26 ส.ค. 2023 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
ญี่ปุ่น

ญี่ปุ่น ตอนที่ 4 ฟื้นฟูตัวเอง ทะยานสู่อำนาจ

ยุคเมจิ ตอนที่ 1 ฟื้นฟูประเทศและความทันสมัย
ยุคเมจิเริ่มต้นหลังจากที่กลุ่มหัวก้าวหน้าในแคว้นศักดินาโชชูและแคว้นศักดินาซัตสึมะ ผนึกกำลังกันล้มล้างระบอบโชกุนและระบบซามูไร หลังจากล้มระบอบโชกุนได้แล้ว ก็สถาปนารัฐธรรมนูญและรัฐบาลใหม่หรือคณาธิไตยแห่งเมจิ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "ฮัมบัตสึ" (Hambatsu) ที่มีองค์จักรพรรดิ(เทนโน สัญลักษณ์แห่งเทพสวรรค์)เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ ผู้ครองบัลลังก์ดอกเบญจมาศ ตระกูลยามาโตะ
จักรพรรดิเมจิ ในปี ค.ศ. 1873 ทรงครองราช 44 ปี
แล้วในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจระหว่างกลุ่มหัวก้าวหน้ากับขั้วอำนาจเก่าได้เกิดการปะทะกันไหม คำตอบคือ มีครับ เรียกว่าสงคราม "โบะชิน" เป็นสงครามกลางเมือง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากและชัยชนะตกเป็นของคณาธิไตยแห่งเมจิ ถือเป็นจุดจบของระบอบ โชกุน ไดเมียว และซามูไร
แต่กระนั้นถึงเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น 1 ในสัญลักษณ์ที่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการระลึกถึงแก่กำลังพลฝ่ายปฎิรูป คือ ศาลเจ้าแบบชินโต ชื่อ 'ยาสุกุนิ' เป็นศาลเจ้าที่พระจักรพรรดิต้องทำการสักการะก่อนไปทำสงครามเป็นต้นมา
ภาพวาดการปะทะในยุทธการเขาชิโรยามะ (Battle of Shiroyama) ในสงคราม โบะชิน และ ภาพศาลเจ้ายาสุกุนิ
ภายหลังจักรพรรดิทรงย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปยังเอโดะ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว คณะรัฐบาลในสมเด็จพระจักรพรรดิได้ร่วมมือกันปฏิรูปญี่ปุ่นในทุก ๆ ด้าน ในแง่ของกำลังทางทหาร ชนชั้นนำกลุ่มหัวก้าวหน้า เริ่มติดต่อกับพวกอเมริกันในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จ้างให้มาฝึกชาวญี่ปุ่นเพื่อเป็นกองทหารสมัยใหม่และรับวิทยาการให้เหมือนกับชาวตะวันตก โดยการดึงเอาชนชั้นชาวนาและช่างฝีมือมาฝึกเพื่อเป็นทหารสมัยใหม่
ในแง่ของการศึกษาได้มีการจ้างครูชาวตะวันตกมาสอนคนญี่ปุ่นโดยให้เป็นการศึกษาภาคบังคับโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้ที่เป็นคนวางรากฐานทางการศึกษาของญี่ปุ่นก็คือ โมริ อาริโนริ (Mori Arinori) เป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการคนแรกของญี่ปุ่น ชนชั้นนำของญี่ปุ่นยุคใหม่ตั้งใจที่จะนำพาประเทศ เป็นประเทศอุตสาหกรรม ที่มีความความทันสมัย เน้นการสร้างทางรถไฟ โทรเลข เทคโนโลยี
โมริ อาริโนริ (Mori Arinori) รัฐมนตรีศึกษาธิการคนแรกของญี่ปุ่น
ภายใต้คำขวัญที่ว่า "ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง" (Fukoku Hyohe) สังคมแต่เดิมของญี่ปุ่นไม่ได้ให้ความสำคัญในแง่ของเศรษฐกิจ ชนชั้นพ่อค้าถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุด ในสังคมศักดินาสมัยเดิม แต่ในคณาธิไตยแห่งเมจิได้ตระหนักแล้วว่าการเงินและการธนาคารถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะนำพาประเทศไปสู่อำนาจและความยิ่งใหญ่ และด้วยความสำคัญนี้เองทำให้เกิดระบบทุนทางการเงินขนาดใหญ่ขึ้นมา เรียกว่า ไซบัตสึ ถือเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ Mitsui&CO Mitsubishi Sumitomo และ Yasuda
และเพื่อให้คำขวัญเป็นจริงทางรัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณไปกับพัฒนากองทัพ รวมถึงขยายอุตสาหกรรมต่างๆเพื่อรองรับการเติบโตของกองทัพ ส่งทหารไปเรียกรู้วิชาทหารบกและทหารเรือยังต่างประเทศ และนี้คือจุดเริ่มต้นของ "ไดนิปปง เทโกะกุ"(Fukoku Hyohe) "ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง"
กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ไซบัตสึ
ณ ช่วงเวลานั้นประเทศข้างเคียงของญี่ปุ่น ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศทางตะวันตกหมดแล้ว จีนที่ยิ่งใหญ่และคบค้ามานานถูกต่างชาติรุกรานแล้วเข้าไปแบ่งเขตอิทธิพลกันหมดแล้ว ตอนเหนือของญี่ปุ่นก็มีมหาอำนาจคือ จักรวรรดิรัสเซีย ทางใต้อินโดจีนเป็นของ ฝรั่งเศส และแหลมมาลายู สิงคโปร์ ฮ่องกง เมียนมาร์ ก็เป็นของอังกฤษ ดัตช์ก็ครอบครองอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็เป็นเขตที่อเมริกันทรงอิทธิพล ดูแล้วเรียกได้ว่าโดนล้อมไปเสียทุกด้านจากประเทศตะวันตกที่ล่าอาณานิคม
ยุคเมจิ ตอนที่ 2 บัตโตไต
สำหรับกองทัพของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นสมัยใหม่ ศึกแรกนั้นไม่ได้เป็นการไปรุกรานหรือทำศึกกับประเทศอื่น แต่เป็นสงครามภายใน นั้นคือการปราบกบฏซัตสึมะ (Satsuma) การกบฏเกิดขึ้นในอดีตแคว้นซัตสึมะบนเกาะคีวชู แคว้นนี้เป็นแคว้นที่มีบทบาทสำคัญที่สนับสนุนฝ่ายองค์จักรพรรดิในสงครามโบชิง
1
ไซโง ทากาโมริ ซามูไรคนสุดท้าย
ซึ่งภายหลังจากก่อตั้งรัฐบาลเมจิและสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น อดีตแคว้นซัตสึมะก็กลายเป็นที่พำนักของเหล่าอดีตซามูไรจำนวนมาก อดีตซามูไรเหล่านี้ได้สูญเสียสถานะทางสังคมตลอดจนบรรดาอภิสิทธิทั้งหลายจากการปฏิรูปการทหารของรัฐบาล ซามูไรได้ถูกแทนที่ด้วยปืนไรเฟิลจากตะวันตก ทำให้ไม่มีใครว่าจ้างซามูไรเหล่านี้ให้ไปคุ้มครองอีกต่อไป จนเกิดเป็นความคับแค้นใจต่อรัฐบาลเมจิขึ้น
ผู้นำการกบฏครั้งนี้คือ ไซโง ทากาโมริ เป็นอดีตซามูไรและหนึ่งในขุนพลคนสำคัญที่เคยอยู่ฝ่ายจักรพรรดิและร่วมโค่นล้มรัฐบาลเอโดะ ในช่วงเหตุการณ์นี้ได้มีการทำเป็นภาพยนตร์ที่ชื่อ The last Samurai มหาบุรุษซามูไร ซึ่งซามูไรคนสุดท้ายก็คือ ไซโง ทากาโมริ ในการรบนั้นกบฏซัตสึมะมีประสบการณ์การรบที่สูงกว่า มียุทธวิธีที่สูงกว่า และมีมุมมองว่าการรบคือการแสวงหาการตายแบบมีเกียรติและศักดิ์ศรี
ภาพยนตร์ที่ชื่อ The last Samurai มหาบุรุษซามูไร
ในขณะที่ทางรัฐบาลใหม่จะมีอาวุธปืนและปืนกลที่ทันสมัยกว่า แต่ทหารที่เกณฑ์มานั้นมาจากการเป็นชาวนากับช่างฝีมือ ไม่ชินกับยุทธวิธี ไม่ชินกับอาวุธ ไม่มีความกล้าในการลั่นไก แต่มีผู้นำในการปราบกบฏซัตสึมะ คือ พลโท ยามางาตะ อาริโตโมะ ท่านได้ประกาศปลุกใจกับทหารใหม่ว่า "ขอให้ทุกคนชักดาบขึ้นมา"
จนได้ชื่อว่ากองพันดาบ "บัตโตไต" ทำให้กองทัพที่มีแต่ชาวนากับช่างฝีมือมีขวัญและกำลังใจเริ่มที่จะเอาชนะกบฏซัตสึมะได้ที่ละน้อยได้เป็นผลสำเร็จใน ปี ค.ศ.1871 ซึ่งเพลงประจำกองทัพญี่ปุ่นยังใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ เพลงบัตโตไต แต่ในแง่ของการเสียชีวิตนั้นมีความสูญเสียมากกว่าสงคราม "โบะชิน" กว่าเยอะ ถือเป็นก้าวแรกในชัยชนะของกองทัพสมัยใหม่ที่มีชัยเหนือกลุ่มอำนาจเก่า
พลโท ยามางาตะ อาริโตโมะ
ยุคเมจิ ตอนที่ 3 กระตุกหนวดมังกร
ในก้าวต่อมาของกองทัพญี่ปุ่นสมัยใหม่ คือการวางแผนในการบุกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศที่ง่ายที่สุดในช่วงเวลานั้นคือประเทศเกาหลี ยุคสมัยนั้นของเกาหลีตรงกับยุคสมัยของพระเจ้าโคจงแห่งโชซ็อน ซึ่งกำลังมีปัญหาภายในประเทศก็คือ กบฏทงฮัก
ในช่วงเวลานั้นทางการจีนในสมัยของพระเจ้ากวังซฺวี่แห่งราชวงศ์ชิงซึ่งอ่อนแอมากอยู่แล้วได้ให้ความช่วยเหลือทางการเกาหลี พระเจ้าโคจงแห่งโชซ็อน เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้ให้ความสนับสนุนกบฏทงฮักจนขยายอำนาจในคราบสมุทรเกาหลีได้เป็นผลสำเร็จ
ภาพวาดของกลุ่มกบฏทงฮัก
ผลจากการวางแผนและเฝ้าติดตามสถานการณ์ของประเทศจีนมาเป็นอย่างดี ทำให้ญี่ปุ่นมั่นใจว่าดวงอาทิตย์แห่งยามาโตะนี้ต้องสาดแสงไปถึงแผ่นดินมังกรแน่นอน ทำให้เกิดสงครามระหว่าง จีน - ญี่ปุ่น ครั้งแรก (First Sino - Japanese War 1894) โดยเริ่มจากญีปุ่นได้เข้าไปทางทะเลเกาหลีแล้วเข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าโคจง พร้อมกับชาวเกาหลีที่สนับสนุนญี่ปุ่น และเริ่มทำสงครามกับกองทัพจีนที่อยู่ในประเทศเกาหลี กองทัพจีนถึงจะมีจำนวนมากกว่าแต่ก็ไม่สามารถสู้ได้เนื่องเทคโนโลยีและยุทธวิธีของญีปุ่นที่เหนือชั้นกว่า
สงครามระหว่าง จีน - ญี่ปุ่น ครั้งแรก (First Sino - Japanese War 1894)
กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ขยายอำนาจไปที่บริเวณทะเลปั๋วไห่ จนในที่สุดก็มีชัยเหนือกองทัพต้าชินได้สำเร็จใน ปี ค.ศ.1894 และได้ลงนามในสนธิสัญญา "โมโนเซกิ" (Shimonoseki) หลังจากที่มีชัยเหนือกองทัพต้าชิง ทางจักรวรรดิญี่ปุ่นได้หันไปทางใต้ เกาะรีวกีว หรือที่ปัจจุบันคือ โอกินาวา ได้เดินทัพไปยึดเกาะฟอร์โมซาจากประเทศจีน(ปัจจุบันเกาะนี้เป็นของไต้หวัน) เป็นของตัวเอง
โดยการกระทำทั้งหมดของจักรวรรดิญี่ปุ่นอยู่ในสายตาของประเทศล่าอาณานิคมตะวันตกทั้งสิ้นและคิดว่านี้น่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของความทะเยอทะยานจักรวรรดิญี่ปุ่นแล้ว แต่นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิดวงอาทิตย์ และพวกเขาไม่ได้มีดีแค่ทางการทหาร
ภาพเส้นทางที่เกิดการปะทะกันของ จีน - ญี่ปุ่น และบริเวณทะเลปั๋วไห่อยู่ตรงแม่น้ำเหลือง
แต่ในมิติทางการทูต ญี่ปุ่นรู้ดีว่าถ้าจะขยายอำนาจออกไปด้วยการไม่มีพันธมิตรเลย สุดท้ายก็จะโดนรุมกินโต๊ะคงจะไม่เป็นผลดี จึงได้เจริญสัมพันธไมตรีกับสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ ซึ่งต่างก็จะไม่แตะต้องผลประโยชน์ร่วมถึงเมืองอาณานิคมของกันและกัน อังกฤษก็จะมีประเทศพันธมิตรที่ถ่วงดุลอำนาจในเอเชียแปซิฟิก ข้อตกลงนั้นชื่อ ข้อตกลงพันธไมตรีระหว่างบริเตนใหญ่และญี่ปุ่นฉบับที่หนึ่ง (The First Anglo - Japanese Alliance)
ข้อตกลงพันธไมตรีระหว่างบริเตนใหญ่และญี่ปุ่นฉบับที่หนึ่ง
ข้อตกลงนี้ได้รับการลงนามในกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1902 ระหว่างรัฐมนตรีของอังกฤษคือ ลอร์ดแลนส์ดาวน์ (Lord Lansdowne) กับ ฮายาชิทาดาสุ (Hayashi Tadasu) ทูตจากญี่ปุ่น ช่วงเวลา 30 ปีแรกของพระจักรพรรดิเมจิ ทำให้กองทัพใหม่ญี่ปุ่นเริ่มมีประสบการณ์และความฮึกเหิม
รัฐมนตรีของอังกฤษคือ ลอร์ดแลนส์ดาวน์ (Lord Lansdowne) กับ ฮายาชิทาดาสุ (Hayashi Tadasu) ทูตจากญี่ปุ่น
นักเรียนที่ได้ไปเรียนประเทศตะวันตกเริ่มเดินทางกลับมาพร้อมกับวิทยาการใหม่ๆ และความพร้อมต่างๆนี้ทำให้จักรวรรดิญี่ปุ่นมีการผลิตอาวุธ อุตสาหกรรมเริ่มมีความใหญ่ขึ้น มีแสนยานุภาพเพิ่มขึ้น เริ่มมีการต่อเรือรบเองแล้ว ในกรอบเวลาดังกล่าวคือศตวรรษที่ 20 พวกเขาเริ่มกวาดตามองหาเป้าหมายต่อไป และต้องการแสดงแสนยานุภาพในเวทีโลก
ติดตามได้ตอนต่อไป จักรวรรดิดวงอาทิตย์ VS พญาหมีขาว
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ญี่ปุ่น ตอนที่ 4 ฟื้นฟูตัวเอง ทะยานสู่อำนาจ :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา