18 ก.ค. 2023 เวลา 18:55 • ไลฟ์สไตล์

คู่แท้หรือคู่เทียม

นี่เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดนิยม และเป็นเหตุจูงใจสำคัญ ที่ทำให้คนเข้ามาพึ่งพิง วิชาโหราศาสตร์กันมาก นั่นคือเรื่องของเนื้อคู่ หรือคู่ครอง และต้องยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนจำนวนมาก ให้ความสำคัญ และประสงค์ที่จะรับรู้ ผ่านการทำนายทายทัก หรือการพยากรณ์ด้วย หลักวิชาทางโหราศาสตร์ ด้วยมุ่งหวังว่า นักพยากรณ์จะสามารถให้คำตอบ สำหรับการแสวงหาของพวกเขา ที่จะได้พบกับเนื้อคู่ที่พวกเขาเฝ้ารอคอย
ซึ่งผู้เขียนก็เป็นอีกผู้หนึ่ง ที่ต้องตอบคำถามดังกล่าวเป็นประจำ จากผู้คนหลากหลายทั้งเพศและวัยอายุ แม้ผู้เขียนจะมิใช่นักพยากรณ์โดยอาชีพ จนเกิดเป็นปัญหาคาใจ ที่ผู้เขียนต้องหันมาถามตนเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยผลการถามตอบวิเคราะห์ วิจัยด้วยตัวเองทั้งหมดนี้ ก็คือสิ่งที่ผู้เขียนจะ นำเสนอต่อท่านผู้อ่านต่อไป
แต่ก่อนอื่น คงต้องมาทำความเข้าใจ กันก่อนเช่นเคยว่า ข้อมูลต่อไปนี้ มิใช่ข้อห้าม หรือสิ่งที่ผู้อ่านต้องพึง ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ประการใด เพราะมันเป็นเพียงแง่คิด มุมมองของผู้เขียน ในฐานะคนที่สนใจศึกษาเรียนรู้ ในศาสตร์แห่งการพยากรณ์ เป็นเหมือนการตั้งข้อสังเกต เพื่อสะกิดให้เกิดประเด็น ข้อขบคิดร่วมกันมากกว่า ที่จะเป็นคำชี้แนะ หรือคำแนะนำอย่างเป็น ทางการแต่ประการใด
เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้แล้ว ก็ขอเชิญท่านผู้อ่าน ร่วมทัศนาคำถามคำตอบ ที่ผู้เขียนได้ประมวลรวบรวมมา จากการตอบโจทย์คำถาม ของผู้คนมากหน้าหลายตา โดยคำตอบที่ได้จะเป็นเหมือนการสะกิด ให้พวกเขาหันมองไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่เกี่ยวกับเรื่องคู่นี้ ซึ่งน่าจะเป็นข้อเท็จจริงของชีวิต มากกว่าเรื่องราวของ ความรักแบบอุดมคติ ที่หลายๆ คนเฝ้าใฝ่ฝัน
เพื่อที่จะพูดถึงเรื่องเนื้อคู่ เราคงต้องมานั่งพิจารณา ถึงความหมายของคำว่าเนื้อคู่ก่อน ทั้งที่เป็นความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ และในแง่ของความเป็นจริง เริ่มต้นกันที่ความหมายทั่วไป ที่หลายๆ คนคาดหมายไว้ ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า เนื้อคู่ที่พวกเขาแสวงหาก็คือคู่แท้ หรือคนที่ใช่ ในที่นี้ก็น่าจะหมายถึง คนที่เห็นแล้วรู้สึกดีด้วย หรือเห็นแล้วรู้สึกนึกรักปักใจในทันที จนสามารถทุ่มเทใจรัก ให้หมดจิตหมดใจเลยทีเดียว
เหล่านี้คือความหมายของเนื้อคู่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะขอถามต่อว่า แล้วระหว่างคู่ครองกับคู่ควง สิ่งไหนเป็นเนื้อคู่กันแน่ เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึก นึกรักในทันทีได้เช่นเดียวกัน คำถามนี้ก็คงไม่ยากนัก เพราะคนทั่วไปมักจะมองว่า เนื้อคู่คือคู่ครองที่ตน ต้องการจะร่วมชีวิตด้วย ถ้าเช่นนั้นเราก็จะได้ กรอบนิยามของคำว่า เนื้อคู่ที่แคบเข้า คือหมายถึง คนที่เรารู้จักพบปะ คบหากัน มีความรู้สึกที่ดี จนเกิดเป็นความรัก และลงท้ายด้วยการเข้าพิธีวิวาห์ร่วมกัน
เนื้อคู่มีความหมายแค่นี้หรือไม่ แน่นอนว่า หลายท่านอาจจะปฏิเสธว่า เนื้อคู่จะต้องมีความหมายมากกว่านั้น คือหลังจากแต่งงานกันแล้ว ก็ยังมีความรักดูดดื่ม ไม่จืดจางแปรผัน ประมาณว่า รักกันไปชั่วฟ้าสิ้นดินสลาย หรือชั่วกัลปาวสาน หากนิยามเช่นนี้แล้ว ก็คงต้องขอถามว่า ในชีวิตจริงจะมีคู่ครองหรือคู่ชีวิตใด ที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุขไปตลอดกาลเช่นนั้น
คำตอบที่เป็นกลางๆ ก็คงต้องตอบว่า น่าจะมีแต่อาจจะยาก เพราะในชีวิตจริงนั้น คู่ที่สามารถอยู่ร่วมกัน จนแก่จนเฒ่านั้นย่อมมีอยู่ แต่จะไม่ให้มีปัญหากันเลย ในระหว่างร่วมชีวิตคู่ คงเป็นไปได้ยาก หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกคนล้วนมีปัญหาส่วนตัวเป็นธรรมดา และมีโอกาสที่จะขัดแย้งกันในทีเป็นปกติ
ดังนั้น จะกล่าวได้หรือไม่ว่า เนื้อคู่ในความหมายทั่วไป เท่าที่จะเป็นไปได้ ก็คือ คนที่พบกัน รักกัน แต่งงานอยู่กินร่วมกัน แล้วก็เฝ้าประคับประคอง กันไปแม้จะมีปัญหา จนสามารถอยู่ร่วมกันถึงวัยชรา และตายจากกันไปด้วย ความรักความอาลัยต่อกัน คำถามคือนิยามนี้เพียงพอหรือไม่ สำหรับความหมายของคำว่า เนื้อคู่ที่ทุกคนต้องการ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องบอกว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งโหราศาสตร์แต่อย่างไร
เพราะวิชาโหราศาสตร์ไม่สามารถช่วย หรือรับประกันให้คู่ครองได้อยู่ร่วมกันไป จนแก่เฒ่าเหมือนในนิยาม แต่เป็นเพียงการให้เกณฑ์ ที่จะพบเจอเพศตรงข้าม ที่มีโอกาสจะเป็นคู่ครองกันได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เหมือนกับการบอกว่า ฤดูใดเหมาะแก่การทำนาปลูกพืช หรือบอกถึงช่วงเวลา ที่ดอกรักจะเบ่งบาน ในชะตาของผู้ถามเท่านั้น ส่วนทีเหลือล้วนตกเป็นหน้าที่ของคนสองคนที่มาอยู่ร่วมกัน จะสามารถประคับประคองกันไปได้ดีเพียงใด
อีกแง่มุมหนึ่ง ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งโหราศาสตร์นั้น ก็เพราะศาสตร์วิชาพยากรณ์ ที่มีการคิดค้นพัฒนา มาแต่อดีตนั้น ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐาน ของการคำนวณ หาเกณฑ์คู่ครองตามปกติ คือเป็นคู่ชีวิตแบบเพศตรงข้าม แต่ปัจจุบันนั้นการแต่งงานอยู่กิน หรือการพบรักกันอาจจะไม่ได้จำกัดอยู่ เฉพาะที่ต้องเป็นเพศตรงข้าม เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ การใช้วิชาโหราศาสตร์อ่านในกรณีนี้ จึงอาจไม่ได้คู่ครอง หรือเนื้อคู่ในความหมายของคน ที่ชอบรักร่วมเพศทั้งหลาย เพราะนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ หรือสิ่งที่พวกเขามุ่งหมาย
กรณีการดูเกณฑ์คู่ครอง ในวิชาโหราศาสตร์ทั่วไป ที่ผู้เขียนพูดถึงนั้น ก็จะเป็นเพียงเกณฑ์กว้างๆ มิใช่การชี้เฉพาะเจาะจงลงไป แม้บางวิชาจะสามารถระบุถึง รูปพรรณสันฐานของเนื้อคู่ ว่าสูงต่ำดำขาวเพียงใดก็ตาม ก็ยังต้องขอบอกว่า มันเป็นภาพรวมแบบกว้างมากกว่า เพราะคนที่มีลักษณะดังกล่าวล้วนมีอยู่มาก และโอกาสที่ผู้ถามหาเนื้อคู่จะไปประสบพบ ก็อาจเจอะเจอได้มากกว่าหนึ่ง แล้วจะใช้เกณฑ์ใดในการเลือก สุดท้ายแล้ว ผู้เขียนมักจะพบว่า ความรู้สึกจะเป็นตัวคัดกรองให้เอง
และจริงๆ แล้วมันก็คืออิทธิพลของ กรรมสัมพันธ์ในอดีตทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่า ท่านจะถามนักพยากรณ์หรือไม่ หรือจะรู้ช่วงเวลา ของเกณฑ์คู่หรือไม่ก็ตาม เมื่อกรรมสัมพันธ์ส่งผล ท่านย่อมจะได้พบเจอกันเป็นธรรมดา เพียงแต่หลังจากนั้นแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่า กรรมปัจจุบันของทั้งสองฝ่ายเป็นเช่นไร หากเกื้อหนุนส่งเสริมความรู้สึกที่ดีต่อกัน ก็อาจจะผูกพันกันต่อไป แต่ถ้าเป็นไปในทางตัดรอน ก็จะแยกจากสิ้นสุดยุติกำลัง ของกรรมสัมพันธ์ไปเพียงแค่นั้น
เมื่อพูดถึงเรื่องโหราศาสตร์ กับเกณฑ์ชีวิตคู่แล้ว ผู้เขียนก็จะขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับ การดูเกณฑ์ชีวิตคู่ในบางสาขาวิชา ของศาสตร์พยากรณ์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า โหราศาสตร์มีขอบเขตความสามารถ ที่จะช่วยเหลือท่านเกี่ยวกับ เรื่องคู่นี้ได้มากน้อยเพียงใด ตัวอย่างวิชาแรกที่จะกล่าวถึงก็คือ วิชาสัตตเลขศาสตร์ หรือที่เรียกกันว่าเลขเจ็ดตัวนั้น ก็จะเน้นดูที่ปัตตนิเป็นหลัก โดยสามารถดูได้ว่า สภาวะของชีวิตคู่จะดีร้ายเป็นประการใด
โดยการดูเลขของปัตตนิ ที่ไปตกยังตำแหน่งอื่นๆ แล้วนำมาอ่านประกอบกัน ส่วนจะดูว่าเมื่อใด จึงจะมีเกณฑ์แต่งงาน ก็คือการไล่อายุว่าเมื่อใด จึงจะไปตกตรงกับเลขของปัตตนิ ก็จะอ่านว่าเป็นช่วง เกณฑ์ที่จะมีคู่ครองได้ อีกวิธีหนึ่งที่ประยุกต์ ไปจากวิชาเลขเจ็ดตัว ก็คือการนำผังเลขเจ็ดตัว มาแปลงเป็นดาวจับคู่ แล้วนับว่าตกในช่วงอายุใด ก็จะได้เกณฑ์คร่าวๆ ว่า ในปีนั้นจะมีโอกาสได้พบคู่ครองหรือได้แต่งงานนั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ วิชามหาทักษาแบบโบราณ ซึ่งจะแบ่งการดูออกเป็นสองเพศ คือถ้าผู้ชายถาม ก็จะดูที่ภูมิศรีของเจ้าชะตา หากอายุมาตกที่เลข ซึ่งตรงกับศรีเมื่อใดก็เป็นเกณฑ์ ที่จะมีโอกาสพบคู่ ในขณะเดียวกันการ อ่านเลขประกอบภายในภูมิศรี กระทบกับตำแหน่งในภูมิอื่นๆ ก็จะบอกถึงสภาวะของชีวิตคู่ว่า ดีร้ายประการใดได้เช่นกัน ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณา ธาตุของดาวในภูมิศรีนี้ ก็ยังสามารถบอกได้ว่า คนที่จะเป็นคู่นั้นจะมี รูปพรรณสันฐานเป็นเช่นใด
ในขณะที่ผู้หญิงเป็นคนถาม จะต้องดูตัวเลขดาว ทั้งสองตำแหน่งคือ ที่ภูมิเดชและภูมิศรีประกอบกัน โดยจะดูภูมิเดชเป็นหลัก และใช้ศรีเป็นองค์ประกอบ การทำนายและการอ่านความหมาย ก็เป็นในรูปแบบเดียวกันกับเพศชาย คือ บอกได้ทั้งเกณฑ์อายุ และสภาพของชีวิตคู่ ที่ต้องประสบด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกันยัง สามารถอ่านกระทบกันระหว่าง ชะตาของคนสองคน ที่จะมาอยู่ร่วมกันได้ด้วย นับว่าเป็นหลักวิชา ที่อ่านได้อย่างกว้างขวางมาก
อีกวิชาหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือวิชาสี่ราศีแปดอักษร หรือดวงจีน ที่เรียกกันว่า โป้ยยี่สี่เถียว นั้น อันนี้ก็ลึกล้ำพิสดารไม่น้อยเช่นกัน และเป็นการอ่านแบบสมพงศ์ธาตุด้วย คือสามารถดูว่า ผู้ที่จะมาอยู่ร่วมกันนั้น มีสภาวะของธาตุ ที่เกื้อหนุนหรือขัดแย้งกัน ที่ดูได้เช่นนั้นก็เพราะว่า หลักวิชาดวงจีนประเภทนี้ สามารถแจกแจงตัวธาตุสำคัญ ของเจ้าชะตาออกมาได้ ซึ่งจะเหลือเพียงธาตุเดียว ทำให้สามารถนำธาตุสำคัญ ของคนทั้งสอง มาพิจารณาร่วมกัน
แล้ววิเคราะห์ตาม วงจรเบญจธาตุสัมพันธ์ จนสามารถบอกได้ว่า คนสองคนนี้จะไปด้วยกันได้หรือไม่ หรือจะขัดแย้งกันจนต้อง แยกทางกันไปกลางคัน ส่วนการจะดูว่า สภาพชีวิตคู่เป็นเช่นไรนั้น จะต้องนำหลักการของ สิบสภาพหกเครือญาติ มาวิเคราะห์ร่วมเข้าไปด้วย ซึ่งก็สามารถให้คำตอบ ที่ละเอียดลึกซึ้งน่าสนใจไม่น้อย
หลังจากบรรยายกันมายืดยาว ทั้งความหมายของ เนื้อคู่ที่คนทั่วไปเข้าใจ และที่น่าจะเป็นตามข้อเท็จจริงในโลก รวมไปถึงการใช้โหราศาสตร์ ตรวจดูเกณฑ์คู่ครองแล้ว ต่อไปก็จะมาลองพิจารณากัน ในเรื่องความเป็นไปได้ เกี่ยวกับคู่แท้ หรือที่ชาวตะวันตกเรียกกันว่า โซลเมท (Soulmate) ซึ่งถ้าแปลตามความหมายก็คือ วิญญาณคู่
โดยมีคำอธิบายใน คติความเชื่อของชาวตะวันตกว่า เป็นเรื่องของหนึ่งวิญญาณแต่มีสองชีวิต คือ คนสองคนซึ่งเกิดจากดวงวิญญาณ ที่แยกมาจากวิญญาณเดียว ผลที่ได้คือทำให้คนสองคนนี้ มีความสอดคล้องกลมกลืนกัน เพราะเคยเป็นเหมือนคนๆ เดียวกันมาก่อน ประมาณว่า น่าจะรู้ใจกัน เข้ากันได้ดี มีทัศนคติ รสนิยม มีสิ่งที่ชอบคล้ายๆ กัน ถ้าดูตามความหมายนี้แล้ว ก็ต้องบอกว่า แม้จะมีแต่คงยังไม่เคยเกิดขึ้นในโลก
ในทางตรงกันข้าม แม้แต่คนที่อยู่ร่วมกันมาจนแก่เฒ่า และตายจากกันด้วย ความรักความอาลัยนั้น ก็ยังไม่มีสักคู่หนึ่ง ที่จะไม่เคยประสบ ปัญหาในชีวิตคู่ ซึ่งทุกคนต้องมีไม่มากก็น้อย ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ปกติแล้วจะไม่สอดคล้อง กับหลักของธรรมชาติ ที่มักจะเป็นเรื่องของสมดุลย์ระหว่างสิ่งต่างๆ การที่คนสองคนเหมือนกันมาก จนแทบจะแยกไม่ออก
ในที่นี้หมายถึงอุปนิสัยใจคอ และทัศนคติทั้งหลาย พวกเขาย่อมยากที่จะ เติมเต็มให้กันและกันได้ เพราะล้วนมี และขาดในสิ่งเดียวกัน โอกาสเช่นนี้จึงมัก จะไม่สามารถอยู่กันยืด เพราะสิ่งที่มีก็คือ สิ่งที่แต่ละคนจำเจเบื่อหน่าย และสิ่งที่ขาดก็คือ สิ่งที่แต่ละคนแสวงหา ดังนั้นเมื่อคู่ของตนไม่มีให้ แต่กลับไปพบว่า มีคนอื่นที่สามารถเติมเต็ม สิ่งที่พวกเขาขาดได้ มันก็เลยกลายเป็นปัญหาการหย่าร้าง ที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน
โดยสรุปแล้ว จึงต้องขอบอกแบบเป็นกลางว่า จะไม่ตัดสินว่า โซลเมทหรือคู่แท้นั้น จะมีจริงในโลก แห่งความเป็นจริงนี้หรือไม่ และถ้ามีก็คงยังไม่มีใครพบ เพราะทุกคนที่แต่งงาน อยู่กินกันในโลกใบนี้ ไม่มีคู่ใดเลยที่จะไม่มีปัญหา หากอนุโลมว่า โซลเมทเป็นแค่คู่ครอง ที่ประคับประคองชีวิตคู่ ให้รอดพ้นไปจนตายจากกันนั้น
ก็ต้องบอกว่า อันนี้ไม่น่าจะใช่ความหมายของ หนึ่งวิญญาณสองชีวิตดังกล่าว เพราะยังมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้าพูดในความหมายนี้ก็ต้องบอกว่า คู่แท้ย่อมไม่มีในโลกนี้ ส่วนจะมีในโลกไหนนั้น ผู้เขียนจะไม่ขอพูดถึงในที่นี้ เพราะมันจะทำให้บทความนี้ ออกนอกประเด็นไปไกล เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้
กล่าวกันว่า ถนนชีวิตของแต่ละคนนั้น กว้างแค่เดินได้เพียงลำพังคนเดียวเท่านั้น คือคนที่เป็นเจ้าของ ถนนชีวิตเส้นดังกล่าว และกรณีที่ได้ประสบพบกัน ก็เป็นเพียงการที่ถนนสองสาย หรือหลายสายได้เวียน มาคู่ขนานกันไป ซึ่งเป็นเพียงระยะเวลาอันกระชั้นสั้น มิได้ยาวนานนัก ส่วนว่าจะขนานกันไป เนิ่นนานแค่ไหนภายใน ช่วงเวลาอันจำกัดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึก และการตัดสินใจของ เจ้าของถนนแต่ละสาย ว่าพวกเขายังอยากที่จะเดิน คู่ขนานกันไปเช่นนั้นหรือไม่ หรือประสงค์ที่จะแยกย้ายกันไปก็ตามที
ด้วยเหตุนี้ คนที่แต่งงานอยู่กินร่วมกัน หรือคบหาเป็นแฟนกัน จึงพึงทำความเข้าใจความข้อนี้ให้กระจ่าง เพราะมันจะทำให้ท่านรับรู้ว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีถนนสายใดกว้างพอ สำหรับคนมากกว่า หนึ่งคนขึ้นไป ท่านเดินบนทางของท่าน คนอื่นก็ย่อมต้องเดินบนหนทางของเขา และสุดท้ายแล้วมัน ก็แยกย้ายจากกันไป ไม่จากเป็น ก็จากตาย มีเพียงแค่นั้น
ดังนั้นความพยายาม ที่จะโหยหาความคู่ขนานชั่วนิรันดร์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครมาเดินบนหนทางของใครได้ ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างไป นี่คือความจริง แม้มันจะเจ็บปวด สำหรับใครบางคนก็ตาม แต่มันก็ยังคงเป็นความจริง ที่ไม่มีผู้ใดควบคุมบังคับ หรือเปลี่ยนแปลงได้
ความพยายามที่จะบีบบังคับ ให้คนอื่นร่วมเดินคู่ขนาน ไปกับตนเองนั้น จึงถือเป็นความทุกข์ของความรัก ดังที่โบราณท่านว่าไว้ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เพราะรักที่ต้องการ ครอบครองเป็นเจ้าของ ย่อมมีแต่ความทุกข์สถานเดียว เหตุผลก็เพราะว่า มันไม่มีทางที่กว้าง พอสำหรับคนสองคน ที่จะเดินเคียงคู่กันไปตลอดกาล ดังนั้นความพยายามทั้งหลายที่จะยึดครอง โหยหา อาลัยอาวรณ์ จึงเป็นเพียงความพยายามที่สูญเปล่า
คนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มัก จะมาปรึกษาหารือกับนักพยากรณ์ และก็มีผู้ที่ตั้งตัวเป็นโหราจารย์จำนวนมาก พยายามที่จะช่วยเหลือเขาเหล่านั้น โดยที่ไม่มีแง่มุม หรือขอบเขตความรู้ใด ในวิชาโหราศาสตร์ ที่จะอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้จริง ที่ผู้เขียนบรรยายมานี้ มิได้มีจุดประสงค์จะตำหนิต่อว่าผู้ใดทั้งสิ้น เพียงต้องการชี้ให้เห็นถึง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง หากแต่ละท่านจะสงบใจ และพิจารณาตามด้วยใจที่เปิดกว้างเป็นกลาง
ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทางชีวิตของแต่ละคนนั้น เดินได้เพียงคนเดียว และสุดท้ายย่อมต้อง แยกย้ายจากกันไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่ว่าจะจากกัน ด้วยความรู้สึกที่ยังดีอยู่ หรือจากกันด้วย ความเกลียดชังก็ตาม สุดท้ายก็ยังต้องแยกจากกันอยู่ดี หลายๆ คนที่เป็นชาวพุทธ และเรียนรู้ในเรื่องของกรรมมาไม่น้อย จึงพยายามใช้กรรมสัมพันธ์เป็นเครื่องประสาน โดยการพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่าย ไปบำเพ็ญการบุญการกุศล เพื่อที่จะใช้บุญนั้น มาอธิษฐานร่วมกันให้ได้วนเวียนมา เจอะเจอและรักกันดุจเดิม
ถ้าถามว่าทำได้หรือไม่ ก็ต้องบอกทำได้ แต่จะได้ผลสมดังเจตนาที่มุ่งหวังนั้นหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ต้องขึ้นกับเจตนาที่คิดอยู่ในมโนสำนึกของแต่ละคนเป็นหลัก หากมีเจตนาที่มุ่งมั่นแน่วแน่ไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่คำอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผล ก็มีความเป็นไปได้ แต่จะมากน้อยเพียงใด ก็คงต้องขึ้นกับกำลังของเจตนา ที่ไปในทิศทางเดียวกันนั้น
ถึงกระนั้นแม้จะสำเร็จตามนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีผลลัพธ์สุดท้ายออกมา ในทางที่ดีเพียงสถานเดียวก็หาไม่ แต่ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ (ใครที่สนใจลองไปอ่านในบทความชุด กลไกกลกรรม ตอน คู่กรรมอธิษฐาน เพราะผู้เขียนได้อธิบายความไว้อย่างละเอียดแล้ว)
เนื่องจากประเด็นในหัวข้อนี้ เป็นเรื่องของการแยกจาก และผู้เขียนตั้งใจจะอธิบาย ความในประเด็นนี้เป็นหลัก เพราะเป็นสิ่งที่มี โอกาสเป็นไปได้มากกว่า กรณีที่กล่าวมาข้างต้น เพราะเหตุใดที่โอกาส จะเป็นตามนั้นมีน้อย เหตุผลก็คือ การมีความคิดที่แตกต่างกันเป็นปกติ ในใจของมนุษย์ทุกคน
โอกาสที่จะคิดเหมือนกันไป ในทิศทางเดียวกันนั้น เป็นไปได้ค่อนข้างยาก ไม่ใช่ไม่มี และแม้จะมีก็ยากที่จะรักษากำลังใจ ให้มั่นคงเพียงพอที่จะส่งผลได้ สาเหตุก็เพราะใจคนธรรมดา มีสภาพที่ซัดส่ายโอนเอนอ่อนไหวเป็นปกติ แนวโน้มที่จะถูกชักนำให้คิดแตกต่าง ออกไปจึงเป็นไปได้ง่ายกว่า เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าที่ต่างกันไป
ยกตัวอย่าง คู่ชายหญิงสองคนที่เป็นแฟนกัน ก็ยังยากที่จะรู้สึกเหมือนกันในทุกเรื่อง บางทีผู้หญิงจะมีความรู้สึกมากกว่า กล่าวกันว่า ผู้หญิงรักยากแต่รักแล้วก็จะเลิกยาก ส่วนผู้ชายนั้นรักง่าย แล้วก็เปลี่ยนได้ง่ายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สมมติว่า ฝ่ายหญิงรักชายผู้เป็นแฟนมาก แล้วชวนกันไปทำบุญอธิษฐาน ร่วมกันต่อหน้าพระประธาน ในอุโบสถของวัดเดียวกัน และทั้งๆ ที่นั่งเคียงคู่กันอยู่แท้ๆ บางทีผู้หญิงอาจจะอธิษฐาน ให้ได้รักกันอยู่ด้วยกันตลอดไป
แต่ฝ่ายชายอาจอธิษฐานขอเรื่องอื่นแทน แม้แต่จะให้ว่าคำอธิษฐานตามกัน ก็จะบังคับได้แต่เพียงวาจาของอีกฝ่าย ไม่สามารถควบคุมความคิดของผู้ใดได้เลย ดังนั้นโอกาสที่จะใช้อำนาจแห่งกรรมสัมพันธ์ มาเป็นเครื่องเกาะยึดให้คนสองคน อยู่ร่วมกันด้วยตามความปรารถนา ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงเป็นเรื่อง ที่กระทำได้ยากหรือแทบจะเป็นไปได้
ในเรื่องนี้ทางโหราศาสตร์ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก อย่างมากก็แค่ให้เกณฑ์กว้างๆ ว่า คนที่คุณคบด้วยหรือจะอยู่ร่วมด้วยนั้น น่าจะไปกันได้หรือไม่ แต่ต้องไม่ลืมว่า หลักวิชาทั้งหมดที่ใช้ดูเกณฑ์คู่ หรือสภาพคู่ครองดีร้ายนั้น ล้วนเป็นโหราศาสตร์แบบสถิต ที่ต้องขึ้นผังดวงจากวันเดือนปีและเวลาเกิด ดังนั้นจึงไม่สามารถ บอกถึงสภาวะเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมหลังจาก กำเนิดเกิดมาแล้วได้
ดังนั้นข้อมูลที่ได้จาก โหราศาสตร์สถิตในส่วนนี้ จึงต้องถือเป็นข้อมูลภาพรวม ที่กว้างเกินกว่าจะมีนัยสำคัญได้ ส่วนกรณีของการถาม ในด้านของโหราศาสตร์พลวัต อาทิเช่น ไพ่ยิบซี หรือการเสี่ยงทายต่างๆ ก็ล้วนเป็นเพียงสภาวะ ในช่วงเวลาที่ตั้งคำถามเท่านั้น ไม่ใช่ตลอดไป และเมื่อถามแล้วก็เท่ากับ การไปเปลี่ยนเหตุปัจจัยใหม่ ซึ่งย่อมนำไปสู่อนาคตเส้นทางใหม่ ทำให้เมื่อถามอีกครั้งโอกาส ที่จะได้คำตอบต่างไปจากเดิมจึงมีมาก
สรุปความแล้ว โหราศาสตร์ไม่สามารถ หยุดยั้งการแยกจากได้ เพราะนี่คือวิถีปกติของธรรมชาติ ที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ แม้สังคมในยุคนี้จะดูเหมือนว่า ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการอยู่ร่วม หรือแยกจากน้อยลงกว่า สมัยโบราณมาก ซึ่งก็น่าจะทำให้ความทุกข์ ของคนในเรื่องนี้ลดน้อยลง การพึ่งพาโหราศาสตร์ จึงล้วนมีแนวโน้มเปลี่ยนไป เมื่อสังคมเข้าสู่สภาวะแห่งพลวัต
การใช้ศาสตร์แห่ง การพยากรณ์ที่เปลี่ยนแปลง ได้เท่าทันสถานการณ์ อย่างโหราศาสตร์พลวัต ก็ย่อมจะมีบทบาทมากขึ้น เป็นธรรมดา โดยในทัศนส่วนตัวของผู้เขียน มองว่านี่เป็นแนวโน้มที่ดี เพราะคนเริ่มที่จะปรับตัวเข้า กระแสการเลื่อนไหลของโลกาภิวัตน์ ที่ทำให้กระแสสังคมเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยี คนจะผ่านวัน และคืนไปได้อย่างรวดเร็ว และรู้สึกถึงการแยกจาก กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปในที่สุด
(สนทนาชะตากรรม ep.2 คู่แท้หรือคู่เทียม)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา