25 ส.ค. 2023 เวลา 18:33

EP. 2 the king never smile

ภาพที่ดูฝ้ามัว เสียงที่ฟังไม่ชัดเจน
ดูแล้วทําให้นึกถึงโทรทัศน์เมื่อสี่สิบปีก่อน เป็นภาพชายสองคน กำลังหมอบกราบบนพื้นพรมหนา คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าหยาบๆไม่สวยหรูสีครามแบบชุดชาวนา อีกคนหนึ่งใส่ชุดสูทเสื้อนอกอย่างนักธุรกิจ
ทั้งสองคนนั่งพับเพียบ เหมือนอย่างกับคนที่ว่านอนสอนง่าย ทั้งสองคนหงายหน้าจ้องมองดูบุคคลที่นั่งตระหง่านอยู่บนเก้าอี้ลายดอกไม้สีทอง พร้อมกับมีข้าราชบริพารหมอบราบขนาบข้าง บุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กล่าวกับชายทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่อยู่ในลําคอ เสียงนั้นดัง ฟังชัด สุขุมเหมือนดังผู้ที่เป็นพ่อ เป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นดังคําบัญชา ที่ตําหนิลูกๆ ที่เอาแต่ทะเลาะกัน จนต้องออกมาว่ากล่าวตักเตือนกันต่อหน้าสาธารณชน
ชายทั้งสองนั้น หาใช่พี่น้องหรือลูกหลานไม่ ความผิดนั้นก็คงจะไม่น้อยนัก คนที่ใส่สูทชุดเสื้อนอกนั้น คือ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย นายพลสี่ดาวจอมโกงกินทุจริตที่มีชื่อว่า พลเอก สุจินดา คราประยูร อีกคนหนึ่งเป็นนักการเมืองที่ทําตัวเป็นฤษีสมถะ ชื่อว่า นายจําลอง ศรีเมือง ผู้นําฝูงชนเดินขบวนประท้วงสุจินดา มาหลายอาทิตย์แล้ว
เมื่อสองวันที่ผ่านมา คือวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 สุจินดาได้สั่งการให้ทหารระดมยิงปืนกราดใส่ผู้เดินขบวน จนมีผู้คนบาดเจ็บ และล้มตายไปเป็นจํานวนหลายร้อยคน
ในขณะเดียวกันนั้น กองกําลังทหารของสุจินดา ได้เคลื่อนกําลังเข้าไปล้อมมหาวิทยาลัย ที่มีนักศึกษาจํานวนหลายพันคน ที่กำลังรวมตัวกันลุกขึ้นประจันหน้า ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณที่จะยอมลดลาวาศอกกัน
ชายสองคนนั้นนั่งพับเพียบเคียงข้างกัน ก้มลงกราบผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ซึ่งไม่มีตําแหน่งหน้าที่ในด้านการเมือง และไม่มีอํานาจบัญชาการทหาร บุคคลผู้นั้นคือ ภูมิพล อดุลยเดช กษัตริย์องค์ที่เก้าของราชวงศ์จักรี บุคคลที่ไม่มีใครรู้จักนักนอกประเทศไทย ผู้นั่งฉลองราชบัลลังก์มาแล้วถึง 46 ปี
และในไม่ช้านี้ก็จะได้รับตําแหน่ง เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ได้ยาวนานที่สุดในโลก
ขณะที่โทรทัศน์บันทึกภาพเหตุการณ์เหล่านี้ กษัตริย์ภูมิพล กล่าวตักเตือนสุจินดา และจําลอง ศรีเมือง ที่ปล่อยให้โทสะและความเห็นแก่ตัวออกมาแก้แค้นกัน มันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบและความรักชาติ ที่จะต้องยุติเลิกรากันไป ก่อนที่ประเทศชาติจะถูกทําลายให้ล้มจม เสียง ที่ตะกุกตะกักฟังไม่เหมือนคําสั่งหรือเรียกร้องอะไรบางอย่าง แต่ว่าภายในไม่กี่ชั่วโมง ความรุนแรงก็สงบลง บรรดาทหารและผู้เดินขบวนต่างเดินทางกลับบ้าน อีกทั้งสุจินดา และจําลอง ต่างถอนตัวออกจากวงการเมือง
หนังสือพิมพ์ Washington Post ได้พาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นอย่างน่าชื่นชมว่า "ใครจะลืมภาพพจน์นี้ไปได้ เมื่อทรราชกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นั่งสยบเข่าต่อหน้าในหลวงของ ประเทศไทย" หากเป็นสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ กษัตริย์ภูมิพลอาจถูกปัดปฏิเสธอย่างน่าอัปยศอดสู จากนายพลอย่างสุจินดา
จริงๆแล้วเมื่อเกือบถึงเวลาเดินทางกลับมารับราชบัลลังก์ ในเดือนธันวาคม 2494 เหล่านายพลที่ทุจริตต่างพากันยึดอํานาจจากรัฐบาล ตัดทอนอํานาจสิทธิพิเศษของกษัตริย์ และข่มขู่ว่าจะล้มล้างราชบัลลังก์ หากไม่ร่วมมือด้วย เหตุการณ์รัฐประหารในครั้งนั้น เหมือนดังเมฆดํา ที่ครอบงํากษัตริย์หนุ่มมานานหลายปี
จอมพลป.พิบูลสงคราม รัฐประหารตัวเอง วันที่ 29 พฤศจิกายน 2494
สี่สิบปีต่อมา แม้นว่าจะมีอํานาจเพียงน้อยนิดในพระราชบัญญัติ กษัตริย์ภูมิพลก็ได้เพิ่มพูนบารมี จนผู้ที่มีอํานาจที่สุดในประเทศยังต้องสยบอยู่ใต้เบื้องพระบาท ด้วยวาจาที่สุขุมเพียงไม่กี่คํา ท่านก็สามารถบอกให้คนหายไปจากวงการเมือง และยุติการนองเลือดกันบนท้องถนนบนราชอาณาจักรของท่าน ท่ามกลางสถาบันกฎหมาย รัฐสภา ศาลยุติธรรม ศาสนา สังคม ผู้นําธุรกิจ มีเพียงกษัตริย์ภูมิพลเท่านั้นที่มีบารมีที่สูงส่ง ลอยเหนือความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งปวง และทําให้ประเทศชาติมีความสงบร่มเย็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เย็นวันนั้น เดือนพฤษภาคม ปี 2535 คือผลงานที่โดดเด่นสูงสุดในชีวิตของกษัตริย์ภูมิพล ตั้งแต่ท่านเข้ารับตําแหน่งกษัตริย์ในปี 2489 หลังจากเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ของกษัตริย์อานันท มหิดล ผู้เป็นพี่ชาย
สถาบันกษัตริย์ไทยอยู่บนเงื้อมผาเกือบถึงขั้นอวสานไปแล้ว เพราะการปกครองที่อ่อนแอของสองกษัตริย์ที่ผ่านมา และสิบสี่ปีที่ตําแหน่งของกษัตริย์ว่างเปล่า ราชวงศ์จักรีควรที่จะถูกลบให้สูญหายไปอย่างง่ายๆจากแวดวงการเมืองภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เพียงอายุได้สิบแปดปี กษัตริย์ภูมิพลต้องแบกภาระความรับผิดชอบ ไม่เพียงแค่กอบกู้สถาบันกษัตริย์คืนมาเท่านั้น แต่ยังต้องพัฒนาปรับปรุงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกอีกด้วย
เหตุการณ์การเดินขบวนประท้วงในปี 2535 นั้น ท่านได้ก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากยิ่งขึ้น ในช่วงที่อายุได้ห้าสิบปีของการขึ้นครองราชย์
กษัตริย์ภูมิพลของชาวไทย ได้กลายเป็นกษัตริย์ที่มีความศักดิ์สิทธ์ และมีไหวพริบปฏิภาณปราดเปรื่อง จนหาที่เปรียบไม่ได้ ท่านได้เจือจางปัญหาต่างๆที่ยากต่อการแก้ไข
ในต่างประเทศนั้น ท่านคือตัวแทนของกษัตริย์ที่ครองราชย์มาได้อย่างคงทนและยาวนาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของลัทธิก้าวหน้าระบอบประชาธิปไตย และทุนนิยม
สําหรับประชาชนไทยแล้ว กษัตริย์ภูมิพลเป็นเหมือนดัง พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด หรือเป็นดังเช่นเทวดา
เรื่องราวการสร้างอํานาจบารมี และปฏิสังขรณ์ระบอบราชาธิปไตยของกษัตริย์ภูมิพลเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยมีใครเล่ามาก่อนในศตวรรษที่ยี่สิบ
ภูมิพลไม่คิดมาก่อนว่าตนจะได้เป็นผู้สืบราชวงศ์ เป็นกษัตริย์แห่งประเทศไทย ท่านเกิดในประเทศอเมริกา บิดาถึงแก่กรรมเมื่อท่านอายุได้หนึ่งขวบ ท่านเติบโตในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ด้วยการเลี้ยงดูของมารดาที่เป็นคนสามัญที่อึกอักไม่มั่นใจ เตรียมตัวให้อานันทผู้เป็นพี่ชาย ที่เพิ่งอายุได้สองขวบ สวมมงกุฎกษัตริย์ที่ไม่มีโอกาสจะได้สวม
หลังจากรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นปู่ได้ถึงแก่กรรมในปี 2453 สถาบันกษัตริย์จึงเริ่มมีการสึกกร่อนลงทันที เนื่องจากความละโมบ ความไม่เหมาะสม และไร้ความสามารถ ทั้งด้านสุขภาพร่างกาย และด้านการเมือง
ในช่วงที่ภูมิพลเกิดที่เมือง Boston รัฐ Massachusett นั้น บรรดาราชวงศ์กษัตริย์ ไทยก็เกือบจะสูญพันธ์กันไปแล้ว เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง พม่า เวียดนาม และอินเดีย
สยามประเทศได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทั้งด้านประเพณี การเมืองและ เศรษฐกิจ จนเกินกว่าเจ้าชายหนุ่มทั้งสองจะรับได้
ในปี 2475 กลุ่มข้าราชการผู้มีการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส ได้ทําการโค้นล้มระบบสมบูรณาญาสิทธิราชของประเทศไทยในรัชกาลที่ 7 อันเป็นลุงของกษัตริย์ภูมิพล และได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้อย่างหละหลวมตามรูปแบบการปกครองประเทศของอังกฤษ โดยมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ หรือเป็นหุ่นเชิดอยู่นอกวัง พวกราชวงศ์ทั้งหลายต่างหมดอํานาจและฐานันดร
คณะราษฎร 2475
หลังจากความล้มเหลวในการกู้อํานาจของราชวงศ์คืนมา บรรดาราชวงศ์ทั้งหลาย จึงต้องหนีภัยไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ตําแหน่งกษัตริย์จึงตกอยู่ในตําแหน่งที่ว่างเปล่า และมีเพียงชื่อที่หลงเหลืออยู่กับบัลลังก์เท่านั้น เพื่อเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงประเทศ คณะปฎิวัติจึงได้เปลี่ยนชื่อประเทศ ตามที่ทางราชวงศ์ชื่นชอบจากสยาม มาเป็นประเทศไทย เพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา