11 ส.ค. 2023 เวลา 03:00 • ท่องเที่ยว
ลอนดอน

Around London 3 วัน 2 คืน เที่ยว กินร้านเด็ด ดู 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่าผมกับแฟนไปเที่ยว UK กันในวันที่ 5-17 เมษายน 2023 แพลนคร่าวๆคือ
5/4 = London
6/4 = Llandudno
7/4 = Chester
8-9/4 = Liverpool
10/4 = Manchester & York
11-12/4 = Edinburgh
13/4 = Highlands
14-16/4 = London
17/4 = สิงคโปร์ (รอต่อเครื่องกลับไทย)
ผมได้เขียนโพสต์การท่องเที่ยวในเมืองต่างๆไปแล้วก่อนหน้านี้ และวันนี้จะมาเล่าถึง London 3 วัน 2 คืนสุดท้าย ก่อนกลับไทย ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลย ^^
ขอย้อนกลับไปอีกสัดนิด ในวันแรกที่มาถึง UK เรานั่งเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปสนามบิน Changi ประเทศสิงคโปร์ และต่อเครื่องไปยังจุดหมายสนามบิน Heathrow โดยเรามาถึงช่วงเย็น จากนั้นไปเช็คอิน เก็บของที่ Anson Hotel ย่าน Tufnell Park ใน London พอทุกอย่างเรียบร้อยก็ดึกแล้ว เราจึงออกไปกินข้าวที่ร้าน Le Relais de Venise และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเล่า
ย่าน Tufnell Park
Le Relais de Venise เป็นร้านอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี 1959 มีเมนูของคาวเพียงเมนูเดียวเท่านั้นนั่นคือ "สเต็กเนื้อกับเฟรนช์ฟรายส์" โดยเนื้อสามารถเลือกระดับความสุกได้ และถูกราดมาพร้อมกับซอสสูตรพิเศษ จะมีออเดิร์ฟให้ก่อนเป็น สลัดท็อปด้วยวอลนัทใส่น้ำสลัดมัสตาร์ด และขนมปังอบ
เราไปถึงร้านประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง แถมฝนตกด้วย ตอนแรกคิดว่าคนน่าจะไม่เยอะ แต่เปล่าเลย คนต่อแถวยาวมากสมคำร่ำลือ กว่าจะได้โต๊ะเกือบ 3 ทุ่มครึ่ง
กางร่มรอ สุดจริง
สำหรับรสชาติ ปกติแล้วผมไม่กินเนื้อ จึงไม่สามารถคอมเมนต์ได้ แต่สิ่งที่ชอบมากเป็นการส่วนตัวคือ ความคลาสสิกของทางร้านที่ยังคงรักษาไว้ เมนูคาวอย่างเดียวไม่มีเพิ่ม การตกแต่งแบบดั้งเดิม เด็กเสิร์ฟใส่ชุดย้อนยุค และยังจดเมนูที่ลูกค้าสั่งลงบนโต๊ะอาหาร เห็นแบบนี้แล้วอยากลองไปกินร้านออริจินัลที่ฝรั่งเศสเลย อีกสิ่งหนึ่งที่สงสัยคือ พนักงานคอยเติมอาหารให้ตลอด ไม่รู้ว่าเพราะดึกแล้วร้านใกล้ปิด หรือเป็นบุฟเฟต์ เราก็ได้เพิ่มมาแบบงงๆ จนสุดท้ายกินไม่หมด
คลาสสิก
เอาหล่ะ ได้เวลาเล่าถึง London 3 วัน 2 คืนสุดท้ายจริงๆสักที แพลนคร่าวๆของเราคือ
14/4 = London & Greenwich
15/4 = Salisbury & Bath
16/4 = Notting Hill & London
หลังจากจบทริปที่ Highlands ในช่วงเย็น เรานั่งรถไฟแบบข้ามคืนกลับมาถึง London ตอนเช้า ด้วยความอยากอาบน้ำมาก จึงทักไปหาเจ้าของที่พักที่จองผ่าน Airbnb อยู่ย่าน Lower Sydenham ขอเช็คอินก่อนเวลา โดยเจ้าของชื่อ Clive ใจดีมาก ให้เราเข้าที่พัก และยังอาสาไปรับถึงสถานีรถไฟอีกด้วย จากที่คุยกันเค้าทำงานตอนกลางคืน และกำลังจะกลับไปนอนพอดี บ้านพักมี 2 ห้องนอน เป็นห้องของเค้า และห้องที่เราจองไว้
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เรานั่งรถไฟไปหาของกินที่ Borough Market ตอนนั้นเกือบเที่ยงแล้ว หิวมาก เพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ตลาดแห่งนี้ของกินเยอะ และหลากหลาย เราไปสะดุดตากับร้านข้าวผัดสีเหลืองๆ มีซีฟู๊ดด้วย ไม่มั่นใจว่าคือข้าวผัดสเปนรึเปล่า แต่คิวยาว รสชาติอร่อยสุด ได้กินของร้อนๆ ตอนอากาศหนาว คือฟิน
กลิ่นนี่หอมฟุ้ง
ไปกินกันต่อที่ร้าน หอยนางรม มันมีอยู่หลายร้านจนเลือกไม่ถูก และตัวใหญ่ทั้งนั้น จนต้องขอลองสักหน่อย ขอบอกว่ามันสดมาก จังหวะนั้นอยากได้น้ำจิ้มซีฟู๊ดจริงๆ
จากนั้นเราไปกินข้าวหมูอบญี่ปุ่นกันอีกชามนึง อร่อยตามคาด หายคิดถึงข้าวสวย หลังจากไม่ได้กินมาหลายมื้อ ใกล้ๆกัน มีขนมครกบ้านเราขายอยู่ด้วย คนต่อแถวซื้อเยอะเลย
ก่อนออกจากตลาด ปิดท้ายด้วย ไอติมนมแพะ ครั้งแรกในชีวิต รสชาติอร่อยดี แต่มันจะมีความคาวหน่อยๆ
ดีทุกอย่าง
พอเติมเสบียงเต็มท้องแล้ว เรานั่งรถไฟไปที่เมือง Greenwich เรามาที่นี่ เพราะตอนเด็กเคยเรียนเรื่อง GMT และเส้นเมริเดียน จึงอยากเห็นว่าของจริงมันเป็นยังไง
จากสถานีรถไฟเดินผ่านสวนไปหอดูดาว
GMT (Greenwich Mean Time) หรือเวลามาตรฐานกรีนิช คือเวลาตามนาฬิกา Shepherd Gate ที่หน้าประตูทางเข้าหอดูดาวของเมือง โดยในปี 1884 มีการประชุม และสรุปให้เส้นเมริเดียนที่ Greenwich เป็นเส้นเมริเดียนปฐมของโลก พูดง่ายๆคือทั่วโลกยึด GMT เป็นมาตรฐาน ในการดูเวลาที่แตกต่างกันของแต่ละโซน
จุดเริ่มต้นของเวลา
เราเดินเล่นบริเวณรอบหอดูดาว มีร้านขายของที่ระลึก และพิพิธภัณฑ์ สามารถซื้อตั๋วเข้าไปเยี่ยมชมได้
หอดูดาวจากระยะไกล
จากนั้นเรานั่งรถไฟกลับไป London เพื่อเยี่ยมชม The British Museum ตามเวลาที่จองไว้ พอไปถึงคนเยอะมาก ล้นออกมาถึงข้างนอกเลย อาจเป็นเพราะมันเข้าฟรีด้วย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็ได้เข้าไป ถึงจะวุ่นวายนิดหน่อย
ข้างในพิพิธภัณฑ์ใหญ่มาก มีหลากหลายโซนให้เลือกชม ใครเป็นสายนี้ น่าจะอยู่ได้หลายชั่วโมง
อาร์ต
หลังจากดูจนพอใจแล้ว เราออกมาแวะกินเบเกอรี่ที่ Cédric Grolet at The Berkeley เป็นร้านของเชฟของหวานชาวฝรั่งเศสชื่อดัง Cédric Grolet ภายในหรูหรา เชฟทำขนมให้เห็นกันสดๆเลยบริเวณด้านหน้า เราสั่ง ครัวซ็อง มาลองกิน ถึงราคาจะค่อนข้างแรง แต่มันนุ่ม และอร่อยมาก
แค่เห็นก็เชื่อว่าดี
จากหน้าร้าน ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเป็นสวนสาธารณะชื่อดัง ใครมาเที่ยว London ก็ต้องมา นั่นคือ Hyde Park ที่นี่มีพื้นที่กว้างขวาง บรรยากาศดีมาก เราเดินเล่นสูดอากาศจนตกเย็น สดชื่นสุดๆ
ชิวๆ
ใครเห็นน้องบ้าง
สำหรับมื้อเย็นเรานั่งรถไฟไป Queensway เพื่อกินอาหารจีนที่ร้าน Gold Mine เมนูดังของเค้าคือเป็ดย่าง ลูกค้าในร้าน 90% เป็นคนเอเชีย เราสั่งเป็ดย่างหมูแดงหมูกรอบจานใหญ่ และหมูผัดซอสน้ำผึ้ง มากินกับข้าวสวย ถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่บอกเลยว่าโคตรทรงพลัง อร่อยมาก คิดถึงแล้วต้องกลืนน้ำลาย พอกินเสร็จ เราเดินย่อยนิดหน่อย ก่อนกลับที่พัก
ฉ่ำ
เช้าวันที่ 2 เรานั่งรถไฟจาก London ไปที่เมือง Salisbury เพื่อไปดู Stonehenge 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง กับทัวร์ที่จองไว้ โดยรถทัวร์จะมารับเราที่หน้าสถานีรถไฟ Salisbury เมื่อขึ้นรถมา ทุกคนจะได้รับอุปกรณ์เพื่อฟังประวัติของสถานที่ต่างๆระหว่างทาง เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง Stonehenge เราสามารถอยู่ที่นี่ได้จนถึงช่วงเย็น แต่ถ้าใครอยากกลับก่อน ทุกชั่วโมงจะมีรถมารับกลับไปที่เมือง
เราเดินไปที่อาคารรองรับนักท่องเที่ยว (คนเยอะมาก ขนาดเรามาเช้า น่าจะเยอะตลอดทั้งวัน) มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งห้องน้ำ คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และรถรับส่งฟรี ไปกลับระหว่างที่นี่ กับ Stonehenge จริงๆแล้วสามารถเดินไปได้ แต่ไกลพอสมควร แนะนำให้นั่งรถดีกว่า
Stonehenge คือแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง อยู่กลางทุ่ง Salisbury Plain นักโบราณคดีเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นช่วง 2,000 - 3,000 ปีก่อนคริสตกาล สิ่งที่น่าแปลกคือ คนสมัยก่อนสามารถนำหินน้ำหนักกว่า 30 ตันมาวางเรียงกันได้อย่างไร โดยไม่มีเครื่องมือช่วยเหมือนในปัจจุบัน และบริเวณทุ่งราบนั้นไม่มีหินแบบนี้อยู่ แสดงว่าต้องนำมาจากที่อื่น คาดว่าอยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร บางคนถึงกับบอกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ส่วนสาเหตุที่นำมาตั้งไว้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้
แฟนผมบอกว่า รูปพักหน้าจอคอมตอนเด็ก
จากที่เห็นของจริง หินเนียนสวย และใหญ่มาก ตั้งเรียงกันเหมือนโดมิโน่เลย เหลือเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนสมัยโบราณ เราเดินวนถ่ายรูปอยู่ 1 รอบ ต้องหามุมดีๆ เพราะคนเยอะ
มีน้องแกะอยู่ด้วยเต็มเลย
จากนั้นเราแวะกินขนมปัง และกาแฟที่คาเฟ่ ก่อนจะนั่งรถกลับมายังสถานนีรถไฟ Salisbury
ช่วงบ่ายเรานั่งรถไฟต่อไปที่เมือง Bath เพื่อเยี่ยมชมสถานที่อันโด่งดัง Roman Bath (โรงอาบน้ำโรมัน) ที่นี่มีน้ำพุร้อนมาจากธรรมชาติ และคนโรมันใช้อาบกันจริงในสมัยอดีต เปรียบเหมือนสปาในปัจจุบัน ทำให้เป็นที่มาของชื่อเมือง
เราซื้อตั๋วเข้าชมมาก่อนล่วงหน้า เมื่อไปถึงจะได้รับอุปกรณ์สำหรับฟังข้อมูลด้วย จุดไฮไลท์คือ บ่อน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ อยู่กลางอาคาร 2 ชั้น มีรูปปั้นคนโดยรอบ รู้สึกเหมือนอยู่ในอาณาจักรอะไรสักอย่าง ถึงดูเก่า แต่สวยมาก
อลังการ
จากมุมนี้เห็น Bath Abbey (มหาวิหารบาธ) ด้วย
นอกจากตัวโรงอาบน้ำแล้ว ข้างในยังมีอย่างอื่นให้ดู ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้ดินที่มีน้ำพุร้อนออกมา สื่อให้ความรู้ต่างๆ การสร้างโรงอาบน้ำ และวิถีชีวิตของคนโรมัน สุดท้ายอีกหนึ่งไฮไลท์คือการชิมน้ำธรรมชาติ เราก็ไม่พลาดที่จะลอง รสชาติมันจะแปลกๆหน่อย
ร้อนควันขึ้น
ต่อมา เราไปกินอาหารเย็นที่ Sally Lunn's เป็นร้านขนมปังชื่อดัง และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง Bath
สีบ้านเมืองเหลืองๆ คุมโทนมาก สวย
เมนูที่สั่งมาคือ ขนมปังท็อปแซลม่อน, ขนมปังเนย และขนมปังท็อปไก่กับแฮม รสชาติอร่อย ที่สำคัญคือขนมปังดี มันนุ่มมาก พอกินอิ่มแล้ว เราไปเดินเล่นในเมือง ก่อนนั่งรถไฟยิงยาวกลับที่พัก
ร้านเล็กๆ น่ารัก
วันสุดท้าย เราออกแต่เช้า เพื่อนั่งรถไฟไปที่ย่าน Notting Hill แน่นอนว่าแรงบันดาลใจมาจากหนังรักสุดคลาสสิกเรื่อง Notting Hill หรือชื่อไทยว่า "รักบานฉ่ำที่น็อตติ้งฮิลล์"
เมื่อมาถึง เรามุ่งหน้าไปที่ Portobello Market กันก่อนด้วยความหิวโหย ตอนเราไปร้านอาหารหลายร้านยังไม่เปิด น่าจะเพราะมาเช้าไป เราซื้ออาหารอินเดียมาลองกินไม่รู้เรียกอะไร เป็นแป้ง มีไส้ข้างในเป็นไก่และผักผัดกับซอส อร่อยดี ชิ้นใหญ่
พึ่งเปิดแหละ
ไม่จบแค่นั้น เรากินข้าวผัด กับโซบะ ต่อที่ร้านอาหารญี่ปุ่น รสชาติใช้ได้ แต่ไม่ได้จัดจ้าน โดยรวมตลาดนี้ถือว่าผ่าน มีอาหารหลากหลายเชื้อชาติ
ถึงเวลาไปตามรอยหนังกันแล้ว จุดแรกเราไปที่บ้านสี นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกัน
น่ารักมาก
เดินต่อไม่นาน ก็พบกับ The Blue Door เป็นบ้านของพระเอกในหนัง
เท่
ไปต่อที่ Notting Hill Book Shop ในหนังจะเป็นร้านขายหนังสือนำเที่ยวของพระเอกชื่อ The Travel Book Co. แต่ร้านจริงเค้าขายหนังสือหลายหมวดหมู่
มาช่วงที่ถนนหน้าร้านซ่อมอยู่พอดี
สุดท้ายเราไปเดินช็อปปิ้งตรงถนน Portobello ผู้คนพลุกพล่าน มีร้านค้าตลอดสองฝั่งถนน ส่วนใหญ่ขายพวกของที่ระลึก บ้านเมืองสวยเป็นสีๆ น่ารักมากเหมือนในหนังเลย
บรรกาศมีความโรแมนติก
หลังจากซื้อของติดมือมานิดหน่อย ได้เวลานั่งรถไฟกลับไปที่ London เพื่อตามเก็บแลนด์มาร์คของเมืองหลวงที่ใครมาก็ต้องไปถ่ายรูปเก็บไว้
London Eye
Big Ben
Tower Bridge
พอจบภารกิจสุดท้าย เราแวะกินข้าว ก่อนที่จะไปเอากระเป๋า มุ่งหน้าสู่สนามบิน Heathrow เพื่อกลับบ้าน ถือเป็นทริปต่างประเทศครั้งแรกของผมที่ประทับใจมาก รู้สึกเหมือนได้ปลดล็อคอะไรสักอย่างในชีวิตสำเร็จ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปเที่ยวประเทศอื่นให้ได้เยอะๆเลย
หวังว่าทุกคนจะชอบ แล้วพบกันใหม่ในการเดินทางครั้งหน้า :)
สรุปค่าใช้จ่ายหลักๆ
5/4
-ร้านอาหาร Le Relais de Venise (กิน 2 คน)
=69.56£ (2,991฿)
-ที่พัก Anson Hotel 1 คืน
=97.67£ (4,200฿)
14/4
-ตั๋วรถไฟจาก Inverness ไป London
=56.93£ (2,448฿)/คน
-ที่พัก Airbnb 2 คืน
=232£ (9,976฿)
-Borough Market (กิน 2 คน)
=37£ (1,591฿)
-ร้านเบเกอรี่ Cédric Grolet at The Berkeley
=23£ (989฿)
-ร้านอาหาร Gold Mine (กิน 2 คน)
=52.3£ (2,249฿)
15/4
-ตั๋วรถไฟจาก London ไป Salisbury
=13.91£ (598฿)/คน
-ตั๋วรถไฟจาก Salisbury ไป Bath
=6.86£ (295฿)/คน
-ตั๋วรถไฟจาก Bath ไป London
=14.42£ (620฿)/คน
-ทัวร์ Stonehenge
=33.7£ (1,449฿)/คน
-ตั๋วเข้า Roman Bath
=26.3£ (1,131฿)/คน
-คาเฟ่ Stonehenge (กิน 2 คน)
=15.15£ (651฿)
-ร้านอาหาร Sally Lunn's (กิน 2 คน)
=37.67£ (1,620฿)
16/4
-Portobello Market (กิน 2 คน)
=22£ (946฿)
1£ ประมาณ 43฿
เมษายน 2023

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา