4 ส.ค. 2023 เวลา 13:24 • ท่องเที่ยว
Tumpak Sewu Waterfall

ทุมปักเซวู น้ำตกพันสาย ยิ่งใหญ่อลังการ

น้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในอินโด แต่ทัวร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยไปกัน เพราะมันหฤโหดมาก
เครื่องออกจากดอนเมืองตี 1 ถึงสนามบินจาร์กาตา 6 โมงเช้า ต่อเครื่องมาสุราบายาอีก ออกจากสนามบิน 11 โมงกว่า เนื่องจากกระเป๋ามาช้า นั่งรถต่อไปน้ำตกทุมปักเซวูอีก 4 ชั่วโมง เริ่มออกตัวมาก็ช้าไป 1 ชั่วโมงแล้ว คนขับรถชาวอินโดผู้ใจดีของเรา คุณจานะ บอกว่าเดี๋ยวจะไปทางลัดแล้วกัน ไม่งั้นน่าจะไม่ทันไปน้ำตก เพราะน้ำตกจะปิด 4 โมงเย็น แน่นอนว่าอะไรก็ได้ขอให้ไปทัน ซึ่งทางลัดของนางคือเส้นถนนขาด รถยนต์เข้าไม่ได้จ้า!!!
ลงจากรถแล้วกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างของชาวบ้านที่จอดรออยู่ ค่ามอเตอร์ไซค์ไปกลับอยู่ที่ 40,000 IDR เตรียมน้ำเปล่า รองเท้าลุยน้ำ ชุดพร้อมเปียก ถุงมือออกกำลังกาย ที่เหลือไม่ต้องเอาไรไป ทำตัวให้เบาที่สุด ค่ามอเตอร์ไซค์ 4 หมื่น IDR แอบตกใจว่ามาถึงก็โดนโขกซะแล้ว แต่พอนั่งไปจริงๆบอกเลยว่ามันถูกมาก!!! มอเตอร์ไซค์พาลัดเลาะเข้าไปในหมู่บ้าน ที่ทางตรงนั้นอย่าเรียกว่าถนนเลย เรียกว่าร่องดีกว่า เป็นร่องที่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านได้ทีละคัน พอถึงคันสุดท้ายเค้าจะเอาผ้าสีเหลืองมาผูกไว้ที่มอเตอร์ไซค์
ทางที่ไปลาดชันมาก มีรากไม้ปูดขึ้นมาเป็นระยะ นี่มันคือขี่จักรยานทางวิบากชัดๆ ใครไม่ถนัดนั่งมอเตอร์ไซค์ขอให้กอดพี่คนขับไว้ เพราะไม่งั้นอาจจะตกมอเตอร์ไซต์อย่างไม่รู้ตัว พอหลุดจากหมู่บ้านมาเจอลำห้วยที่มีสะพานไม้เล็กๆสร้างขึ้นมาเพื่อให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านได้ ผ่านสะพานมาขับขึ้นไปเพื่อให้ถึงถนนใหญ่ พี่มอเตอร์ไซค์ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน แล้วรวบรวมกำลังบิดสุดตัว พุ่งขึ้นไปให้ถึง ลุ้นมากว่าชั้นจะถึงจุดหมายหรือตายอยู่กลางทาง สุดท้ายขึ้นมาถนนใหญ่ได้ก็ขี่ไปอีกไกลมาก เพื่อไปถึงทางเข้าน้ำตก
ไกด์ท้องถิ่นหนุ่มน้อย 2 คน ยืนยิ้มกว้างรออยู่ พร้อมแนะนำตัวว่าชื่ออลันกับดีดี้ ทั้งคู่อายุ 21 ปี เพิ่งฝึกพูดภาษาอังกฤษแล้วมารับงานไกด์ที่นี่ ชุดไกด์ของเราคือเสื้อยืด กางเกงขาสั้น สะพายซองพลาสติกกันน้ำสำหรับใส่มือถือ พร้อมรองเท้าแตะหูคีบ คนนึงเดินหน้า อีกคนเดินปิดท้าย จากประตูที่เจอไกด์เดินลงทางลาดที่ชันมาก และยาวมาก ขาลงสบายหน่อย แค่เบรคให้อยู่และอย่ากลิ้งลงไปก็พอ แต่แอบคิดในใจว่าขาขึ้นชั้นทำไงวะเนี่ยะ จากทางลาดที่ยาวมาก ต่อด้วยบันไดหินที่เตี้ยบ้างสูงบ้าง
เดินเลาะไปตามน้ำตก นำหน้าด้วยน้องไกด์สายชิล
ศาลาพักข้างทางอัดแน่นไปด้วยฝรั่งที่หน้าแดงจากความเห็ดเหนื่อย บันไดเดินลงไปเรื่อยๆจนเริ่มท้อ และแล้วเราก็มาเจอน้ำตก น้ำใสไหลเย็น ยืนถ่ายรูปกันใหญ่ จนน้องไกด์บอกว่าอันนี้แค้น้ำจิ้ม เรายังต้องเดินอีกไกล รีบไปกันเถอะ เพราะเราต้องกลับออกมาให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อกี้เดินลงแล้ว ตอนนี้เดินขึ้น ปีนป่านหินตามน้ำตก ดีที่เค้าปักเสาโยงเชือกให้เกาะตลอดทาง ไม่งั้นอาจจะลื่นตกเขาตายได้ ยิ่งเดินยิ่งลึกเข้าไปกลางป่า เริ่มเห็นลำห้วยทอดยาวมา เราเดินเรียบลำห้วยเข้าไปเรื่อยๆ น้ำในลำห้วยเริ่มเยอะเริ่มแรงขึ้น
น้องไกด์บอกว่าอันนี้แค่น้ำจิ้ม
หินและดินแถวนี้มีเกล็ดสีเหลืองทองแทรกอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ที่แน่ๆไม่ใช่ทองคำแน่นอน ตลอดทางมีจุดถ่ายรูปกับน้ำตกเป็นระยะๆ ถือเป็นการพักขาไปในตัว เดินมาจนถึงตอนนี้เรียกได้ว่าเปียกไปครึ่งตัวแล้ว แม้ว่าน้ำตกที่ผ่านๆมาจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่น้ำแรงละอองน้ำกระจายไปทั่ว และแล้วเราก็เดินมาถึงลำห้วยแรกที่เราต้องเดินข้าม ที่เรียกว่าลำห้วยเพราะจุดลึกสุดน่าจะยังไม่ถึงเมตร แต่ลำห้วยกว้างมากและน้ำก็เชี่ยวมาก ถึงขนาดมีการปักเชือกให้จับตลอดทางข้ามห้วย
วินาทีแรกที่ก้าวลงห้วยคือ น้ำเย็นมากแม่!!!
เลือกเสื้อสีเดียวกับเชือก ถ่ายรูปมาจะได้เข้ากัน
ตลอดทางที่ต้องสาวเชือกไป คิดในใจว่าโชคดีมากที่ใส่ถึงมือมา ทั้งเชือก ทั้งโขดหิน ทั้งกิ่งไม้ที่ต้องปีนป่ายกว่าจะมาถึงจุดนี้ ข้ามมา 2 ลำห้วย เดินลึกเข้าไปกลางหุบเขา ไม่อยากเรียกว่าป่าเพราะสองข้างทางมีแต่โขดหิน จนพอโค้งผ่านหน้าผาหินมาได้ เราก็ได้เจอกับอภิมหาแม่น้ำตก ทุมปักเซวู น้ำตกนับพัน ตามความหมายของภาษาถิ่น มันใหญ่มาก สูงมาก และแรงมาก จุดถ่ายรูปคือต้องปีนหินที่เปียกละอองน้ำตกขึ้นไป มาถึงจุดนี้มันต้องปีนไปให้ได้ ส่วนน้องไกด์วิ่งไปตั้งกล้องรอถ่ายรูปแล้ว
รูปไม่สวยเท่าของจริง กล้องมือถือก็ได้ประมาณนี้แหละ
ถ่ายรูปอยู่ได้ไม่นานเราก็รีบกลับ มันคือเดินกลับทางเดิมที่มานั่นแหละ ลำบากยังไงก็ยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมมือ ตอนขามาเดินลง พอขากลับต้องเดินขึ้น หน้าขานี้คือแทบจะกรีดร้อง ใครจะมาที่นี่ ขอแนะนำให้ไปฟิตร่างกายมาก่อน โดยเฉพาะหน้าขา ไม่งั้นนี่แทบจะร้องขอชีวิต นอกจากจะเดินด้วยความระมัดระวังแล้ว ก็ยังต้องรีบเดินแข่งกับเวลา เพราะถ้าพระอาทิตย์ตกแล้วยังออกมาไม่ได้จะเป็นเรื่องใหญ่
จับราวแล้วสาวขึ้นไปค่ะ เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้เมื่อกล้องยิงมา
กลับออกมาได้ทัน พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน น้องไกด์เลยบอกว่าเดินไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวมั้ย "โอววว นี่มันยังมีจุดชมวิวอีกหรอเนี่ยะ" พอเดินไปเห็นทางไปจุดชมวิวแล้วขาเปลี้ยเลยทันที เป็นทางถนนลาดลงที่ชันมาก จนเพื่อนๆบอกว่าให้หันหลังจับราวไว้แล้วเดินลง เหมือนเดินถอยหลังลง เข่าจะได้ไม่รับแรงกระแทก เดินลงไปไกลมากจนถึงจุดชมวิว มันคือจุดที่มองเห็นน้ำตกมุมปักเซวูแบบมุมสูง มองลงไปก็เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้ เพราะมันลงไปลึกมาก แล้วก็ปีนกลับขึ้นมาอีก ถ่ายรูปเสร็จก็เดินกลับขึ้นมาทางเดิม
และแล้วเราก็ผ่านมันมาได้
ฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มหนาวขึ้น ทางก็ชัน เดินก็ไม่ไหว หน้าขาหมดแรง ก็ได้แต่จับราวแล้วหันหลังเดินเหมือนเดิม แต่หันหลังแล้วมันเดินได้ช้า สุดท้ายก็ต้องทนกัดฟันเดินขึ้นไปจนถึง น้องไกด์ก็เรียกรถมอเตอร์ไซค์มารับกลับทางวิบากแบบเดิม เพิ่มเติมคือมืดแล้ว มอเตอร์ไซค์ขี่มาส่งที่เดิม ตอนนั้นคือเวลาเกือบทุ่มนึงแล้ว พอขึ้นรถได้ ก็รีบบอกคุณจานะผู้ดูแลเราว่าหาร้านกินข้าวเถอะ ซึ่งนางบอกว่าต้องออกจากตรงนี้ไปซักพักก่อน ขับออกไปได้ซักชั่วโมง นางก็จอดรถร้านข้าวไก่ทอดข้างทาง ตอนนั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้ว...
รอดมาได้ ถ่ายรูปกับไกด์ อลันกับดีดี้
พลังงานหมด ตัวก็เย็น ลมก็แรง เมนูมีไม่เยอะแค่เลือกว่าจะกินอะไรทอด มีไก่ทอด เป็ดทอด ปลาทอด เทมเป้ทอด(ถั่วหมัก) เต้าหู้ทอด สั่งข้าวไก่ทอดมาคนละจาน พร้อมเป็ด,ปลา,เทมเป้ทอด เป็นจานกลาง อาหารอินโดเค้าจะมีน้ำพริกซัมบอล วางไว้ให้ที่โต๊ะ เหมือนเมืองไทยมีพริกน้ำปลา นี่คืออาหารมื้อแรกของทริป ดีแต่ตอนเปลี่ยนเครื่องกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อที่สนามบินมาแล้วซึ่งตอนนั้นคือเวลา 7 โมง แล้วได้กินอีกทีตอนสองทุ่ม รีบกินรีบไป ขึ้นรถตอนเกือบ 3 ทุ่ม ก็หลับเลยจ้า เหนื่อยมาก
ข้าวไก่ทอดและของทอดจานกลาง
นั่งรถไปก็รู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกต้องปรับความดันหูเป็นระยะๆ แล้วก็รู้สึกคอเดี๋ยวก็พับไปซ้าย เดี๋ยวก็เหวี่ยงไปขวา คือคุณจานะขับรถชึ้นเขาจ้า ที่พักคืนแรกของเราอยู่บนเขา หนาวมาก คือตอนเตรียมเสื้อผ้ารู้ว่าที่ยอดเขาจะหนาวประมาณ 5 องศา แต่เราไม่คิดว่าที่พักเราจะหนาวขนาดนี้ มาถึงที่พักประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง เป็นบ้านแบบ home stay 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ กว่าจะขนของเข้าบ้าน เช็คความเรียบร้อยว่ามีน้ำอุ่นให้อาบ ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน วันพรุ่งนี้ตื่นตี 2 นะจ๊ะ เจอกันในโพสต์ถัดไป
สภาพบ้านและบรรยากาศรอบข้าง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา