2 ก.ย. 2023 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

รู้จัก ‘จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์’ เจ้าของ Esso ชายผู้ขายน้ำมันจนรวยที่สุดในโลก

คนไทยคงคุ้นเคยกับปั๊มเสือ Esso โดยเฉพาะคนที่เกิดทันยุค 60-70 ต้องเคยได้ยินสโลแกน ‘จับเสือใส่ถังพลังสูง’ อย่างแน่นอน
1
เรื่องราวของ Esso มีจุดเริ่มต้นมาจากการควบรวมของ 2 บริษัทคือ Standard oil และ Mobil กลายเป็นบริษัท ExxonMobil ซึ่ง Esso เป็นกิจการในเครือของบริษัทนี้
2
ย้อนกลับไปที่ Standard Oil เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จากการครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 90% ในตลาดสหรัฐฯ
และชายผู้เป็นเจ้าของคือ ‘จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์’ ที่ยังถูกยกย่องจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ และกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของสหรัฐอเมริกา
1
จนถึงขั้นเปรียบเปรยกันว่าร่ำรวยกว่า Elon Musk เสียอีก
1
เรื่องราวความเฉลียวฉลาด ความร่ำรวยมหาศาลที่ถูกเล่าขานซ้ำไปซ้ำมาของเขา
จึงเป็นที่มาของบทความในวันนี้กับการทำความรู้จัก ‘จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์’ เจ้าของ Esso ชายผู้ขายน้ำมันจนรวยที่สุดในโลก
⭐️ ชีวิตก่อนเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน
John D. Rockefeller หรือชื่อเต็มคือ John Davison Rockefeller เขาเกิดในเมือง Richford รัฐ New York ในปี 1839
เขาเกิดในครอบครัวไม่ได้สมบูรณ์แบบ พ่อของเขาเป็นนักต้มตุ๋น เที่ยวหลอกคนไปเรื่อย ๆ ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตกับแม่เป็นส่วนใหญ่
2
John ได้เรียนรู้เรื่องการเงินและการทำบัญชีจากแม่ ทำให้เขามีพรสวรรค์และหัวไวเรื่องเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เพราะคิดคำนวณและจัดการเงิน ๆ ทอง ๆ มาตั้งแต่เด็ก
จึงเป็นพื้นฐานสำคัญให้ John ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ John อายุ 14 ปี ครอบครัวได้พาเขาย้ายไปอยู่ในเมือง Cleveland รัฐ Ohino เขาทำงานเป็นเกษตรกรอยู่ในเมืองนั้น เขาคิดว่างานทั้งหนักและเหนื่อย แถมได้รับค่าแรงอันน้อยนิด ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตัวเองเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ Folsom’s Mercantile College เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ที่นั่น John ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนตัวอักษร การทำบัญชี และการติดต่อธุรกิจการค้า
หลังจากเรียนจบในปี 1855 John เริ่มต้นหางานแต่ก็ถูกปฏิเสธจากหลายบริษัท ท้ายที่สุด มีบริษัทตอบรับให้ John เข้ามาทำงานในตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยนักบัญชี’ ซึ่งบริษัทแห่งนั้นมีชื่อ Hewitt and Tuttle
และที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นเต็มไปด้วยเครื่องเล่นมากมาย ทำให้ John ได้ฝึกฝนและเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชี คำนวณต้นทุนการขนส่ง รวมถึงศิลปะในกาารพูดคุยเจรจาทางธุรกิจ
1
⭐️ เริ่มต้นบทบาทในฐานะนักธุรกิจ
แต่การมีความรู้เยอะไม่เท่ากับการลงมือทำด้วยตนเอง ในปี 1859 John ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองกับพาร์ทเนอร์อีกคนคือ Maurice B. Clark รวมทุนกันเป็นจำนวนเงิน 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในชื่อว่า the Clark and Rockefeller company ซึ่งทำกำไรได้จากการขายเนื้อสัตว์ เมล็ดพืช และหญ้าแห้งให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากสงครามกลางเมืองอเมริกาจึงต้องใช้เสบียงอาหารจำนวนมากเพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพ
ขณะนั้น มีข่าวการขุดบ่อน้ำมันขึ้นเป็นครั้งแรกใน Pennsylvania ทำให้ John เริ่มสังเกตและมองเห็นแนวโน้มความเป็นไปได้ของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตได้ดีในขณะนั้น
John ตัดสินใจที่จะลงเล่นในธุรกิจใหม่ร่วมกับหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งคือ Samuel Andrews และได้ซื้อหุ้นจาก Clark ทั้งหมดในปี 1865 และตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า Rockefeller and Andrews
แต่หนทางก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะอุตสาหกรรมยังเป็นความใหม่ ราคาจึงยังไม่คงที่เนื่องจากข้อจำกัดของตลาด รวมถึงการต้องแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในเมือง ตอนนั้นเอง Oliver H. Payne จึงเดินเข้ามาในฐานะผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่ง
และพวกเขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil ในปี 1870 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จและมั่งคั่งที่สุดในโลกของ John D. Rockefeller
⭐ ฉลาดเกมส์โกง
ปี 1871 John และพาร์ทเนอร์ได้คิดกลยุทธ์ใหม่ที่จะควบรวมบริษัทกลั่นน้ำมันเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งหมด เพื่อให้กิจการของเขาเติบโตและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เป็นเวลามากกว่าทศวรรษ John ได้เข้าปิดดีลกับบริษัทคู่แข่งหลายแห่ง เพื่อจะทำให้ทุกฝ่ายเป็นที่พอใจ John พยายามยื่นข้อเสนอมากมายเพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นการเสนอหุ้น การให้ตำแหน่งบริหาร และภายในเวลาอันสั้น John ประสบความสำคัญในการควบรวมโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดใน Cleveland ได้ถึง 22 รายจากทั้งหมด 26 ราย
1
ธุรกิจน้ำมันของเขาเติบโตได้ดีจนขยายกิจการไปหลายมลรัฐ มีการรวบรวมกิจการต่างๆ ให้อยู่รวมกันภายในชื่อ The Standard Oil Trust ในปี 1882 โดยมี Standard Oil Company of New Jersey และ Standard Oil Company of New York เป็นสองบริษัทหัวเรือใหญ่ภายในเครือ
3
ในปี 1878 บริษัท Standard oil มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 90% ในสหรัฐฯ จากการมีบ่อน้ำมันถึง 20,000 บ่อ ท่อขนส่งน้ำมันยาว 4,000 ไมล์
1
ทำให้ John Rockefeller จึงกลายเป็นนักธุรกิจน้ำมันวัย 40 ปีและก่อตั้งบริษัทมาเป็นระยะเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้นกลับสร้างกำไรได้มหาศาลจากการกำจัดตัวกลางไม่จำเป็นเพื่อกอบโกยกำไรในธุรกิจให้ได้มากที่สุด
⭐ สลายการผูกขาด - ถูกจัดการโดยภาครัฐ
ปี 1890 มีการเสนอพระราชบัญญัติต่อต้านการผูกขาด (antitrust act) ชื่อว่า The Sherman Antitrust Act เพื่อกำราบการผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งกฎหมายฉบับนี่อนุญาตให้รัฐบาลสามารถแทรกแซงธุรกิจโดยการยกเลิกสัญญาในการควบรวมบริษัทอื่น ๆ ได้
ช่วงแรกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนกระทั่งการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของ Theodore Roosevelt ซึ่งได้ชื่อว่า ‘มือปราบการผูกขาด’ ทำให้บริษัท standard oil เป็นเป้าหมายที่ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด
1
ท้ายที่สุด บริษัทถูกสั่งให้เลิกกิจการและแยกตัวออกเป็นบริษัทอิสระหลายแห่ง บางแห่งก็ยังทำงานร่วมกันและใช้ชื่อ standard oil ตามรัฐที่ตั้งอยู่ บางแห่งก็ได้รวมเข้ากับบริษัทขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา เช่น Standard Oil of New Jursey ก็กลายเป็น ExxonMobil
ในขณะที่บริษัท Standard Oil ดั้งเดิมถูกซื้อโดย British Petroleum (BP) เป็นมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 1987
แม้ว่า Standard Oil จะถูกยกเลิกกิจการไป แต่ John D. Rockefeller ยังคงทำกำไรมหาศาลได้เช่นเดิม จากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เติบโตขึ้นทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นมากไปด้วย
และอุตสาหกรรมน้ำมันยิ่งเติบโตขึ้นไปอีก ผลพวงมาจาก Henry Ford เจ้าของบริษัทรถยนต์ Ford ได้ผลิตรถยนต์ Model T ที่ชนชั้นกลางสามารถเข้าถึงได้ด้วย ส่งผลให้ยอดขายรถในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น และแน่นอนว่าคนใช้รถก็ต้องใช้น้ำมัน
ในช่วงชีวิตบั้นปลาย John ลดบทบาทตัวเองลงในบริษัทและเกษียณตัวเองอย่างเต็มตัวในช่วงหลัง 1890 จนในปี 1916 ชื่อของเขาได้ถูกพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะ ‘มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก’
2
ในปี 1937 John เสียชีวิตในบ้านพักที่รัฐ Florida และได้ฝังศพไว้ที่สุสานเลควิวในเมือง Cleveland อันเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตของผู้ชายคนนี้
ผู้เขียน : ขัตติยาภรณ์ ด้วงแก้ว Political Analyst, Bnomics
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
References :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา