10 ต.ค. 2023 เวลา 14:00 • ท่องเที่ยว
โตเกียว

Nihon Ichido Ep.1

การเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นของปันก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ การรีวิวการท่องเที่ยวญี่ปุ่นของปันในครั้งนี้กับโครงการ “Nihon Ichido 2023” ว่าแล้วเราก็มาชมรีวิวกันได้เลย
  • DAY 1 (3 October 2023)
ปันเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประมาณ 5 โมงเย็น ปันมีไฟลท์บิน จากกรุงเทพไปโตเกียว ลงที่สนามบินฮาเนดะ ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG682 โดยเราจะขึ้นเครื่องตอนประมาณ 22:45 แล้วถึงที่ญี่ปุ่น เกือบ 7 โมง เวลาที่นั่น ซึ่งก็คือเช้าวันที่ 4
เป็นการออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศครั้งที่ 2 ของปี 2023 หลังจากการจบทริปเที่ยวมาเลเซีย-สิงคโปร์ เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ประมาณ 2 เดือนกว่าเห็นจะได้
ครั้งนี้มากับญาติ และเพื่อนที่ญาติรู้จัก ทั้งหมด 9 คน โดยหลังจากนี้จะเรียกว่า “คณะทัวร์”
ปันมาถึงแล้วปันก็ ไปทำการเช็คอิน แล้วโหลดกระเป๋าทันที โดยเราจะทำการเช็คอินผ่านตู้ KIOSK ได้เลย
ตู้ KIOSK สนามบินสุวรรณภูมิ
  • วิธีการเช็คอินผ่านตู้ KIOSK ของสุวรรณภูมิก็
  • 1.
    เลือกสายการบินที่เราจะเช็คอิน ตามภาพ
  • 2.
    นำพาสปอร์ตของเราไปสอดที่เครื่องอ่าน
  • 3.
    จะมีการถามคำถามด้านความปลอดภัยต่างๆ
  • 4.
    จากนั้นจะมีตัวเลือกให้เราปริ้นท์แท็ก/Boarding Pass
  • 5.
    เสร็จสิ้นการเช็คอินผ่าน KIOSK
ซึ่งการไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็มีกระเป๋าที่ต้องโหลดใต้เครื่อง ดังนั้นปันก็ปริ้นใบแท็กออกมา แล้วก็นำไปโหลดใต้ท้องเครื่องได้ ซึ่งเราก็สามารถทำเองได้ง่าย
  • วิธีการโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ
  • 1.
    ไปที่เคาท์เตอร์เช็คอิน Row D,E เท่านั้น
  • 2.
    เลือกสายการบินที่เราขึ้นเครื่อง
  • 3.
    ให้เรายิงบาร์โค้ด ไปที่ Boarding Pass ของเรา
  • 4.
    มีการถามคำถามด้านความปลอดภัย
  • 5.
    เอากระเป๋าเราไปไว้ที่สายพาน ในลักษณะนอนราบไปกับสายพาน
  • 6.
    ยิงบาร์โค้ดที่แท็ก
  • 7.
    กดตกลงตรงจอ แล้วจากนั้นกระเป๋าเราก็จะถูกลำเลียไป
พอเสร็จแล้วก็มีเวลาว่างก็เลยแวะถ่ายรูป โดยเฉพาะตรงรูปปั้นยักษ์ตรงเคาน์เตอร์เช็คอิน แล้วหลังจากนั้นก็ เข้าตม.ขาออก เอา 4 นิ้วขวาแตะก็ออกมามาได้เลย ลืมบอกไปว่าตรงบันไดวัดใจเค้าเปลี่ยนมาเป็น การตรวจบัตรผ่าน เครื่องอัตโนมัติแล้วนะ เหมือนเหมือนที่ BTS ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มายืนตรวจดู เหมือนกับที่ปันไปอเมริกาคราวที่แล้ว
บันไดวัดใจสนามบินสุวรรณภูมิ
พอออกจากตมแล้วก็มีเวลาเหลืออีกประมาณซัก 4 ชั่วโมงกว่าๆ (เข้ามาโซนผู้โดยสารขาออกตอนประมาณ 18:40) ดังนั้นก็มีเวลาเหลือเฟือก็เลยมาเดินเล่นที่ดิวตี้ฟรี แล้วก็หาอะไรกิน ก่อนเรียกขึ้นเครื่องประมาณ 4 ทุ่ม
ปันออกมาจากตม.ตรงพระนารายณ์กวนเกษียณสมุทร จะเป็นทางลงไปอาคารผู้โดยสาร SAT-1 ที่พึ่งจะเปิดใหม่ โดยจะต้องเป็นผู้โดยสารของ AirAsia X, Thai Vietjet เท่านั้น ที่จะไปอาคารใหม่ได้ ดังนั้นปันก็ไปที่นั่นไม่ได้นะ
พระนารายณ์กวนเกษียณสมุทร & ทางลงไปอาคาร SAT-1
ครั้งนี้ปันมาก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 2 ชั่วโมง ระหว่างนี้ก็ให้คณะทัวร์ ที่ยังไม่ได้ลง Visit Japan ลงทะเบียนไปก่อน แล้วก็ซื้อซิม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้ eSIM ไปต่างประเทศครั้งแรกของปันด้วย โดยเลือกของ Vacay.com ซึ่งสะดวก และ ใช้งานง่าย ราคาก็สมเหตุสมผลด้วย แนะนำเลย แถมใครมาญี่ปุ่นมีแบบเน็ต Unlimited ด้วย ในราคาที่ถูกกว่าที่คิด
ลิ้งค์เว็บ eSIM Vacay
พอถึง 4 ทุ่ม ปันก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องกัน โดยขึ้นเครื่อง 22:45 โดยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 682 จาก BKK-HND ปลายทางสนามบินฮาเนดะ ใช้เวลาบินอยู่บนอากาศประมาณ 5 ชั่วโมง 50 นาที
เครื่องบินที่ใช้เป็น AirBus A330-300 จัดเรียงที่นั่งแบบ 2-4-2 วันนี้ผู้โดยสารเต็มเกือบลำ เมื่อถึงเวลาเดินทาง ก็ได้มีการ Pushback พร้อมฉายวีดีโอสาธิตความปลอดภัยต่างๆ จนกระทั่งถึงเวลาทะยานขึ้นฟ้า (Take-Off) โดยใช้รันเวย์ 19R (วิ่งจากเหนือลงใต้) ตอน 23:05
หลังจากทำระดับความสูงของเพดานบินประมาณ 11,000 เมตรแล้ว ราว 15 นาททีหลังจากทะยานขึ้นฟ้า ก็เริ่มทำการแจกของว่าง เป็นแซนด์วิชพายไก่ และน้ำเปล่า ให้ผู้โดยสาร หลังจากแจกของว่างได้สักพัก ไฟก็หรี่ลงเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อน
ปันหลับไปแถวน่านฟ้าของจีน บริเวณเกาะไหหลำ มาตื่นอีกทีก็บินอยู่เหนือเมืองทางใต้สุดของไต้หวัน นั่นก็คือเมือง เกาสุหยง หรือ เกาสง เมื่อมองออกมาจากความสูงมากกว่า 11,000 เมตร เมืองทั้งเมืองถูกทาด้วยสีทอง จากแสงไฟบนท้องถนนทั่วเมือง
เมืองเกาสงจากวิวบนเครื่องบิน
1 ชั่วโมง 45 นาทีก่อนเครื่องลง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง ด้วยแสงทไวไลท์ยามเช้า ขณะที่บินอยู่ทางใต้ของญี่ปุ่น แถวจังหวัดคาโกชิม่า จากนั้นพนักงานก็ได้ทำการแจกอาหารเช้า โดยมี 2 เมนูให้เลือก คือไก่ออมเลทกับไส้กรอก และไก่ผัดขิง ซึ่งปันเลือกเป็นออมเลทกับไส้กรอก เสิร์ฟมาพร้อมกับผลไม้ โยเกิร์ต และขนมปังเนย
อาหารเช้าบนเครื่องบิน
ประมาณ 35 นาทีก่อนเครื่องลง กัปตันประกาศสภาพอากาศปลายทาง และเตรียมตัว Descend หรือการเตรียมตัวนำเครื่องลง สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน มีการตกหลุมอากาศหลายครั้ง ก่อนที่จะร่อนลงที่รันเวย์หมายเลข 34L จากทิศใต้ขึ้นทิศเหนือ ทำการลงจอดตอน 6:50 เช้าวันใหม่ (4)
หลังจากลงจอดแล้ว ก็เตรียมตัวออกจากเครื่องบิน วันนี้จอดที่เกท 142 ที่ปลายสุดของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (Terminal 3) เป็นจุดจอดเดียวกันกับตอนที่มาเมื่อปี 2019
หน้าทางเข้าตม.ขาเข้า สนามบินฮาเนดะ
จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่ตม. และศุลกากรขาเข้าญี่ปุ่น หากใครกรอก Visit Japan แล้วก็เดินเข้าได้เลย ไม่ต้องกรอกเพิ่มแล้ว แค่สแกนตรงเคาท์เตอร์ตม.แค่นั้น ช่วงนี้ตม.ญี่ปุ่นคิวยาวมาก ปันรอ 30 นาทีเห็นจะได้ กว่าจะถึง
รอบนี้ตม.ไม่ได้ถามอะไร เอาแค่พาสปอร์ต, แล้วก็ Visit Japan ที่เป็นแบบ QR ในมือถือ ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดู จากนั้นให้ปันสแกนนิ้วชี้สองข้าง แล้วออกมาได้เลย แค่นั้น ส่วนศุลกากรก็สแกน QR จากที่กรอกไว้ แล้วก็ออกมาได้เลยเช่นกัน
เมื่อออกมาครบแล้ว ก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง ไปที่พักของเรา โดยนั่งรถไฟโมโนเรล ไปสถานีฮามามัตสึโจ (はままつちょう) แล้วก็ต่อรถไฟสายสีฟ้า ไปที่สถานี โอคาชิมาจิ (おかちまち) ราคาทั้งหมด 680¥ (~170฿)
จากนั้นก็ไปที่พักของเรากัน ครั้งนี้พักที่ APA Hotel Hirokoji ใกล้ตลาดอาเมโยโกะ เอากระเป๋าไปฝาก ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เช็คอินได้บ่าย 3
โรงแรม APA Hotel Hirokoji
ที่เที่ยวที่แรกของทริปคือ ตลาดอาเมโยโกะ (アメ横) เป็นตลาดใหญ่ ใกล้สวนอุเอะโนะด้วย ร้านนี้มีทั้งของกิน ของใช้ อาหารทะเล ทั้งแห้ง และสด วางขายใต้ทางรถไฟฟ้าหลายสาย ทั้ง สายสีฟ้า/สีเขียว (JR ยามาโนเตะ) เป็นตลาดที่ปันมาเที่ยวญี่ปุ่น 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2014 ก็มาแวะที่นี่ตลอด
ส่วนร้านของกินที่ปันแนะนำคือ ร้านมินาโตยะ (みなとや) เป็นร้านขายทาโกยากิ แป้งนุ่มฟู อร่อยมาก คนเข้ามาต่อแถวซื้อเยอะ ราคาไม่แพงด้วย รอบนี้สั่ง 6 ชิ้น ในราคาประมาณ 300¥ (~75฿) ร้านตั้งอยู่ตรงบล็อคแรกของทางเข้าตลาดด้านใต้ ที่มาจากสถานีโอคาชิมาจิ
ทาโกยากิร้านมิโนโตยะ
พิกัดร้าน :
จากนั้นไปกันที่อากิฮาบาระ (秋葉原) เป็นอีกย่านที่มาญี่ปุ่นแล้วต้องไป ย่านนี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องอนิเมะ เทคโนโลยี และความทันสมัย ปันแวะกินเป็นเหมือนอาหารญี่ปุ่นแบบยืนกินอ่ะ ในร้านจะมีขายราเม็ง อุด้ง แกงกะหรี่ แบบไม่มีเก้าอี้ จะต้องยืนกินอย่างเดียว ปันสั่งเป็นแกงกะหรี่ทาทาร์ เหมือนไม่มีอะไรใส่เลย นอกจากน้ำแกงกะหรี่ เอามาคลุกกับข้าวที่เสิร์ฟมา ราคาทั้งหมด 638¥ (~160฿) แต่รสชาติก็คืออร่อย ไม่ได้แย่นะ ร้านอยู่ที่ห้าง Atré
จากนั้นก็ไปคีบตู้เกมส์ที่อากิฮาบาระ เผื่อดวงดีเหมือนครั้งที่แล้ว ครั้งนั้นปันคีบได้โมเดลของลูฟี่ร์ จากวันพีชมาฟรี (ถ้าซื้อ 3000¥) แต่ก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น ก็เลยไม่ได้อยู่นั่นนาน ก็กลับมาที่โอคาชิมาจิอีกครั้ง โดยแยกกลุ่มกันคือ กลุ่มนึงไปซื้อเสื้อผ้านที่ยูนิโคล่ ข้างสถานี และอีกกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มของปัน อยู่ที่ร้านกาแฟแถวนั้น ชื่อร้าน Beck’s Coffee ใต้สถานีโอคาชิมาจิ
ปันสั่งเป็นลาเต้ร้อน แล้วก็ชีสเค้ก ราคาประมาณ 740¥ (~180฿) ปันคิดว่า ชีสเค้กกลิ่นเหมือนนมแพะ ส่วนตัวปันรู้สึกว่ามันเหม็นๆ อยู่ แต่ก็ถือว่ายังได้อยู่นะ
แล้วปันก็นั่งรอ+เดินเล่นแถวนั้น จนถึงบ่าย 3 ที่เป็นเวลาเช็คอิน แล้วค่อยไปโรงแรม ระหว่างนี้ ปันได้มีโอกาสเดินเล่นที่อาเมโยโกะ แล้วก็ไปที่ย่านข้างๆ คือย่าน “อุเอะจุน” เป็นตรอก ที่ส่วนใหญ่เป็นอิซากายะ หรือร้านเหล้าของคนญี่ปุ่นจะมาแฮงค์เอาท์กันที่นี่ แล้วก็มีร้านปิ้งย่าง เนื้อย่างเยอะมากที่นี่ ย่านนี้อยู่ติดกับอาเมโยโกะเลย ห่างกันแค่ซอยเดียวเท่านั้น
บรรยากาศโซนอุเอะจุน & ตลาดอาเมโยโกะ
พอถึงเวลาเช็คอิน ปันก็เข้าไปเช็คอินได้ โดยปันจองเองคนเดียวเลย เพราะมีความรู้ในภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้ว ประกอบกับพนักงานโรงแรมพูดอังกฤษไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็พอสื่อสารกันได้ระหว่างกันอยู่ ซึ่งห้องปันอยู่ที่ห้อง 902 ชั้น 9 โรงแรม APA Hotel Horokoji
ภาพรวมห้องพัก
ขอรูมทัวร์ รีวิวห้องเล็กน้อย เล็กน้อยที่นี้คือห้องขนาดเล็กพอควร เพราะมีขนาด 11 ตร.ม แบบว่าหัวเตียงปลายเตียงเกือบชนกำแพงเลย มีช่องว่างเล็กน้อย แล้วก็ห้องน้ำคือเล็กพอควร แต่สิ่งที่ชอบเลย คือ ชักโครกเป็นแบบอัตโนมัติ คือใช้วิธีกดปุ่มอ่ะ ซึ่งสะดวก และปันอยากได้กลับไปติดที่บ้านมั้งอ่ะ ส่วนเรื่อง Facilities ต่างๆ พวกแชมพู ยาสระผม แปรงสีฟัน คือจัดเต็มเลยอ่ะ มีครบทุกอย่าง เท่าที่รีวิวมาอันนี้ก็คือขนาดห้องมาตรฐานล่ะ เพราะโรงแรมที่โตเกียว กลางเมืองคือเล็กเท่านี้จริงๆ ไม่ติดใจอ่ะไร
จากนั้นก็ไปแยกกันพักผ่อน ปันนัดคณะทัวร์ไปย่านชิบูย่า ประมาณ 5 โมงเย็น
  • วิธีการใช้ชักโครกปุ่มกด
หลายที่จะมีปุ่มคล้ายๆ กัน ซึ่งต่างออกไปในแต่ละรุ่น แต่ละดีไซน์ ซึ่งก็สรุปมาได้ดังนี้ จะได้ใช้อย่างถูกวิธี โดยเรียงจากซ้าย ไปขวา ซึ่งปุ่มเหล่านี้จะใช้งานได้ก็ตอนที่เรานั่งชักโครก
  • 1.
    ปุ่มหยุด (止) ก็ตามนั่นเลย หยุดการฉีดน้ำ
  • 2.
    ฉีดแรง (おしり) เป็นการฉีดก้นเรา ซึ่งแรง-เบา เราสามารถปรับได้ ตามความเหมาะสมของเรา ตรงที่เป็นแผงความหนัก-เบา (Water Pressure)
  • 3.
    ฉีดเบา (ビデ) อันนี้คือฉีดก้นเราแบบเบาๆ ไม่ได้แรงเหมือน おしり
  • 4.
    อันสุดท้ายคือการเป่าลมในชักโครก น่าจะเป่าเพื่อให้ชักโครกสะอาด
หลังจากพักผ่อนแล้ว เมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็น ก็ได้รวมตัวกัน พาไปที่ชิบูย่ากัน เพราะเราจะไปกินซูชิ แล้วก็เดินช็อปของเล็กๆน้อยๆ ตั้งใจไว้งั้น ปันนั่งรถ JR Yamanote สายสีเขียวจากสถานีโอคาชิมาจิ ไปยังสถานีชิบุย่า (渋谷駅) ประมาณเกือบ 30 นาที ราคาก็ราวๆ 210¥ (~50฿)
เมื่อถึงสถานีชิบุย่าแล้วก็ปรากฎว่า ฝนตกหนักมาก วันนี้ก็เลยแผนล่มไป 2 แผน ก็คือถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ และห้าแยกชิบุย่าที่โด่งดัง เปรียบเสมือนไทม์สแควร์ของญี่ปุ่นไปเลย
แต่ก็ยังมีโอกาส ได้ไปถ่ายรูปห้าแยกจากร้านสตาร์บั๊ค สาขา Tsutaya ชั้น 2 ที่เป็นมุมถ่ายรูปที่สามารถมองเห็นคนเดินข้ามถนนตรงห้าแยกได่แบบ 180 องศาเลยทีเดียว
ห้าแยกชิบุย่าในวันฝนตก
ถือว่าสวยไปอีกแบบ อีกมุม เพราะ 2 ครั้งที่ผ่านมา ปันจะเดินตรงห้าแยกตลอด ไม่เคยได้มีโอกาสมาถ่ายที่ตรงนี้ แต่ครั้งนี้ได้โอกาส ก็ถือว่าคุ้มสุดๆ เลยล่ะ
จากนั้นก็จะไปกินซูชิร้านดัง ร้านประจำที่ปันมาทุกครั้งก็ต้องกิน ร้านนี้มีชื่อว่า UOBEI By Genki Sushi ตั้งอยู่ในหลืบซอย หลัง Shibuya 109 ร้านนี้จะต้องต่อคิวเข้าไป ถึงจะได้กิน แต่ต่อคิวไม่นานมาก คิวมันรันเร็วดี ปันแรกปันใช้เวลาต่อคิวอยู่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ร้าน UOBEI By Genki Sushi
แถวมันจะยาวถึงมาที่นอกร้านเลยนะ แต่อย่างที่บอก รันเร็วแปบเดียวก็ได้แล้ว ส่วนแถวภายในร้านจะเป็นเก้าอี้นี้แบบ ถ้าคนก่อนลุกไป เราก็ล่นๆ มานั่งแทนเขาเรื่อยๆ อ่ะ ตามลูกศรที่เห็นในภาพเลย หางแถวเริ่มตรง Go Around ส่วนหัวแถวจะอยู่ Go Ahead
หากเราอยู่ถึง Go Ahead แล้ว พนักงานก็จะมาถามเราว่า มากี่คน จากนั้นก็จะนำแผ่นที่ติด Bar Code พร้อมหมายเลขโต๊ะที่นั่ง ให้เราไปนั่งที่เลขโต๊ะนั้นได้เลย
ร้านซูชิร้านนี้เป็นในรูปแบบสั่งผ่านจอ แล้วจากนั้นเมื่อพ่อครัวทำซูชิเสร็จ ก็จะนำซูชิที่เราสั่งมาให้เราทานเลย โดยการเสิร์ฟจะเป็นการเสิร์ฟใส่สายพาน จากนั้นจานซูชิก็จะวิ่งมาที่หน้าโต๊ะของเราเลย ส่วนวิธีการสั่งก็คือ
  • 1.
    ไปที่ Go To Fair Menu ตรงจอที่อยู่หย้าที่นั่งของเรา
  • 2.
    เลือกหน้าซูชิตามใจชอบเราได้เลย
  • 3.
    กดปุ่มสั่งด้านล่างขวาสุด
  • 4.
    สรุปคำสั่งซื้อ จากนั้นกดตกลง
  • 5.
    เสร็จสิ้น
หน้าซูชิมีหลายหน้าเลย ทั้งปลาดิบ แซลม่อน ซาบะ สาหร่าย ฯลฯ รวมถึงเมนูร้อนก็มีนะ อย่างเช่น ราเม็ง อุด้ง เป็นต้น บนโต๊ะแต่ละคน นอกจากจะมีจอสั่งอาหารแล้ว บนโต๊ะก็จะมีขวดซอสโชยุ, ขวดใส่ผงชาเขียว, ตะเกียบ ฯลฯ และข้างในก็จะวางพวกแก้วสำหรับใส่ชาเขียว หรือใส่น้ำก็ได้เหมือนกัน ตามรูปนี้เลยนะ
ปันมากินที่นี่คือกินแบบกินจุมากๆ ล่อไปทั้งหมด 19 จาน หมดไปทั้งสิ้น 3,320¥ (~830 บาท) อิ่มคุ้มสุดๆ บอกเลยว่าตั้งใจมาที่ชิบุย่า เพื่อมากินซูชิด้วยเหมือนกันแหละนะ 😋
พิกัดร้าน UOBEI By Genki Sushi :
จากนั้นก็จะเดินเที่ยวย่านชิบุย่า ซึ่งเปรียบเสมือนสยามสแควร์ของญี่ปุ่นล่ะนะ เพราะเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นแต่งตัวโก้ของญี่ปุ่น และก็มีร้านรวงช็อปปิ้งต่างๆ มากมายเต็มไปหมด ถ้าใครมาที่นี่ก็คือแหล่งละลายทรัพย์โดยเฉพาะเลยล่ะ วันนี้ปันมาแวะที่ร้าน Atmos ของ Adidas ปันพาน้าที่เป็นลูกทัวร์มาซื้อรองเท้าผ้าใบ ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 13,000¥ (~4,000 บาท)
“ซึ่งเราสามารถขอลดหย่อนภาษี (Tax Free) ได้โดยที่แจ้งพนักงานที่ร้านได้เลย จากนั้นก็จะนำพาสปอร์ตของคนซื้อ แล้งก็จะลดราคาให้ทันทีเลย ทั้งนี้ราคาขั้นต่ำต่อบิลชั้นต่ำจะต้องอยู่ที่ 5,000 เยนขึ้นไป และอีกขั้นตอนของการทำ Tax Free จะต้องยืนยันตัวขอทำ Tax Free ในเว็บ Visit Japan ด้วยนะ ให้ขึ้นสถานะ YES ตามภาพนี้เลย”
หลังจากซื้อรองเท้าเสร็จแล้ว ก็จะเดินทางกลับที่พักกัน ครั้งนี้จะนั่งรถสายกินซ่า (銀座線) ไป 14 สถานี ราคา 180¥ (~45 บาท) อันนี้คือนั่งตรงยางไปยังที่พักเลย ไม่ต้องต่อไปไหนด้วย นึกอยู่ว่าถ้ารู้เร็วกว่านี้ขาไปนั่งสายนี้ดีกว่า ขาไปนั่ง JR เหมือนอ้อมไงไม่รู้ แล้วจากนั้นก็ถึงที่พัก
ปิด Day แรกของทริปเที่ยวญี่ปุ่น ในโปรเจค “Nihon Ichido 2023” แล้ว ส่วน Ep. หน้าซึ่งเป็น Day 2 ก็จะออกนอกเมืองไปยังแหล่งมรดกโลกที่นิกโกะ หรือนิกโก้ จังหวัดโทชิงิ จะเป็นอย่างไร ก็อย่าลืมติมตามละกันน้า
  • Contact Us

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา