29 ส.ค. 2023 เวลา 10:23 • สิ่งแวดล้อม

จัดกลุ่มตามสภาพ

เงื่อนไขในการปรับชะตา แท้จริงแล้ว ก็เป็นการปรับให้ชะตาของบุคคลหรือสถานที่เป้าหมาย เข้าไปสอดคล้องหรือตรงกับ กลุ่มสภาพที่ต้องการ โดยกลุ่มสภาพดังกล่าว ก็คือ กลุ่มสภาพของความรุ่งเรือง ร่ำรวย หรือ ราบรื่น สุดแล้วแต่ เงื่อนไขเริ่มต้นในการปรับชะตาจะกำหนดไว้ ซึ่งทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นกับเกณฑ์ชะตาของเป้าหมาย ที่จะได้รับการปรับแก้ เนื่องจากกลุ่มสภาพที่ต่างกัน จะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
และความพยายามที่จะแข็งขืน จะก่อให้เกิดสภาวะที่ว่างจากกลุ่มสภาพทั้งหลายโดยสิ้นเชิง มองในแง่ของชะตากรรมแล้ว ก็อาจเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มสภาพที่ไร้ชะตา เพราะจะไม่มีพลังปราณไม่ว่าจากฐานันดรปราณ หรือ กลุ่มสภาพปราณใด เข้าไปในเป้าหมายปรับชะตานั้น ซึ่งทางวิชาเรียกสภาวะนี้ว่า การชิงสภาพ
บทนำ
(Introduction)
เพื่อที่ทำการปรับชะตาให้เข้าสู่กลุ่มสภาพที่ต้องการ ก็ต้องกระทำผ่านหลักวิชาทั้งหลาย ที่มีการบัญญัติไว้ในศาสตร์แห่งการปรับชะตา โดยหลักวิชาทั่วไปที่ใช้ในการปรับชะตานั้น จะประกอบไปด้วยสองส่วนหลักๆ คือ ส่วนที่ใช้ในการอ่านหรือถอดรหัส ที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงชะตาเกิด รวมไปถึงภาพลักษณ์ หรือคุณลักษณะที่เจ้าชะตา แสดงออกมาที่ภายนอก ส่วนที่สองก็คือหลักวิชาที่ใช้ในการแก้ไข ปรับเปลี่ยน และชักนำให้ดวงชะตา เป็นไปในแนวทางที่ต้องการ หากจะถามถึงลำดับความสำคัญ ก็ต้องบอกว่า
หลักวิชาทั้งสองส่วนนี้มีความสำคัญ ที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เนื่องจากว่าหากท่านไม่มีหลักวิชา ในการถอดรหัสที่ดีพอ ผลการอ่านความหมายของชะตากรรม ย่อมไม่สมบูรณ์ครบถ้วน กรณีเลวร้ายที่สุด ก็อาจเกิดความผิดพลาด จากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นเพียงการทำนาย หรือพยากรณ์เรื่องราวเท่านั้น ก็ยังไม่ถือว่า เป็นปัญหาร้ายแรงแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามหากผลลัพธ์ ในการถอดรหัสที่ผิดพลาดนั้น ถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับชะตา ในกรณีนี้มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นความเสียหาย ขั้นร้ายแรงชนิดที่คาดคิดไม่ถึงทีเดียว
Group by condition
จากเหตุผลข้างต้น จึงกลายมาเป็นคำตักเตือน ที่จะละเลยไม่ได้ นั่นคือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนรู้การปรับชะตาชีวิต จำเป็นต้องให้ความสำคัญ ต่อหลักวิชาทั้งสองส่วนอย่างจริงจัง ไม่ละเลยเรียนรู้แค่ผิวเผินแล้วนำไปปฏิบัติ โดยการปรับชะตาให้ผู้อื่น เพราะมันมีแต่ผลเสียเพียงสถานเดียว ขั้นต่ำสุดก็อาจเป็นเพียงการกระทำที่ไม่เป็นผล ซึ่งย่อมสร้างความเสื่อมเสีย ทำให้ผู้คนที่รับรู้เกิดความสิ้นศรัทธา และมองว่าหลักวิชาเหล่านี้ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
แต่ถ้าถึงขั้นทำผิดพลาด จนทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้น กรณีนี้ต้องบอกว่า สามารถส่งผลเสียหาย ทั้งในระดับของทรัพย์สิน และชีวิตได้ไม่น้อยทีเดียว ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ฝึกวิชาแพทย์ไม่ถึงขั้น และไปทำการรักษาอาการ เจ็บไข้ได้ป่วยของผู้อื่น ถ้าผลการรักษาผิดพลาดร้ายแรง ไม่เพียงไม่สามารถช่วยรักษาคนไข้ได้ แต่อาจกลายเป็นการซ้ำเติม ให้ผู้ป่วยต้องทรุดหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้
กระแสพลังปราณ
(Stream of Prana)
อาจมีคำถามว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เกิด ความเสียหายร้ายแรงดังกล่าวได้ ก็ต้องตอบว่า เพราะมันเป็นการเข้าไปก้าวก่าย กับพลังของธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน หากจะเปรียบกับระบบการทำงานของอวัยวะ ภายในร่างกายของผู้คนก็ไม่ผิดนัก ตามหลักวิชาโบราณที่ผ่านการเฝ้าสังเกตุ และคิดค้นมาหลายชั่วคนล้วนพบเห็นตรงกันว่า ร่างกายมีกระแสปราณที่ไหลเวียน ช่วยให้ระบบอวัยวะทั้งหมด ทำงานได้เป็นปกติ และเมื่อใดที่กระแสปราณนี้เสียสมดุลย์ ไหลเวียนไม่ได้
จากสภาวะการอุดตัน หรือตัดขาด ก็จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายล้มเหลว จนเป็นสาเหตุของ การเจ็บไข้สารพัดอาการ ดังนั้นในภาพที่กว้างขึ้น โบราณชนก็เชื่อว่า ธรรมชาติก็มีกระแสปราณ ที่หมุนเวียนหล่อเลี้ยง อยู่ทั่วไปเช่นกัน และหากสถานที่ใด ที่กระแสปราณเหล่านี้ เกิดอาการขัดข้อง ก็จะส่งผลให้ดุลยภาพของธรรมชาติ ในส่วนนั้นเกิดความเสียหาย และกลายเป็นภัยพิบัตินานัปการในที่สุด
Stream of Prana
ปราณที่ว่านี้หากจะมองในมุม ของวิทยาศาสตร์กายภาพปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า เป็นกระแสของพลังงาน ที่เกิดจากอิทธิพลองค์ประกอบของ การหมุนรอบตัวเองของโลก สนามแม่เหล็กที่ปกป้องอยู่รอบโลก รวมไปถึงอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดที่มีต่อกัน ระหว่างเทหวัตถุในอวกาศ นับแต่ดวงจันทร์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด รวมไปถึงดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งหลายในจักรวาล อิทธิพลจากปรากฏการณ์ธรรมชาติเหล่านี้นั่นเอง ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกระแสปราณขึ้นทั่วโลก ทั้งในมหาสมุทรและแผ่นผืนทวีป
และล้วนส่งผลต่อสนาม และกระแสปราณที่ไหลเวียน อยู่ในตัวของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในตัวมนุษย์ และสัตว์ที่มีอะตอม ของธาตุเหล็กอยู่ในเลือด เมื่อหัวใจสูบฉีดโลหิต ย่อมเกิดแรงดันที่พัดพาให้กระแสเลือดเคลื่อนไหวไปทั่วร่าง ผลการเคลื่อนไหวนี้เอง ที่ทำให้อะตอมของธาตุโลหะในเลือด โดยเฉพาะอะตอมของธาตุเหล็ก เกิดการเสียดสีกัน จนก่อเกิดเป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนๆ ปรากฏขึ้นปกคลุมไปทั่วร่าง โดยมีชื่อเรียกว่าสนามปราณ หรือที่หลายคนรู้จักกันในนามของออร่า
อิทธิพลพลังปราณ
(Prana influence)
ในส่วนของสิ่งไม่ชีวิตนั้น ก็มีสนามปราณเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะภายในองค์ประกอบของวัตถุสิ่งของเหล่านั้น ก็ล้วนประกอบไปด้วยอะตอมของธาตุต่างๆ ซึ่งย่อมได้รับผลกระทบจากกระแสปราณ ที่เกิดจากอิทธิพลขององค์ประกอบต่างๆ ในธรรมชาติดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ในขณะที่วัตถุธาตุบางอย่างยังมีโครงสร้าง ที่สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นสนามปราณที่มีกำลังสูง อาทิเช่น พวกคริสตัล หรือรัตนชาติทั้งหลาย เนื่องจากมีการจัดเรียงตัว ของโครงสร้างผลึกภายใน
ซึ่งสอดรับและไวต่อการตอบสนอง ต่อสนามปราณของธรรมชาติ หรือของโลก จนทำให้เกิดการสั่นสะเทือน และสร้างเป็นสนามปราณที่มีกำลัง จากการสังเกตุ และบันทึกอย่างเป็นระบบ ของโบราณชนที่ผ่านมา ก็ได้ยืนยันการใช้งานคริสตัล หรือรัตนชาติเหล่านี้ไว้ในหลายกรณี โดยเฉพาะในปัจจุบันก็มีการศึกษากัน อย่างกว้างขวางมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งของการสั่นสะเทือนของคริสตัล ที่ถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีปัจจุบัน ก็คือการใช้แรงสั่นสะเทือนของคริสตัล ช่วยในการให้จังหวะการทำงาน ภายในอุปกรณ์อิเลคทรอนิคต่างๆ เช่น นาฬิกาดิจิตอล เป็นต้น
Prana influence
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ต้องการแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ได้รู้จักสนามหรือกระแสปราณ ที่มีพลังและสามารถส่งอิทธิพล ต่อสรรพสิ่งในโลกแห่งนี้ ด้วยหลักการนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า การปรับชะตาชีวิตของผู้คน ก็คือการหาทางโน้มนำ ให้คนเหล่านั้นดำเนินไปตามทิศทาง ที่กำหนดไว้เป็นเป้าหมาย และสิ่งที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ในการชี้นำดังกล่าว ก็คือสิ่งที่สามารถส่งอิทธิพล ต่อพวกเขาเหล่านั้น และสนามปราณก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพในเรื่องนี้ และเป็นที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณกาล
เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป ในธรรมชาติเป็นปกติ จึงย่อมครอบคลุมพฤติกรรมทั้งหลาย ของสรรพสิ่งรวมถึงผู้คนด้วย ดังนั้นหากสามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจในบทบาท และกลไกการทำงาน ของปราณเหล่านี้ รวมไปถึงผลกระทบ ที่จะมีต่อผู้คนและสังคม ก็ย่อมสามารถนำพลังงานตามธรรมชาติเหล่านี้ มาทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคน ซึ่งย่อมจะส่งผลสะท้อนไปยังชะตาชีวิต ความเป็นอยู่ของพวกเขาโดยปริยาย
กลุ่มสภาพพลังปราณ
(Prana condition group)
เมื่อเข้าใจเรื่องของปราณ ในแง่มุมของการกำเนิด องค์ประกอบ และปฏิสัมพันธ์ที่มีต่อสรรพสิ่งแล้ว ต่อไปก็จะพูดถึงประเภท และพฤติกรรมของปราณเหล่านี้ เรามาเริ่มกันที่ประเภทของปราณก่อน ตามหลักวิชาของจีนโบราณได้แบ่งพลังของธรรมชาติออกเป็นสองส่วน คือพลังบวกหรือหยาง และพลังลบหรือหยิน เมื่อหยางเป็นแสงสว่าง หยินก็คือความมืด หยางเปิดเผย หยินจะซ่อนเร้น หยางรวมศูนย์ หยินแตกกระจาย นี่คือลักษณะของขั้วพลังทั้งสองในธรรมชาติ
ปราณทั้งหลาย จึงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน โดยถือว่า ปราณหยางนั้นจะส่งผลต่อคนเป็น ขณะที่ปราณหยินจะส่งผลต่อคนตาย เพราะปราณหยางหมายถึงชีวิต และปราณหยินหมายถึงการสิ้นสูญ เพราะฉะนั้นการใช้ปราณ อย่างเหมาะสมต่อสถานภาพของมัน ย่อมสอดคล้องกับความกลมกลืนของธรรมชาติ และสัมพันธ์กับหลัก สรรพสิ่งจับกลุ่มตามสภาพ ได้อย่างสมบูรณ์
Prana condition group
และด้วยหลักการดังกล่าว ปราณหยางจึงย่อมเข้าหาสภาพที่มีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉงและกระตือรือร้น ขณะที่ปราณหยินจะเข้าหาสภาพที่สงบนิ่ง เก็บงำซ่อนเร้น ซึมเซาและไร้ชีวิต ดังนั้นเมื่อท่านต้องการให้สถานที่ หรือตนเองมีบทบาทไปในทางใด ก็สามารถเลือกใช้สนาม หรือกระแสปราณที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น หากท่านต้องการให้ชีวิต มีความกระตือรือร้น ก็ต้องจัดเตรียมสถานที่ให้สอดคล้องกับพลังของปราณหยาง ด้วยการใช้รูปทรงสีสัน ที่แลดูกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา
และด้วยวิธีการนี้เมื่ออาศัยหลักสรรพสิ่ง จัดกลุ่มตามสภาพข้างต้น ก็ย่อมสามารถดึงดูดปราณหยางเข้ามาสถิตได้ และเมื่อมีกระแสปราณเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ ก็ย่อมเกิดผลสะท้อนย้อนกลับ ทำให้คนที่อยู่เกิดพฤติกรรม ที่มีความกระตุ้นเร่งเร้า เกิดเป็นความกระตือรือร้นตามไป ในทางตรงกันข้ามหากต้องการ ให้เกิดความสงบนิ่งเงียบงัน ก็สามารถจัดเตรียมสถานที่ ให้อยู่ในโทนสีที่สงบเย็น เพื่อดึงดูดปราณหยิน เข้ามาครอบงำตนเอง ให้จมอยู่กับความสงบวิเวกตามที่ต้องการด้วยหลักการเบื้องต้นที่กล่าวมานี้
การชักนำพลังปราณ
(Induction of Prana)
โดยอาศัยหลักสรรพสิ่งจัดกลุ่มตามสภาพ ท่านผู้อ่านคงจะพอมองเห็นหนทาง ในการปรับเปลี่ยนพฤิตกรรมของตนเอง และผู้คนทั้งหลายได้บ้างแล้ว หากต้องการให้ตนเอง หรือคนเหล่านั้นเกิดบทบาทเช่นไร ก็เพียงปรับแต่งสถานที่ ให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น เพื่อดึงดูดกระแสปราณ ที่ต้องการเข้ามาสถิต และกระแสปราณที่มารวมตัวกันนี้ ก็จะก่อเกิดเป็นสนามปราณที่ครอบงำ และชักจูงผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพล ของสนามดังกล่าว ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันกับบทบาทของ สนามปราณแต่ละประเภทนั้น
ส่วนจะชักนำพลัง และจัดสถานที่อย่างไร อันนี้ต้องมาทำความเข้าใจ ในส่วนของพฤติกรรมของปราณ หรือพลังพื้นฐานของธรรมชาตินี้กันก่อน โดยนักปราชญ์ชาวจีนโบราณ ที่เฝ้าติดตามศึกษาธรรมชาติ ได้ค้นพบว่า ปราณที่เคลื่อนไหวจะถูกเรียกว่า เป็นกระแส ขณะที่บริเวณที่ปราณ มารวมตัวกันอยู่นั้นจะเรียกว่า สนาม โดยค้นพบว่า กระแสปราณจะเกิดจากการพัดพาของสายลม ขณะที่สนามปราณจะเกิดจากการเก็บกักของสายน้ำ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำเรียกหลักวิชาว่า ฮวงจุ้ย หรือฟงสุ่ย โดยฮวงหรือฟงก็คือสายลมนั่นเอง ส่วนจุ้ยหรือสุ่ยก็คือสายน้ำดังกล่าว
Induction of Prana
แต่ความจริงในรายละเอียดของการปฏิบัติ ผู้เขียนต้องขอเพิ่มเติมว่า การชักนำหรือดึงดูดปราณให้เข้ามาหานั้น ยังสามารถใช้เหตุปัจจัยได้อีกหลายสิ่ง ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทของปราณ โดยจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป ส่วนในเบื้องต้นนี้ เมื่อต้องการหาปราณ ให้มองหาทิศทางการเคลื่อนไหวของสายลม และเมื่อต้องการเก็บปราณไว้ก็ต้องมองหาแหล่งน้ำ ในหลักวิชาทางภูมิพยากรณ์ ซึ่งบางท่านอาจเรียกว่า ตี่ลี่ ก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ ในการสังเกตุทิศทางของกระแสลม และน้ำในการพิจารณาเลือกเฟ้นชัยภูมิ ซึ่งมีปราณที่ตนต้องการ
โดยการท่องเที่ยวสำรวจไปตาม หุบเขาลำน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่า สภาพธรรมชาติดั้งเดิม ที่ยังไม่ถูกรบกวน และมีความเป็นธรรมชาติ ที่สมบูรณ์นั้นมีเหลืออยู่น้อยมาก เนื่องจากปัญหาการเพิ่มของจำนวนประชากรโลก จึงทำให้เกิดเมืองใหญ่ หรือมหานครรุกรานเข้าไป ในพื้นที่ธรรมชาติดั้งเดิมนั้น จนเกือบหมด แต่กระแสปราณก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่การมองหา อาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีและแนวทางไปบ้าง
การควบคุมพลังปราณ
(Control of Prana)
จากธรรมชาติเดิมที่กระแสลม จะเคลื่อนไหวซอกซอน ไปตามหุบเขาและแนวไม้ ปัจจุบันก็กลายมาเป็นซอกตึกอาคาร และถนนหนทางแทน การเปลี่ยนแปลงนี้แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการรบกวนและทำลาย ดุลยภาพของธรรมชาติดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างสรรค์ขึ้น เป็นสมดุลย์แบบใหม่ และแน่นอนพฤติกรรมของกระแสปราณ ก็ย่อมแปรเปลี่ยนตามไป ข้อดีที่อาจพอมีอยู่ก็คือ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น
ทำให้มนุษย์สามารถสร้าง แนวควบคุมกระแสปราณ และแหล่งเก็บกักสนามปราณได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคอยมองหาโครงสร้างชัยภูมิ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น แต่ข้อเสียก็มีไม่น้อยเช่นกัน นั่นคือผลของการสร้างขึ้นได้ จึงเกิดการแย่งชิงแข่งขัน จนทำให้กระแสปราณ ที่มีอยู่ถูกปนเปื้อน และทำให้เสียสภาพไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยโครงสร้างที่แข็งกระด้าง และความสับสนไร้ระเบียบในสังคมมนุษย์
Control of Prana
เพื่อให้ผู้คนในปัจจุบันที่มีความสนใจ ในเรื่องของพลังธรรมชาติดังกล่าว มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น บทความนี้จึงถูกเขียนขึ้นมา เพื่อให้หลักการ และแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ท่านผู้อ่านสามารถ ควบคุมกระแสและสนามปราณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้เกิดภาวะการเสื่อมสภาพ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สามารถรักษาคุณภาพของปราณที่ต้องการ ไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง เพื่อที่จะเข้าใจหลักการดังกล่าวนี้ จึงต้องขอย้อนไป ทำความเข้าใจในเรื่องของ สรรพสิ่งจัดกลุ่มตามสภาพ กันให้ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา
เพื่อขยายความในหลักการข้อนี้ ก็จะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม จากคำกล่าวที่ว่า อยากเป็นเศรษฐีต้องคบเศรษฐี คำพูดนี้มีความหมายสอดคล้องกับหลัก สรรพสิ่งจัดกลุ่มตามสภาพข้างต้นเป็นอย่างดี เมื่อท่านต้องการเป็นคนที่ร่ำรวย สิ่งแรกที่ท่านต้องทำคือ พยายามทำสภาพแวดล้อม ทั้งสถานที่อยู่ และตัวท่านเองให้เหมือนคนรวย กรณีนี้ไม่ได้หมายความว่า ท่านต้องมีเงินมีทองมั่งคั่งขึ้นในทันทีทันใด ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ปรับเปลี่ยนตามกลุ่มสภาพ
(Adjust according to condition group)
คำถามประการแรกในกรณีนี้จึงอยู่ที่ว่า คนรวยคือคนประเภทใด และพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างไร ก็ต้องบอกว่า บ้านที่อยู่อาศัยของพวกเขาย่อมโอ่โถงหรูหรา แลดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะที่ตัวเขาเองก็จะแต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูดี มีความสะอาดและสง่าผ่าเผย แน่นอนที่เขาทำเช่นนั้นได้ก็เพราะมีเงินทองที่จะซื้อหา แต่โดยอาศัยหลักการ จัดกลุ่มตามสภาพดังกล่าว
เราก็สามารถเลียนแบบเขาได้ไปทีละขั้น สิ่งแรกที่ต้องทำ เพื่อดึงปราณมงคลแบบเดียวกับ ที่พวกเศรษฐีมีให้มาสถิตในบ้านและตัวเรา ก็คือ การจัดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบไม่รกรุงรัง เสื้อผ้าที่ใส่ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพง แต่ให้สะอาดและดูดีมีความเหมาะสมตามฐานานุรูปของตน ไม่ต้องถึงกับฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม และกระทำตัวเกินกำลัง ที่ตนพึงมีพึงได้แต่อย่างไร ด้วยวิธีการนี้ ย่อมรับประกันได้ว่า ปราณที่เป็นพลังมงคล ดังที่พวกเศรษฐีมีย่อมไหลเลื่อน เข้ามาสถิตในบ้านที่อาศัย และรายล้อมอยู่รอบตัวเราเช่นกัน
นี่เรียกว่า เริ่มต้นเข้าพวก และผลที่ได้เมื่อมีปราณดีเข้ามาก่อตัว เป็นสนามปราณไว้ภายในบ้านแล้ว ก็ย่อมส่งอิทธิพลโน้มนำให้เราเป็นคนมีความกระฉับกระเฉง มีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจที่ดีและแขงแกร่ง สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ มีโลกทัศน์มุมมองที่เปิดกว้าง เหมือนที่พวกเศรษฐีมี ไม่ช้าด้วยพฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนไป ตามสนามปราณดังกล่าวนี้ ย่อมสามารถชักนำให้ท่าน ค่อยก้าวย่างสู่ความเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย และเจริญรุ่งเรืองได้ในที่สุด
Adjust according to condition group
อีกวิธีหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่า เป็นทางลัดหรือวิธีเสริมก็คือ การพยายามเข้าไปอยู่ในสถานที่ ซึ่งได้จัดทำไว้ดึงดูดกระแสปราณที่ดี ให้เข้ามาอยู่รวมกันจนก่อเกิดเป็น สนามปราณที่มีพลังอันเป็นมงคล ก็สามารถส่งอิทธิพลในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมของเราได้ไม่น้อยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ที่มีการจัดแต่งสถานที่ อย่างโอ่โถงหรูหรา
เป็นที่ซึ่งคนรวยๆ จะมาเดินซื้อหาข้าวของ แม้เราจะไม่ได้เข้าไป จับจ่ายเหมือนพวกเขา แต่ก็สามารถเข้าไป ร่วมรับทราบในส่วนของพลัง และให้สนามปราณเหล่านั้น โน้มนำปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และโลกทัศน์มุมมองของเราได้เช่นกัน นี่เรียกว่า อิงกระแสเพื่อสร้างกระแส
บรรยากาศรุ่งเรือง
(Prosperous atmosphere)
พูดถึงเรื่องนี้ก็จะขอขยายความเพิ่มเติมไปในอีกระดับหนึ่ง สำหรับคนที่เข้าไปเช่าร้านค้าอยู่ภายในห้าง ที่มีการจัดแต่งสนามปราณรุ่งเรืองระดับสูง ก็ย่อมได้รับผลตอบแทนจาก อิทธิพลดังกล่าวไม่มากก็น้อยเช่นกัน ตามหลักวิชาจะถือว่า ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ได้ 80% ขณะที่ผู้เช่าจะได้ในสัดส่วน 20% เช่นเราไปเช่าสถานที่ในห้าง หรือสำนักงานในอาคาร กรณีนี้ถ้าดูตามตัวเลขก็อาจจะรู้สึกว่าน้อย
แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง หากสถานที่นั้นเป็นสนามปราณ ที่รองรับพลังระดับพันล้าน ผู้ที่เช่าย่อมได้รับส่วนแบ่งถึง 200 ล้าน นี่ก็ต้องถือว่าไม่น้อยแล้ว ด้วยหลักการเดียวกันนี้ การจะเข้าไปอิงกระแส เพื่อสร้างกระแสของตน จึงใช้ได้โดยไม่ต้องไปเริ่มต้น ลงหลักปักฐานตั้งแต่ต้นด้วยตนเอง เพียงแต่มองหาสถานที่ ซึ่งมีสนามปราณที่รุ่งเรือง ก็สามารถเข้าไปสร้างความผูกพัน กับพลังได้ตามสมควรด้วยตัวท่านเอง
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแนะนำให้ลองสังเกตุกันดูก็คือ หากท่านได้มีโอกาสเข้าไปเดินในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ แหล่งจับจ่ายซื้อหาสิ่งของสำหรับคนรวย ท่านจะพบว่า มีการตกแต่งสถานที่อย่างหรูหราอลังการแตกต่างกันไป แต่มีหลายสิ่งที่เหมือนๆ กันก็คือ แสงสว่างเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ความแวววาวของโลหะ กระจกใส โคมไฟคริสตัล ต้นไม้เทียม หรือเจกันดอกไม้ ตลอดถึงของประดับทั้งหลาย ที่เป็นงานศิลป์อันวิจิตรงดงาม แลดูสอดคล้องกลมกลืน กับบรรยากาศโดยรอบ
Prosperous atmosphere
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการชักนำพลังของกระแสปราณ ให้โคจรเลื่อนไหลหมุนเวียน อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนั้น ตามหลักวิชาการเก็บพลังรวมปราณ และเคลื่อนย้ายถ่ายเท อาศัยสองหลักการนี้ จึงจะก่อเกิดพลังที่มีชีวิตอย่างแท้จริง เพราะในสนามปราณ ต้องไม่หยุดนิ่งจึงเป็นพลังหยาง ถ้าหยุดนิ่งเป็นหยิน เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ ที่การเคลื่อนไหวของเลือด ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายถ่ายเท ในขณะเดียวกันก็ก่อเกิดสนามปราณขึ้น ปกป้องคุ้มครองร่างกายไว้ด้วย
และจากการทำงานประสานกัน ของสนามและกระแสนี้ จึงทำให้คนผู้นั้นมีสุขภาพ ที่แข็งแรงไม่ป่วยไข้ง่ายๆ ในทางตรงกันข้ามหากบ้านท่านรกรุงรัง มืดคลึ้ม และสกปรก ก็ย่อมไม่สามารถชักนำปราณที่รุ่งเรืองเข้ามาได้ แต่จะดึงดูดเอาปราณหยินที่ซบเซา และเสื่อมโทรมเข้ามาสถิตแทน และพลังลบเหล่านี้ก็จะสร้างอิทธิพลทำให้ ผู้อยู่อาศัยพลอยซบเซาเซื่องซึม และทรุดโทรมตามไปทั้งใจและกาย จึงยากที่จะคาดหวังการมีชีวิตที่ดีและรุ่งเรืองได้
บทสรุป
(Conclusion)
กล่าวโดยสรุป หลักแห่งการจัดกลุ่มตามสภาพนี้ จึงถือเป็นหลักการเบื้องต้น ที่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง จึงจะสามารถเข้าใจหลักการ และวิธีการปรับเปลี่ยนชะตาได้อย่างเห็นผลแท้จริง สรุปแล้ว เมื่ออ่านจบบทนี้แล้ว แม้จะยังไม่มีความรู้อะไรมากมาย ที่ลงลึกไปในหลักวิชา แต่ท่านก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่งแล้ว โดยการหันไปให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัย ทั้งภายในบ้านและรอบบริเวณ
ด้วยการรักษาความสะอาด และติดตั้งแสงสว่างไว้อย่างพอเหมาะ แค่สองสิ่งนี้ก็จะสามารถดึงดูดปราณที่ดี ให้เข้ามาสถิตภายในอาคารบ้านเรือน ของท่านได้แล้ว ส่วนตัวท่านเองก็ควรดูแล ความสะอาดของตัวเอง ให้ดูดีและมีสง่าราษี เพื่อดึงดูดพลังงานที่เป็นปราณหยางรุ่งเรือง ให้เข้ามาสถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา
(มิติทางปัจจัยสภาพ ep.10 จัดกลุ่มตามสภาพ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา