29 ส.ค. 2023 เวลา 10:51 • ท่องเที่ยว
Poon Hill

EP.7 กว่าจะได้คิดก็มายืนอยู่ที่จุดสตาร์ทเสียแล้ว | เนปาลในความทรงจำ

เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่ แต่นี่เราก็นอนแปลกที่กันมาเป็นคืนที่ 3 แล้วนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ ...ช่างมันเถอะ
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 6 โมงเช้า กะว่าจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ลุกขึ้นนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้าเหนือทะเลสาบยังเห็นคงดาวดวงเล็กดวงน้อยลอยอยู่เต็มผืนฟ้า พอเห็นว่ายังไม่สว่างก็ไม่รู้ว่าจะตื่นมาทำอะไร หันมองไปที่สมาชิกแต่ละคนต่างก็นอนหลับปุ๋ย
น่าอิจฉาจริง
ล้มตัวกลับลงไปนอนได้ไม่นาน พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นไปเปิดม่านที่รูดปิดหน้าต่างอีกฝั่งเอาไว้เสียมิดตั้งแต่เมื่อคืน
โอ้โห
พระอาทิตย์ขึ้นเกือบจะเต็มดวงแล้ว
ลืมไปเสียสนิท ว่าฝั่งที่ดูตอนแรกนั่นมันอยู่ทางทิศตะวันตก เกือบไปแล้วเชียว
อ่านตอนก่อนหน้าได้ที่
เช้านี้เรามีเวลานิดหน่อย ชวนกันไว้ว่าจะไปเดินหาซื้อของเดินป่าที่ขาดเหลือในตัวเมืองโพคารา รีบปลุกสองคนนั้นลุกขึ้นมาในสภาพงัวเงีย แต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร พากันทยอยอาบน้ำ เก็บสัมภาระที่กระจัดกระจายกลับคืนสู่กระเป๋า
ตกลงกันไว้ว่า จะเอาของส่วนใหญ่ใส่ไว้ในกระเป๋าของพี่อิ๋ว และจะยกกระเป๋าใบนี้ให้เป็นหน้าที่ของพอตเตอร์ช่วยแบก เพราะพวกเราไม่ใช่นักเดินป่ามืออาชีพ แค่โรคออฟฟิศซินโดรมหลังไหล่ตึงก็แทบเอาตัวเองไม่รอดแล้ว ขอแบกแค่กล้องกันคนละตัวกับข้าวของอีกเล็กน้อยก็พอ
เช้านี้ฝากท้องไว้กับอาหารของที่พัก ซึ่งประกอบไปด้วย ข้าวสวยร้อนๆ ไข่เจียวหัวหอมกับมะเขือเทศ ขนมปังปิ้งทาเนยกับแยมซึ่งก็อร่อยดี ปิดท้ายด้วยกาแฟใส่นมวัว กินเสร็จก็วนกันไปเข้าห้องน้ำ กว่าจะพร้อมก็ปาเข้าไปแปดโมงครึ่ง
ก่อนมาเห็นเขาว่าที่โพคารานี้มีแหล่งขายของมือสองสำหรับนักเดินทาง ใครของไม่ครบหรืออยากจะหาอะไรเพิ่มเติมก็สามารถไปเดินเลือกซื้อได้
มันก็น่าจะไม่เกินจริงเพราะเมืองแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดแวะพักของเหล่าแทร็กเกอร์ บางส่วนเดินป่าเสร็จแล้วไม่อยากแบกของกลับ ก็ทิ้งมันเสียที่นี่ ซึ่งคงมีมากพอดู จึงมีคนนำมาทำเป็นธุรกิจให้เช่าและขายของมือสอง
ร้านขายของที่ว่ามีอยู่ตลอดเส้นทางที่พวกเราเดินผ่าน สินค้าในนั้นบางยี่ห้อก็คุ้นตา บางยี่ห้อก็แปลกมากไม่คุ้นเลย ที่แน่ๆราคาถูกกว่ามือหนึ่งมาก แต่จะจริงแท้หรือทำเลียนแบบ ก็สุดแล้วแต่ประสบการณ์ของผู้ซื้อ
ของอย่างนี้ใครตาดี
ก็ได้ไป
เรากลับคุณริบบิ้นศรีไม่ได้ต้องการอะไรเป็นพิเศษ เพราะซื้อมาจากประเทศไทยแล้ว ส่วนพี่อิ๋วดูเหมือนจะอยากได้เสื้อกันหนาวเพิ่มอีกสักตัว เดินไปเดินมาก็มาเจอตัวที่ถูกใจจนได้
ต่อรองราคากันเสร็จสรรพ พี่อิ๋วก็ได้เสื้อกันหนาวมากอดให้อุ่นใจในราคา 2900RS เริ่มรู้สึกสนุกกับการต่อราคาแล้วสิ
พวกเรายังคงเดินช้อปปิ้งไปเรื่อย จนพี่อิ๋วมาถูกตากับผ้าพันคอในร้านนึงเข้า สินค้าของร้านนี้ ผ้าแต่ละผืนที่เราได้สัมผัสมันช่างนุ่มละมุนเหมือนพุงแมว แน่นอนว่าพี่อิ๋วไม่พลาดที่จะซื้อหาติดไม้ติดมือกับประเทศไทย
เพียงแต่ร้านนี้ใช้เวลาต่อรองกันอยู่นานมาก และในขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันต่อราคาอยู่นั้น จู่ๆก็มีชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ตรงมาหาพวกเราก่อนแนะนำตัวว่าเขาคือเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ส่วนอีกคนที่กำลังขายของให้กับพวกเรา คือน้องชายของเขาเอง
ชายผู้นี้ชวนเราคุยไปเรื่อยตามประสาพ่อค้า พอรู้ว่ามาจากประเทศไทยก็ดูตื่นเต้น รีบเล่าให้พวกเราฟังว่า เขาเคยมาเที่ยวประเทศไทยครั้งหนึ่ง และชอบดูทิฟฟานี่โชว์มาก 😆 (โชว์เขาดีจริง)
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย สุดท้ายคนพี่ก็ลดราคาผ้าพันคอให้กับเรา เหลือแค่ 1500RS
แต่เดี๋ยวก่อน !!?
น้องชายของพี่บอกเราว่า ผ้าพันคอผืนนี้ราคาแค่ 1,000 RS เองนะ อะไรคือลดแล้วแต่ราคาแพงขึ้น?
สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คงไม่ทันได้เตรียมกันมา สุดท้ายคนพี่เลยยอมขายให้ตามราคาที่เราต่อรอง พี่อิ๋วได้ผ้าพันคอสุดนุ่มมาครอบครองในราคาที่พึงพอใจ
หลังจากที่พวกเราเดินเที่ยวเล่นกันมาพอสมควร ก่อนกลับที่พัก ขอแวะแลกเงินไว้ใช้ระหว่างเดินทางสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าเราจะคาดการณ์ผิดไปนิด เพราะอัตราแลกเปลี่ยนในเมืองโพคาราแห่งนี้ ค่อนข้างแพงกว่ากาฐมาณฑุอยู่พอสมควร
รู้งี้แลกมาจากกาฐมาณฑุซะก็ดี
อ่านตอนทั้งหมดในซีรีย์เนปาลในความทรงจำได้ที่นี่
เดินเลี้ยวเข้าซอยกลับที่พัก บ้านกำลังก่อสร้างหัวมุมถนน เมื่อเช้านี้เพิ่งเห็นเขาช่วยกันขนหินลงจากรถบรรทุกอยู่เลย ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้ก่อกำแพงไปได้เกือบครึ่งแล้ว น่าอัศจรรย์ใจมาก ไม่แน่ว่าในวันที่พวกเราแทรกกิ้งกลับมา บ้านสองชั้นหลังนี้ อาจจะสร้างเสร็จเรียบร้อย พร้อมให้เข้าอยู่แล้วก็เป็นได้
อะไรจะไวขนาดนั้น
คนที่นี่สองมือแข็งขันเสียจริง
กลับถึงที่พัก พวกเราเดินผ่านผู้ชายแขกผิวเข้มตัวผอมแกร่ง เขาใส่แว่นตาดำนั่งอยู่บนโซฟาชิดผนังด้านหนึ่งของล็อบบี้ เข้าใจว่าเป็นแขกมาใหม่ของที่นี่จึงไม่ได้สนใจ เดินเลยคนผู้นั้นไปหาพนักงานที่ยืนรออยู่หลังเคาน์เตอร์ ดำเนินการเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก ส่วนสมาชิกที่เหลือกลับขึ้นไปเก็บข้าวของบนห้อง
ส่งคืนห้องพักเสร็จเรียบร้อย พนักงานพาเราทั้งสามเดินไปนั่งรวมกับชายคนนั้นที่โซฟา ยื่นเอกสาร TIMs ที่ฝากทำไว้ตั้งแต่เมื่อวานให้ ก่อนจะแนะนำพวกเราให้ได้รู้จักกับพ็อตเตอร์ คนที่จะมาเป็นผู้ช่วยตลอดการเดินทางในอีกห้าวันต่อจากนี้
เขาชื่อ Laxman
เราขอให้ลักซ์มานเขียนชื่อของเขาเป็นภาษาเนปาลให้ดู
ลักซ์มาน ชาตรี ถอดหมวกเดินป่าทรงบักเก็ตของเขาออก เผยให้เห็นผมหวีเรียบแปล้ ดำสนิทยาวถึงต้นคอที่เคยซ่อนอยู่ภายใต้หมวก เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย
ดูไปแล้วเหมือนจะเรียบร้อยคล้ายกับพนักงานที่ชื่อ'สมบูรณ์' แต่ภาพลักษณ์นี้ก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน พอเริ่มคุ้นเคยกันไปสักพัก ก็แอบกวนใช่ย่อย
ลักซ์มานเป็นนักศึกษาปี 2 เรียนอยู่ในคณะ Management สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว อย่างน้อยก็คุยกับพวกเรารู้เรื่อง ด้วยเหตุนี้เจ้าลักซ์จึงเป็นเหมือนเพื่อนเสียมากกว่าเป็นผู้ถูกจ้าง ให้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ต้องถือว่าพวกเราโชคดี เพราะตลอดการเดินทาง ลักซ์มานคอยช่วยเหลือเป็นธุระให้ในหลายเรื่อง ให้กำลังใจเวลาที่พวกเราหมดแรงเดิน ไม่ทำตัววุ่นวายน่ารำคาญจนพวกเราอึดอัด
เริ่มนั่งรถออกจากตัวเมืองโพคารา
บ้านเรือนที่มีภูเขาลูกใหญ่เป็นแบคกราวน์อยู่ด้านหลัง
ทำความรู้จักกันพอประมาณก็ได้เวลาออกเดินทาง รถที่จะพาเราไปยังจุดหมายปลายทาง ได้จอดรอเราอยู่หน้าที่พักแล้ว
ขนของใส่ท้ายเสร็จก็กระโดดขึ้นเบาะหลังรถ โชคดีที่พวกเราตัวไม่ใหญ่มากเลยนั่งเบียดกันได้สามคน
รถเริ่มพาเราวิ่งออกจากตัวเมืองโพคาราไปไกล
รถแทร็กเตอร์วิ่งไปบนถนนเส้นเดียวกันกับเรา
บ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนเนินเขาและกำแพงหินบอกอาณาเขต
รถวิ่งไกลออกไปจากเมืองโพคารา สภาพบ้านเรือนเริ่มตั้งอยู่ห่างกันมากขึ้น พื้นที่ส่วนใหญ่เว้นว่างไว้สำหรับเพาะปลูก ภูเขาที่เคยอยู่ไกลเริ่มใกล้พวกเราเข้ามาทุกที
อันที่จริงเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปนี้เรียกว่าอะไร แค่แจ้งความต้องการกับพนักงานที่พัก คนที่ช่วยเราจัดหาเอกสารและพ็อตเตอร์ ว่าพวกเราต้องการไปแทรกกิ้งเส้นทางพูนฮิลล์ มีระยะเวลาเดินทาง 5 วัน 4 คืน ข้อมูลที่ให้ไปมีแค่นี้เลย
รถวิ่งไปตามเนินเขา สองข้างทางเริ่มมีแต่ต้นไม้
รถวิ่งไต่ระดับขึ้นไปตามเนินเขา มีบางช่วงที่คดเคี้ยว แต่ 'พิม' ชายเนปาลสูงวัยผมสีดอกเลาแซมดำ กลับสามารถประคองรถได้อย่างชำนาญ ทำให้พวกเราไม่ต้องทรมานกับการเมารถมากนัก
ขอบถนนบนภูเขาสูง ที่มองกลับลงไปแล้วเห็นหมู่บ้านเบื้องล่างเป็นเพียงจุดเล็กๆ กลับมีเด็กชายตัวน้อยนั่งขายผลไม้อะไรสักอย่างอยู่ข้างทาง ลักษณะผลมีสีเหลืองขนาดเท่าหัวแม่มือ ถูกแบ่งเป็นกองเล็กๆวางอยู่บนใบไม้สีเขียวสด
เห็นพวกเราดูสนอกสนใจ ลักซ์มานเลยถามว่าอยากลองกินไหม แนะนำว่าผลไม้นี้กินได้ แต่กินแล้วจะทำให้เมานิดหน่อย มันมีชื่อว่า 'อาวเชอร์รี่' พูดแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย
ในตอนนั้น ลำพังแค่ทำตัวไม่ให้เมารถก็ลำบากมากแล้ว หากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มคงไม่ฉลาดเท่าไหร่ ยิ่งได้ยินลักซ์มานเล่าถึงสรรพคุณ พวกเรายิ่งไม่มีใครอยากลอง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า
ถ้ากินแล้วเมาจะเอามาขายทำไม?
แต่สุดท้ายความลับไม่มีในโลก หลังกลับมาจากแทร็กกิ้ง มีโอกาสได้เห็นผลไม้ชนิดนี้ใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่า พวกเราโดนเจ้าลักซ์มันหลอกตั้งแต่ต้นทริปเสียแล้ว เพราะความจริงมันคือลูกหม่อนเนปาลชนิดหนึ่ง ที่ออกผลเป็นสีเหลือง
บอกแล้วว่ามันกวน
พิมขับรถขึ้นเขาตามหลังรถบัสคันใหญ่
นาขั้นบันได้ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเส้นทางที่รถเราวิ่งผ่าน
นั่งรถมาประมาณชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่หมายเสียที พิมจอดรถให้พวกเราลงตรงหน้าร้านขายอาหารเล็กๆริมถนน ซึ่งมีร้านตั้งติดกันอยู่ไม่กี่ร้าน
มองไปรอบๆไม่เห็นความคึกคักของเหล่าแทร็กเก้อ ไม่เห็นจุดตรวจเอกสาร ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าพื้นที่ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของการเดินป่า
ลักซ์มานพาเรามาถูกที่จริงๆหรือเปล่าเนี่ย?!
เราขนของลงรถทั้งที่รู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ลืมที่จะขอถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
รถคันเล็กที่พวกเราสี่คนนั่งอัดกันมา
ถ่ายรูปกับพิมเป็นที่ระลึก
เมื่อพิมพ์ขับรถจากไป พวกเราก็แบกของอันน้อยนิด เดินตามลักซ์มานลงเขาไปยังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ด้านล่าง และที่ด้านล่างกว่านั้นมองลงไปเห็นเด็กๆ กำลังเล่นบอลกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางแดดจ้า
แค่เห็นบันไดทางลงก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว
ลักซ์มานเดินนำทางให้พวกเราเดินตาม
เด็กๆ ที่เล่นบอลกันอยู่ในสนามด้านล่าง
เดินผ่านตัวอาคารที่ลักษณะเหมือนห้องแถว หลายห้องถูกปล่อยทิ้งร้าง แต่ก็ยังมีหลายห้องที่เปิดขายสินค้าเล็กๆน้อยๆ ความรู้สึกบอกว่าที่นี่เคยคึกคัก เมื่อก่อนน่าจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาตั้งต้นเดินป่าจากจุดนี้ ตลอดระยะเวลาที่เดินผ่านอาคารเก่าเหล่านี้ ในสมองมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
เพื่อนลักซ์ไม่ได้เข้าใจผิดจริงๆใช่มั้ย?!
อาคารสภาพเก่าที่ตั้งอยู่ติดๆกัน
เรายังจำความรู้สึกตอนที่เดินอยู่บนถนนเส้นนี้ได้ดี ตั้งแต่จัดทริป ซื้อตั๋ว จนบินมาเหยียบหลังคาโลกแห่งนี้ เราไม่ทันได้ทบทวนจริงๆจังๆเลยว่า จะเดินไหวไหม
แต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกกลัวก็จู่โจมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว สภาพร่างกายก็ไม่มีใครได้ฟิตซ้อมกันก่อนมา ข้าวของที่พกมาด้วย ก็หยิบเอาเท่าที่มีจากในห้องพัก รองเท้าและเสื้อกันหนาวที่ซื้อมาจากเมืองไทย ก็ยังไม่เคยได้ซ้อมใส่ มันจะกันหนาวได้จริงไหม เดินไปแล้วรองเท้าจะกัดหรือเปล่า พื้นรองเท้าแข็งแรงพอหรือไม่ ไม่มีอะไรที่เราสามารถตอบให้ตัวเองมั่นใจได้เลย
แต่ระหว่างที่คิดหวั่นใจอยู่นั้น
เท้าของเราก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด
สะพานแขวนแรกที่พวกเราเจอ
คุณริบบิ้นศรีแอ็คท่าถ่ายรูปข้ามสะพาน (มันไปเอาแว่นดำมาตั้งแต่เมื่อไหร่?)
เราเหยียบเท้าลงบนสะพานแขวนเหนือธารน้ำ ที่ไหลเอื่อยผ่านโขดหินเบื้องล่าง เพื่อข้ามไปยังอีกฝั่ง ดูเหมือนเส้นทางเดินนี้จะพาเราลัดเลาะผ่านชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างสลับซับซ้อนบนเนินเขา
เดินเลาะไปตามบ้านมุงสังกะสี
เด็กน้อยนั่งอยู่ข้างแปลงกะหล่ำ
ธารน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน
ไม่นานเราก็เดินทะลุออกมาอีกฝั่งของหมู่บ้าน ที่เนินดินข้างทางเราพบคนพื้นที่สองสามคน กำลังนั่งสกัดหินจากก้อนใหญ่ให้กลายเป็นก้อนเล็กหลายขนาดท่ามกลางแดดจ้า ใกล้กันมีม้าแคระยืนรอบรรทุกหินอยู่ตัวหนึ่ง นี่อาจเป็นอุตสาหกรรมหลักอย่างหนึ่งของคนในหมู่บ้านแห่งนี้
ลักซ์มานยืนรอพวกเราถ่ายรูป เลยขอจัดสักภาพ
ผู้หญิงและเด็กกำลังช่วยกันสกัดหิน
เจ้าม้าแคระที่ยืนรออยู่ด้านข้าง
พวกเราเดินไปสมทบกับนักเดินทางอีกกลุ่ม ที่กำลังเดินนำหน้าอยู่บนถนนลูกรัง จู่ๆก็มีขบวนรถโฟวิลวิ่งไล่ตามหลังมาหลายคัน
ในรถเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ พวกนั่งบนหลังคาโบกไม้โบกมือให้กับขบวนที่เดินอยู่ข้างทาง พวกเราโบกมือทักทายกลับตามประสาเพื่อนร่วมทาง
นักท่องเที่ยวบนรถน่าจะไปแทร็กกิ้ง บนเส้นทางที่ไกลกว่าที่พวกเรากำลังจะไป จึงเลือกนั่งรถเพื่อย่นระยะทางและเวลา
ล้อรถตีฝุ่นบนพื้นให้ฟุ้งตลบไปตามเส้นทางที่พวกมันวิ่ง ส่วนพวกเราก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง คว้าผ้าใกล้ตัวขึ้นมาปิดปากปิดจมูก
เดินตามกันไปเป็นขบวนบนถนนลูกรัง
รถโฟวิลที่วิ่งผ่านพวกเราไป
เดินไปสักพักก็มาถึงสะพานเหล็กอีกแห่ง ฝั่งตรงข้ามมีป้อมเล็กๆตั้งอยู่ ลักซ์มานช่วยนำเอกสารของพวกเราไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจ
เดินข้ามสะพานเหล็ก
เดินข้ามธารน้ำสีฟ้า
ลักซ์มานพาพวกเราเดินทะลุผ่านหมู่บ้านที่สอง หมู่บ้านนี้มีจุดขายของที่ระลึกอยู่ข้างทาง เราเคยเห็นคนที่เคยมาแชร์เอาไว้ในเว็บบล็อก
เดินทะลุหมู่บ้านแห่งที่สอง
ร้านขายของที่ระลึกข้างทาง
เริ่มเห็นบ้านทาสีฟ้าตามรายทาง
น้องหมามาเดินเป็นเพื่อน
ที่หมู่บ้านนี้เองเราได้ผู้ติดตามเป็นมะหมาสี่ขา สีดำ ขนฟู ตัวใหญ่ และดูเชื่อง มันเดินตามพวกเราไปเป็นระยะทางไกล จนแอบกังวลว่ามันจะกลับบ้านตัวเองถูกไหม
เดินทะลุผ่านป่าไผ่
ไม่นานก็เดินทะลุมายังถนนลูกรัง ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา อดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือเส้นทางที่ผู้คนจากทั่วโลกอยากมาสัมผัสจริงๆเหรอ ดูแล้วไม่ค่อยต่างกับถนนในชนบทของบ้านเราเท่าไหร่
เส้นทางถนนลูกรังที่เลาะไปตามไหล่เขา
คุณริบบิ้นศรีออกตามหาสิบล้อที่หายไป
เริ่มเห็นน้ำตกที่ไหลมาจากภูเขาใกล้ๆ
น้ำตกสวยเห็นละอยากแวะเล่นน้ำเลย(ร้อน)
แวะพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ข้างทาง
น้องหมาที่ตามเรามาตั้งแต่หมู่บ้านที่แล้ว
เจ้าถิ่นสวมแตะคีบแบกของเดินตัวปลิว
หายเหนื่อยแล้วก็ต้องไปต่อ
ดูเหมือนไม่น่าเดินยากนะ แต่บอกเลยว่าแค่นี้ก็ลิ้นห้อยแล้ว
แม้เส้นทางจะดูไม่ยากลำบาก แต่พนักงานออฟฟิศ ที่วันๆนั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องแอร์อย่างพวกเรา เจอทางชันนิดหน่อยก็ลิ้นห้อย ขอตัวหยุดแวะพักอยู่ตลอดทาง ไม่อยากคิดว่าถ้าต้องแบกเป้เดินเอง ชีวิตจะชิบหายขนาดไหน
แก๊งแฟนต้าแวะพักดื่มน้ำดับกระหาย
ลักซ์มาน ชาตรี เดอะแบกของทริป
เดินเลาะกำแพงหินของชาวบ้าน
ยังกะเดินทางไกลค่ายลูกเสือ
นาข้าว น่าจะข้าวฟ่างของชาวบ้าน
ม้าแคระตัวสีขาว น่ารักดี
นาขั้นบันไดบนเนินเขาอีกฝั่ง
เดินมาสักพักเริ่มเหลือแต่แก๊งพวกเราสี่คน มองไปรอบตัวเห็นแต่ภูเขากับนาขั้นบันได
นี่พวกเราเดินกันมาไกลขนาดไหนแล้วนะ?
แม้จะเดินช้า หาเรื่องหยุดพักเหนื่อย แสร้งทำเป็นถ่ายรูปอยู่ตลอดเส้นทาง แต่ลักซ์มานก็ไม่ย่อท้อ เดินนำพวกเราไปยืนรออยู่ไกลๆ เพื่อเป็นการกดดันให้พากันเดินต่อ
หยุดดูน้องม้า ยืนเล็มหญ้าซะเตียนเลย
แวะถ่ายรูปไปเรื่อย
เด็กๆเล่นน้ำในลำธารที่เต็มไปด้วยโขดหิน
นาขั้นบันได้ติดริมธาร
เมื่อเดินมาถึงบ้านเล็กๆริมทางหลังหนึ่ง และแล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น ลักซ์มานเรียกพวกเราเดินเลี้ยวเข้าไปในร้าน และบอกข่าวดีกับพวกเราว่า ว่ามื้อเที่ยงเราจะกินอาหารกันที่นี่
ก้มมองเวลา เข็มสั้นนาฬิกาเลยเลขสิบสองมาเกือบจะชั่วโมง เจ้าเพื่อนคงวางแผนไว้แล้วว่า มื้อเที่ยงจะมาฝากท้องไว้ที่ร้านแห่งนี้ แต่พวกเราก็เอ้อระเหยกันจนเกือบเลยเวลา
ชวนลักซ์มานดูภาพที่พวกเราถ่ายในกล้อง
อาหารมื้อนี้ของเรา
พี่อิ๋วกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย 555
ต้นไม้ตระกูลส้มข้างร้านอาหาร เอ๊ะ หรือว่ามะกรูดยักษ์
สอนลักซ์มานถ่ายรูป เลยได้ภาพเหล่านี้มา
ได้พักผ่อนเติมพลัง ก็มีแรงเดินต่อ
บนทางเดินยาวไกลแห่งนี้ ชายชราญี่ปุ่นคนหนึ่งได้สอนบทเรียนอันมีค่าแก่เรา
เดินมาเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวอีกช่วงหนึ่ง
การเดินทางในช่วงแรก เราเดินตีคู่ไปกับชายสูงวัยญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้ยินเสียงลมหายใจหอบของเขา แม้จะดูถี่แต่ก็สม่ำเสมอ เขาค่อยๆเดินไปบนพื้นลูกรังด้วยช่วงก้าวที่สั้น
ทีละนิด ทีละนิด เหมือนเด็กหัดเดิน
ทางเดินเริ่มชันขึ้น สงสัยกำลังคิดว่าจะไปต่อดีมั้ย
พวกเราเร่งสปีดเดินแซงเขาไปไกลหลายช่วงตัว ตามประสาวัยรุ่นที่ยังมีแรง
แต่ทุกครั้งที่พวกเราหยุดพัก ก็จะเห็นคุณตาคนนี้เดินในจังหวะเดิม ผ่านหน้าพวกเราไปอยู่เสมอ เหตุการณ์นี้เรานำมาเป็นบทเรียนสอนตัวเอง
ทุกครั้งที่เหนื่อย ใจร้อนเร่งสปีดอยากให้ถึงไวๆ พอนึกถึงคุณตาคนนี้ขึ้นมา ก็รู้สึกตัว ใจเย็นลง ค่อยๆปรับจังหวะการก้าวให้สม่ำเสมอ ไม่เร็วเกินประสิทธิภาพของร่างกายที่มี เราฝึกตัวเองแบบนี้ไปตลอดทาง จนช่วงหลังร่างกายก็เริ่มปรับสภาพได้
มองมาจากข้างล่างนึกว่าจะเจอทางราบ แต่เปล่าเลย หือ T^T
นี่เราเดินข้ามเขามากี่ลูกแล้วนะ
พี่อิ๋วบอกว่ายังไหว
เดินมาเจอกำแพงหินจุดนี้ถึงกับต้องหยุดถ่ายรูป ไม่ใช่อะไรหรอก คือเหนื่อยน่ะ
ล้อเล่น คือมันสวยมาก มีต้นไม้เล็กๆแทรกออกมาจากกำแพงหิน ดูแล้วน่ารักดี
แต่ถึงกระนั้นเมื่อเดินมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ขาของเราก็แทบก้าวไม่ออกเสียแล้ว รู้สึกถอดใจ สมาชิกเริ่มสะกิดกันหยุดพัก ออกไอเดียชวนกันค้างกันคืนแรกเสียซะที่นี่ แต่ลักซ์มานไม่อนุมัติ บอกว่าเราต้องไปกันต่อ ก็คงคำนวณแผนการเดินทางเอาไว้ให้พวกเราแล้วนั่นแหละ
แต่ก็นะ เหนื่อยชิบหาย
โชคดีที่ด้านบนของบันไดหินที่พวกเรากำลังไต่ขึ้นไป
ด้วยแข้งขาที่แทบจะยกไม่ไหว มีลูกแพ้ตัวเล็กฝูงหนึ่งกระโดดดึ๋งๆ วิ่งขึ้นวิ่งลงรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่
ความน่ารักของพวกมัน ทำให้เราลืมความเหนื่อยไปเสียสนิท รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ท่ามกลางลูกแพะตัวเล็กที่วิ่งวนไปพร้อมกับร้องแบะๆ หน้าบ้านสีฟ้าหลังหนึ่งที่ตั้งยื่นออกไปนอกไหล่เขา
ขอบคุณเจ้าแพะตัวน้อย
ที่ทำให้รู้สึกมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง
สภาพคนที่เริ่มจะเดินไม่ไหวแล้ว
บ่ายคล้อยแล้ว ยิ่งเดินสภาพภูมิประเทศก็ยิ่งเปลี่ยน จากพื้นดินลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่น แปรเปลี่ยนไปเป็นภูเขาชื้น เริ่มเห็นต้นไม้จำพวกมอสและเฟิร์นขึ้นอยู่ตลอดสองข้างทาง
ทางเดินปูด้วยหินที่ทั้งสงบและลึกลับ
อากาศเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าบ่ายแก่ที่ควรจะเจิดจ้า ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ทางเดินที่ปูด้วยหินภูเขาทอดตัวยาวอยู่เบื้องหน้า บนเส้นทางที่มีคนสัญจรอยู่เพียงไม่กี่ชีวิต มันให้ความรู้สึกเงียบสงบและลึกลับไปในคราวเดียวกัน
ข้ามสะพานแขวนที่มีธารลึกอยู่เบื้องล่าง
ลำธารเล็กๆเบื้องล่าง
พื้นสะพานที่พวกเราข้าม
ก่อนจะถึงจุดหมายที่พักในคืนแรก ซึ่งลักซ์มานบอกว่าเหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้ว เราก็กลับมารู้สึกมีกำลังใจอีกครั้ง ก่อนจะพบกับความจริงว่า
ที่ว่าไม่ไกล
ไม่ได้หมายความว่าไม่ชัน
เงยหน้ามองขึ้นไปบนบันไดหินตรงหน้าจนคอเกือบตั้งฉากกับบ่า ทำได้แค่สบถในใจ แล้วก้มหน้าก้มตารีบปีนขึ้นไป เพราะเมฆฝนกำลังไล่หลังพวกเรามา
ความกว้างของขั้นบันไดก็ทำมาได้แบบมินิมอล ประหยัดพื้นที่ ก้าวก็แต่ละทีเสียวสันหลังวาบ ดีที่ฝนยังไม่ตก ไม่งั้นคงได้ลื่นหัวทิ่ม ตกลงไปกองอยู่กับพื้นด้านล่าง
วิวมุมบน หลังจากที่ปีนบันไดชันขึ้นมาได้สำเร็จ
ปีนขึ้นมานั่งพักได้ไม่นาน ฝนก็ทำท่าว่าจะเท เรารีบเดินต่อจนมาเจอคุณลุงชาวเนปาลผู้หนึ่ง กวักมือเรียกพวกเราเข้าไปนั่งหลบฝน ในที่พักสีฟ้าที่มีชื่อว่า Annapura view point
แกยิ้มให้เราอย่างอัธยาศัยดี ชักชวนให้เราพักค้างคืนในที่พักของแกที่นี่
แต่ว่าคืนนี้เราแอบลอกการบ้านคนในพันทิปมาแล้ว ข้างๆกันมีที่พักที่ชื่อ Pratab ตั้งอยู่ เค้าบอกว่าที่นั่นมีน้ำอุ่นให้อาบ เราเลยปักหมุดเอาไว้
หมู่บ้านที่ตั้งอยู่เนินเขาฝั่งตรงข้าม
ไม่นานพี่อิ๋วกับลักซ์มานก็ตามมาถึง ก่อนออกไปรวมกัน เราแอบถามคุณลุงว่า ที่นี่มีน้ำอุ่นให้อาบไหม เพราะความจริงที่พักของแกก็บรรยากาศดีใช้ได้ เพียงแต่วันนี้เดินฝ่าฝุ่นดินลูกรังมาทั้งวัน อยากจะอาบน้ำให้สบายตัวเสียหน่อย
น่าเสียดายที่ที่พักของคุณลุงไม่มีน้ำอุ่นเอาไว้บริการ พวกเราเลยต้องขอตัวย้ายไปที่พักที่ตั้งใจไว้แต่ต้น
ถึงแม้ที่พักที่เราเลือกจะมีน้ำอุ่นเอาไว้บริการ แต่เอาเข้าจริงมันแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย ด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วในช่วงค่ำ เราทำได้แค่วิ่งผ่านน้ำให้พอรู้สึกไม่คันตัว เป็นคืนแรกที่ได้ดึงเสื้อกันหนาวในกระเป๋ามาใส่นอน
คืนนี้เราสั่งโมโม่(อีกแล้ว) ผัดหมี่ซั่วเนปาลเส้นแข็งๆ เพราะอากาศเย็น และซุปเห็ดมากินในราคาประมาณ 1000RS รู้สึกเหนื่อยมากจนกินไม่ลง แต่ก็ต้องฝืนกินเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้
นั่งพักแข้งพักขาหลังจากกินข้าวเสร็จ คุยกันไปสักพักก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว ดูนาฬิกาบอกเวลา 21.05น. คงต้องพากันแยกย้ายไปนอนเอาแรง หวังว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาระบบขับถ่ายจะทำงาน กินแต่อาหารแป้งๆแห้งๆมาหลายวัน เริ่มรู้สึกอึดอัดท้องมากแล้วจริงๆ
ติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้จ้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา