใด ก็มักจะดูหมดทั้งวันเดือนปีและเวลา บางครั้งก็จะดูในส่วนของราศีด้วย แล้วนำธาตุทั้งหมดมาเรียงร้อยเข้ากัน เพื่อหาธาตุที่เป็นผลลัพธ์สุดท้ายออกมา เช่นดูว่า มีธาตุใดที่มีมากกว่าธาตุอื่น ก็ให้ถือธาตุนั้นมีบทบาทเป็นหลัก และธาตุอื่นเป็นบทบาทรอง ไม่ใช่ไม่มีบทบาทเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น หากเวลาเป็นธาตุลม วันเป็นธาตุน้ำ เดือนเป็นธาตุลม ปีเป็นธาตุลม ราศีเป็นธาตุไฟ ก็จะอ่านว่า คนผู้นี้มีธาตุลมเป็นหลัก และมีธาตุน้ำกับธาตุไฟเป็นตัวรอง ซึ่งถ้าดูตามนี้ก็จะอธิบายได้ว่า คนผู้นี้เป็นคนช่างคิดเพ้อฝัน ไม่ค่อยชอบลงมือทำ เอาจริงเอาจังอะไรไม่ได้ จากอิทธิพลของธาตุลม ขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่มีบุคลิคมากกว่าหนึ่ง เพราะมีความขัดแย้งอยู่ภายในตัวเองจากภาวะของธาตุน้ำและไฟ ทำให้บางครั้งเหมือนใจเย็นแต่บางครั้งก็จะร้อนเร่าดังไฟเผา
นี่คือตัวอย่างในการพิจารณา และเพราะธาตุสี่ไม่มีบทบาทของวงจรธาตุที่ชัดเจน จึงใช้เป็นตัวอ่านอุปนิสัยและปรับพฤติกรรมทางด้านจิตใจจะดีกว่า ขณะที่การเลือกสิ่งของเครื่องใช้ทั้งหลายในชีวิต ควรใช้หลักเบญจธาตุของจีนจะเหมาะสมกว่า เพราะมีรายละเอียดให้นำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะในหลักวิชาดวงจีน อย่างเช่น วิชาที่ผู้เขียนใช้บ่อยก็คือ สี่ราศีแปดอักษร หรือ โป้ยยี่สี่เถียว นั้นจะเน้นการคำนวณธาตุสำคัญออกมา ซึ่งจะได้เพียงธาตุเดียวที่โดดเด่น ดังนั้นจึงเป็นการสรุปไปในตัวว่า คนผู้นั้นจะมีธาตุประจำตัวเป็นธาตุใด จากนั้นก็ใช้หลักการส่งเสริมและตัดทอนมาช่วยปรับชะตาให้ดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น
หลังจากพูดถึงบทบาทเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งพัวพันมาพอสมควรแล้ว และเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะได้แง่คิดมุมมองที่เพิ่มขยายขึ้นจากข้อมูลที่ผู้เขียนบรรยายมาข้างต้น ในหัวข้อนี้จึงจะขอพาท่านผู้อ่านไปดูถึงวิธีการปรับสภาพการพัวพันในชะตาชีวิต หากเกิดว่าต้องพบกับสิ่งพัวพันที่มีผลลัพธ์สุดท้ายในด้านที่ส่งผลลบต่อชะตา ยกตัวอย่างเช่น เกิดได้เลขที่บัตร หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่มิค่อยเหมาะสมกับตัวเอง หรือรู้สึกว่า มีอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้น
กรณีแรกที่จะแนะนำก็คือ หากสิ่งนั้นสามารถทิ้งหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ ก็ควรที่จะตัดใจเปลี่ยนเสีย โดยเลือกสิ่งพัวพันที่ส่งผลทางด้านดีเข้ามาแทน แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ อย่างเช่น บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวพนักงาน เป็นต้น การแก้ไขก็มิใช่เรื่องยาก คือให้หาสิ่งที่ดีเข้ามาสร้างเป็นสิ่งพัวพันไว้ร่วมกัน ในกรณีของบัตรประชาชน หากเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ก็สามารถเขียนชุดตัวเลขที่ดีแล้วสอดไว้ด้วยกัน แต่เมื่อต้องนำไปใช้ เช่น ถ่ายสำเนาเพื่อนำไปทำธุรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในตอนเขียนรับรองสำเนาถูกต้อง ก็อาจใช้ลายเซ็นต์ที่ดีช่วยกำกับ หรือระบุวันที่ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีเข้าไปด้วย โดยอาจเลือกวันที่เป็นตัวเลขที่ดีและเสริมโชคสำหรับตัวเอง ในกรณีของการใส่วันที่นั้นมีเคล็ดอยู่เล็กน้อย คือให้พยายามเลี่ยงอย่าใส่เลขศูนย์นำหน้าตัวเลข เช่น วันที่ 2 เม.ย. 2009 ก็อย่าใส่เป็น 02-04-2009 เพราะเลขศูนย์นั้นหมายถึงความว่างเปล่า การสิ้นสุดยุติ ในแทบจะทุกคติทางโหราศาสตร์ไม่ว่าของชาติใด
การเลือกสีของกระเป๋าสตางค์ให้ถูกหลักของธาตุที่ส่งเสริมธาตุประจำตัว ก็สามารถช่วยเพิ่มกำลังในทางบวก ที่ไปช่วยลดทอนพลังด้านลบของเลขที่บัตรประชาชนได้เช่นกัน ในกรณีของบัตรพนักงานหากเลือกได้ ก็อาจเลือกสีของซองที่ใส่ หรือสายห้อยเป็นสีของธาตุที่ส่งเสริมชะตาของตัวเอง หรือแม้แต่ปากกาที่ใช้ อัญมณีบนแหวนหรือสร้อย สีของสายนาฬิกาข้อมือ ปลอกหรือเคสใส่โทรศัพท์มือถือก็สามารถใช้ลดอิทธิพลของเลขที่ไม่ดีได้ทั้งสิ้น
สรุปง่ายๆ ก็คือไม่ต้องตกใจไปหากได้เลขที่ไม่ดี ให้ตั้งสติแล้วพิจารณาว่า เปลี่ยนทิ้งเลยได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ให้ทำเป็นขั้นตอนแรก ถ้าเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ค่อยใช้การสร้างความพัวพันกับเลข หรือธาตุที่ส่งเสริมมาช่วยข่มอิทธิพลของสิ่งพัวพันที่ไม่ดีเหล่านั้น ซึ่งมีกรรมวิธีที่สามารถกระทำได้อย่างหลากหลายมาก
ในเนื้อหาส่วนนี้ก็ต้องการเน้นย้ำว่า อย่าได้วิตกกังวลกับสิ่งพัวพันที่ไม่ดี เพราะบางครั้งตัวเองไม่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์โดยตรง แต่ถูกคนอื่นทักมาว่าไม่ดี ก็เริ่มวิตกกังวลทันที สุดท้ายแล้วบางครั้งสิ่งที่ถูกทักนั้นใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป เพราะคนที่ทักก็อาจไม่รู้จริงก็เป็นไปได้ ผู้เขียนจึงเน้นว่า อย่าด่วนวิตกกังวลโดยใช่เหตุ เพราะเมื่อกังวลแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างพลังลบให้เกิดขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการสร้างสิ่งพัวพันที่เป็นด้านลบเพิ่มขึ้นในชีวิต ทั้งที่สิ่งที่ถูกกังวลนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้จะไม่ดีก็อาจไม่มีอิทธิพลจริงจังแต่อย่างไร ในกรณีนี้เมื่อไปกังวลเข้า ก็เท่ากับไปเพิ่มอัตราความพัวพันให้เพิ่มมากขึ้น จนมีนัยสำคัญพอจะกลายเป็นอิทธิพลขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้ จึงอยากจะบอกว่า ทำใจให้สบายๆ อย่าไปจริงจังเคร่งเครียดกับเรื่องของสิ่งที่เข้ามาพัวพันทั้งหลายมากจนเกินไป พูดถึงเรื่องนี้ ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ไปซื้อบ้านไว้ แต่ยังมิได้เข้าอยู่ ตอนแรกๆ ก็จะคิดถึงบ้านเฉพาะตอนที่นิติบุคคลของหมู่บ้าน ส่งบิลมาเรียกเก็บค่าส่วนกลางในทุกสองเดือน และเขาก็ไปดำเนินการ แต่ต่อมามีเพื่อนอีกคนไปเห็นเลขบ้านของเขาเข้า เลยทักว่าตัวเลขไม่ดี
เท่านั้นเอง เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของบ้านก็ใจเสีย คิดถึงแต่เลขที่ไม่ดีนั้น จนทำให้ชีวิตดูเหมือนจะย่ำแย่ลง จนเขามาปรึกษากับผู้เขียนในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงตอบไปว่า ถ้าพิจารณาตามเลขที่บ้านก็ไม่ดีจริงอย่างที่เพื่อนอีกคนของเขาทักไว้ แต่ขอถามตามตรงว่า แล้วทำไมก่อนหน้านั้นเป็นปี (เพราะเพื่อนซื้อบ้านหลังนี้มาได้เกือบสองปีแล้ว) จึงไม่เห็นมีปัญหาในชีวิตเหมือนหลังรู้เรื่องตัวเลข เพื่อนที่เป็นเจ้าของบ้านจึงเริ่มได้คิด
สรุปแล้วเขาก็วิตกกังวลไปเอง และได้สร้างอัตราความพัวพันให้เพิ่มมากขึ้น จนสัดส่วนความถี่เริ่มมีนัยสำคัญ จึงทำให้ตัวเลขที่ไม่ดีนั้นสามารถส่งอิทธิพลต่อชีวิตเขา ทั้งที่ก่อนหน้านั้น แม้มันจะไม่ดี แต่เพราะสองเดือนไปทีหนึ่ง จึงเรียกได้ว่า อัตราการพัวพันนั้นน้อยเกินกว่าจะส่งอิทธิพลได้ ทว่าหลังจากรู้แล้วกลับวิตกกังวลจึงไปเพิ่มอัตราส่วนดังกล่าวขึ้นด้วยตัวเอง แต่เพื่อให้เพื่อนสบายใจผู้เขียนก็ได้ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขให้ไป โดยการเปลี่ยนสีของป้ายเลขที่บ้านใหม่ เพื่อให้ส่งเสริมและสลายพลังอัปมงคลทั้งหมดนั้น
ดังนั้นปัญหาส่วนใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สิ่งพัวพัน เกิดบทบาทและมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราได้ ก็เนื่องมาจากความวิตกกังวลเป็นเหตุ เมื่อกังวลแล้วก็จะนึกถึงอยู่บ่อยๆ เกิดเป็นอาการคิดมากเกี่ยวกับสิ่งนั้น มันจึงเท่ากับไปเพิ่มอัตราการพัวพันโดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนจึงมักจะย้ำเตือนเพื่อนๆ หรือผู้ที่มาปรึกษาว่า อย่าไปซีเรียสจริงจังอะไรมากนัก ทุกสิ่งในโลกล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย ดังนั้นจึงสามารถสร้างเหตุปัจจัยใหม่เข้าไปแก้ไขได้ทั้งสิ้น
ในทางตรงกันข้าม เมื่อพบเจอสิ่งพัวพันที่ดี ก็ควรจะคิดถึงมันให้มากๆ และใช้งานบ่อยๆ เช่นในกรณีที่ซื้อบ้านไว้แล้วมีเลขที่ดี องศาชะตาบ้านอยู่ในเกณฑ์ดี ก็ควรจะหาเวลาไปที่บ้านนั้นบ่อยครั้ง หรือจะเข้าไปอยู่เลยก็ได้ หากพิจารณาแล้วว่า สภาพความพัวพันมีอิทธิพลด้านดีกว่าบ้านหลังที่อยู่ปัจจุบัน เพราะการทำเช่นนี้ก็จะเป็นการเพิ่มอัตราการพัวพันกับสิ่งที่ดีนั่นเอง ซึ่งย่อมทำให้บทบาทของสิ่งพัวพันนั้นเพิ่มมากขึ้นจนมีนัยสำคัญที่จะส่งผลต่อชะตาชีวิตเราได้
ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็อยากจะสรุปลงท้ายในบทความนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้สบายใจว่า ชีวิตคนแต่ละคนนั้น มีการปฏิสัมพันธ์และเข้าไปข้องเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธาตุหรือตัวเลข ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นหลักของความพัวพันที่หักล้างกันเอง พูดง่ายๆ ก็คือ ตัวเลขทั้งดีและไม่ดีที่ผสมผสานกันอยู่ในความพัวพันของชีวิตคน ย่อมจะส่งอิทธิพลที่หักล้างตัดทอนกันไปในตัว กล่าวคือ เลขที่ดีก็จะส่งเสริม เลขที่ไม่ดีก็ทำลาย ดังนั้นเมื่อพิจารณาในอัตราเฉลี่ยแล้ว ส่วนใหญ่จะมีสัดส่วนที่ไม่ต่างกันมากนัก
หากคิดตามหลักคณิตศาสตร์ง่ายๆ เมื่อบวกลบกันแล้ว สุดท้ายส่วนใหญ่มักจะได้ค่าเฉลี่ยที่เป็นกลางๆ ไม่ดีหรือร้ายจนเกินไป ยกเว้นคนที่มีกรรมที่มีกำลังแรงมากพอ มาตัดรอนหรืออุปถัมภ์ส่งเสริม จึงจะเกิดผลให้เห็นดีร้ายอย่างชัดเจน กล่าวโดยสรุปแล้ว ผลของกรรมที่ทำไว้ จะเป็นตัวตัดสิน และกำหนดเส้นทางชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีทางแก้ไขได้ ทางหนึ่งที่ได้ผลชะงักก็คือ การละเว้นกรรมชั่ว และสร้างแต่กรรมที่ดีให้มากไว้ เหมือนการเทน้ำเย็นลงไปเพื่อทำให้น้ำที่ร้อน ค่อยอุ่นขึ้นและกลายเป็นน้ำเย็นในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ในส่วนของอิทธิพลจากความพัวพัน ในแง่ของการส่งผลในชีวิตจริง จึงแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ต้องนำมาคิดพิจารณาให้ยุ่งยากวุ่นวายเกินเหตุ แต่ในที่นี้ผู้เขียนก็มิได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า สุดท้ายแล้วมันจะหักล้างกันไปเอง หากมีเวลาว่างพอ จะนำมาพินิจพิจารณาก็ไม่มีใครว่า และผู้เขียนก็ยอมรับว่า มันมีผลในช่วงที่เรายังพัวพันกับมันอยู่
ดังนั้นหากมีอัตราการพัวพันบ่อย ก็ควรนำมาคิดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบ และถ้าจะถามว่า ระหว่างตัวเลขกับธาตุนั้น อันไหนมีบทบาทมากกว่ากัน ผู้เขียนก็ต้องขอตอบว่า ทั้งสองส่วนมีบทบาทที่แตกต่างกัน ตัวเลขจะให้ผลทางด้านนามธรรมมากกว่า คือเป็นเหมือนอิทธิพลซ่อนเร้นที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ธาตุจะปรากฏชัดเป็นรูปธรรม ทำให้สามารถทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขได้สะดวกง่ายดายและเห็นผลได้เร็วกว่า
เรื่องของตัวเลขก็ใช่จะปรับไม่ได้เลย เพียงแต่เห็นผลได้ไม่ชัดเหมือนการปรับธาตุ และอาจต้องใช้เวลาในการสร้างอัตราการพัวพันกับตัวเลข ที่จะใช้ปรับจนถึงสัดส่วนที่มีนัยสำคัญจริงๆ จึงจะส่งผลได้ สรุปแล้วก็ให้ถือว่า สิ่งพัวพันทั้งหลายในชีวิตนั้น จะมีบทบาทอิทธิพลต่อเราก็ต่อเมื่อความถี่ในการพัวพันมีมากเพียงพอเท่านั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่จะวิตกกังวลกันจนเกินเหตุ และสุดท้ายแล้วการหักล้างกันเองของสิ่งพัวพันทั้งหลาย ก็จะทำให้มันลดทอนอิทธิพลลงไปด้วยตัวของมันเอง
(สนทนาชะตากรรม ep.3 อิทธิพลสิ่งพัวพัน)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา