John ได้เรียนรู้เรื่องการเงินและการทำบัญชีจากแม่ ทำให้เขามีพรสวรรค์และหัวไวเรื่องเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เพราะคิดคำนวณและจัดการเงิน ๆ ทอง ๆ มาตั้งแต่เด็ก
จึงเป็นพื้นฐานสำคัญให้ John ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จในอนาคต
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ John อายุ 14 ปี ครอบครัวได้พาเขาย้ายไปอยู่ในเมือง Cleveland รัฐ Ohino เขาทำงานเป็นเกษตรกรอยู่ในเมืองนั้น เขาคิดว่างานทั้งหนักและเหนื่อย แถมได้รับค่าแรงอันน้อยนิด ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตตัวเองเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ Folsom’s Mercantile College เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ที่นั่น John ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนตัวอักษร การทำบัญชี และการติดต่อธุรกิจการค้า
หลังจากเรียนจบในปี 1855 John เริ่มต้นหางานแต่ก็ถูกปฏิเสธจากหลายบริษัท ท้ายที่สุด มีบริษัทตอบรับให้ John เข้ามาทำงานในตำแหน่ง ‘ผู้ช่วยนักบัญชี’ ซึ่งบริษัทแห่งนั้นมีชื่อ Hewitt and Tuttle
และที่แห่งนี้เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นเต็มไปด้วยเครื่องเล่นมากมาย ทำให้ John ได้ฝึกฝนและเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชี คำนวณต้นทุนการขนส่ง รวมถึงศิลปะในกาารพูดคุยเจรจาทางธุรกิจ
1
⭐️ เริ่มต้นบทบาทในฐานะนักธุรกิจ
แต่การมีความรู้เยอะไม่เท่ากับการลงมือทำด้วยตนเอง ในปี 1859 John ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองกับพาร์ทเนอร์อีกคนคือ Maurice B. Clark รวมทุนกันเป็นจำนวนเงิน 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในชื่อว่า the Clark and Rockefeller company ซึ่งทำกำไรได้จากการขายเนื้อสัตว์ เมล็ดพืช และหญ้าแห้งให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากสงครามกลางเมืองอเมริกาจึงต้องใช้เสบียงอาหารจำนวนมากเพื่อหล่อเลี้ยงกองทัพ
ขณะนั้น มีข่าวการขุดบ่อน้ำมันขึ้นเป็นครั้งแรกใน Pennsylvania ทำให้ John เริ่มสังเกตและมองเห็นแนวโน้มความเป็นไปได้ของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตได้ดีในขณะนั้น
John ตัดสินใจที่จะลงเล่นในธุรกิจใหม่ร่วมกับหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งคือ Samuel Andrews และได้ซื้อหุ้นจาก Clark ทั้งหมดในปี 1865 และตั้งชื่อบริษัทใหม่ว่า Rockefeller and Andrews
แต่หนทางก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะอุตสาหกรรมยังเป็นความใหม่ ราคาจึงยังไม่คงที่เนื่องจากข้อจำกัดของตลาด รวมถึงการต้องแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดในเมือง ตอนนั้นเอง Oliver H. Payne จึงเดินเข้ามาในฐานะผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่ง
และพวกเขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil ในปี 1870 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จและมั่งคั่งที่สุดในโลกของ John D. Rockefeller
⭐ ฉลาดเกมส์โกง
ปี 1871 John และพาร์ทเนอร์ได้คิดกลยุทธ์ใหม่ที่จะควบรวมบริษัทกลั่นน้ำมันเพื่อควบคุมอุตสาหกรรมน้ำมันทั้งหมด เพื่อให้กิจการของเขาเติบโตและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เป็นเวลามากกว่าทศวรรษ John ได้เข้าปิดดีลกับบริษัทคู่แข่งหลายแห่ง เพื่อจะทำให้ทุกฝ่ายเป็นที่พอใจ John พยายามยื่นข้อเสนอมากมายเพื่อซื้อบริษัทคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นการเสนอหุ้น การให้ตำแหน่งบริหาร และภายในเวลาอันสั้น John ประสบความสำคัญในการควบรวมโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดใน Cleveland ได้ถึง 22 รายจากทั้งหมด 26 ราย
1
ธุรกิจน้ำมันของเขาเติบโตได้ดีจนขยายกิจการไปหลายมลรัฐ มีการรวบรวมกิจการต่างๆ ให้อยู่รวมกันภายในชื่อ The Standard Oil Trust ในปี 1882 โดยมี Standard Oil Company of New Jersey และ Standard Oil Company of New York เป็นสองบริษัทหัวเรือใหญ่ภายในเครือ
ช่วงแรกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จนกระทั่งการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของ Theodore Roosevelt ซึ่งได้ชื่อว่า ‘มือปราบการผูกขาด’ ทำให้บริษัท standard oil เป็นเป้าหมายที่ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด
1
ท้ายที่สุด บริษัทถูกสั่งให้เลิกกิจการและแยกตัวออกเป็นบริษัทอิสระหลายแห่ง บางแห่งก็ยังทำงานร่วมกันและใช้ชื่อ standard oil ตามรัฐที่ตั้งอยู่ บางแห่งก็ได้รวมเข้ากับบริษัทขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา เช่น Standard Oil of New Jursey ก็กลายเป็น ExxonMobil
ในขณะที่บริษัท Standard Oil ดั้งเดิมถูกซื้อโดย British Petroleum (BP) เป็นมูลค่ากว่า 8 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 1987
แม้ว่า Standard Oil จะถูกยกเลิกกิจการไป แต่ John D. Rockefeller ยังคงทำกำไรมหาศาลได้เช่นเดิม จากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เติบโตขึ้นทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นมากไปด้วย
และอุตสาหกรรมน้ำมันยิ่งเติบโตขึ้นไปอีก ผลพวงมาจาก Henry Ford เจ้าของบริษัทรถยนต์ Ford ได้ผลิตรถยนต์ Model T ที่ชนชั้นกลางสามารถเข้าถึงได้ด้วย ส่งผลให้ยอดขายรถในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น และแน่นอนว่าคนใช้รถก็ต้องใช้น้ำมัน
ในช่วงชีวิตบั้นปลาย John ลดบทบาทตัวเองลงในบริษัทและเกษียณตัวเองอย่างเต็มตัวในช่วงหลัง 1890 จนในปี 1916 ชื่อของเขาได้ถูกพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะ ‘มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก’
2
ในปี 1937 John เสียชีวิตในบ้านพักที่รัฐ Florida และได้ฝังศพไว้ที่สุสานเลควิวในเมือง Cleveland อันเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตของผู้ชายคนนี้
ผู้เขียน : ขัตติยาภรณ์ ด้วงแก้ว Political Analyst, Bnomics