Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Introverted investor
•
ติดตาม
20 ต.ค. 2023 เวลา 01:51 • การศึกษา
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand)
⭕‘Futures & Option 101’⭕
“วิธีใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อบริหารความเสี่ยงในตลาดหุ้นขาลง” (ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนักลงทุนหุ้น)
📈ก่อนอื่นขอเกริ่นสักเล็กน้อยว่าการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะกล่าวถึงในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักลงทุนในหุ้นระยะยาวที่ถือครองหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา และไม่ทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นบ่อยครั้งถึงแม้คาดการณ์ว่าจะมีปัจจัยเชิงระบบหรือสภาพภาวะตลาดหุ้นในภาพรวมเชิงลบเข้ามากระทบ
กล่าวง่ายๆก็คือ นักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลาโดยไม่สนใจว่าหุ้นหรือตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เพราะพวกเขาเชื่อว่าหุ้นที่ดีในระยะยาวมันจะเป็นขาขึ้น ได้รับเงินปันผล และการคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นเป็นเรื่องเสียเวลา ไปทำอย่างอื่นดีกว่า
การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารความเสี่ยงในตลาดขาลงเท่านั้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ถือครองหุ้นตลอดเวลา ไม่อยากขาย เพื่อเป็นการถัวเฉลี่ยความเสี่ยงในตลาดขาลง (คิดว่าตลาดหุ้นมันจะร่วงลงในอนาคต) ไม่ได้กระทำเพื่อการเก็งกำไรใดๆทั้งสิ้น (สามารถใช้สำหรับนักเก็งกำไรได้ แต่ไม่ใช่ในบทความนี้) เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้สนใจ และไม่ได้มีเจตนาเพื่อชี้นำ โน้มน้าว หรือเชิญชวนให้เกิดการทำธุรกรรมซื้อขายตราสารทางการเงินใดๆทั้งสิ้น
✅คุณหมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เคยกล่าวไว้ว่าการบริหารความเสี่ยงด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเมื่อคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะลงนั้นน่าสนใจ ตัวเขาเองก็กำลังศึกษาอยู่ ซึ่งเราควรบริหารความเสี่ยงด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงดัชนีเท่านั้น ไม่ใช่หุ้นรายตัว จึงจะสะท้อนภาพรวมตลาดได้เป็นอย่างดี ในบทความนี้จึงขอนำเสนออย่างเฉพาะเจาะจงไปที่การบริหารความเสี่ยงตลาดหุ้นขาลงด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เรียกว่า ‘SET50 Index Futures’ และ ‘SET50 Index Options’
🟢สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) คืออะไร?
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าก็คือ ตราสารทางการเงินชนิดหนึ่ง เรียกอีกแบบว่า ‘ตราสารอนุพันธ์’ (ก่อกำเนิดภาระผูกพันตามมาทีหลัง เพราะไปสัญญาเอาไว้ก่อนหน้า) เป็นตราสารที่กำเนิดจาก/ผันแปรตามสิ่งที่อ้างอิงอยู่ มูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (เงินตรา พันธบัตร น้ำมัน ทองคำ หุ้น) หรือตัวแปรอ้างอิง (อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ดัชนีหลักทรัพย์)
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าคือ ข้อสัญญาที่จัดทำขึ้นระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย (จะซื้อ/จะขาย) ที่ตกลงกันในวันนี้เพื่อซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน สินทรัพย์อ้างอิงกันในอนาคต ทั้ง 2 ฝ่ายมีภาระผูกพัน เป็นสัญญาตามกฎหมายที่มีวันหมดอายุ และมีอัตราทดสูง (Leverage) นั่นคือกำไรและขาดทุนสูงมากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้น เป็น ‘Zero sum game’ หากฝั่งหนึ่งได้ อีกฝั่งหนึ่งจะเสียในปริมาณเท่ากัน
✴‘Futures’ คล้ายสัญญาจะซื้อจะขายดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีภาระผูกพัน ฝ่ายหนึ่งซื้อ อีกฝ่ายหนึ่งต้องส่งมอบหรือขายสินทรัพย์นั้นในอนาคต ณ ราคาตลาด
🔺จะซื้อ = Long Futures
🔺จะขาย = Short Futures
✴‘Options’ คล้ายสัญญาสิทธิเรียกร้อง เป็นสัญญาระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ที่ผู้ขายให้สิทธิแก่ผู้ซื้อ ในการเลือกซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงภายในสัญญา ในราคาใช้สิทธิ์ที่ตกลงกันไว้ ภายในระยะเวลาที่ระบุในสัญญา ซึ่งผู้ซื้อสิทธิไปแล้วจะเลือกใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ หลักการคล้ายๆใบจองบ้าน จองรถ ซื้อขายกันที่ค่าพรีเมี่ยม (Premium) ถ้าไม่ใช้สิทธิก็ทิ้งให้หมดอายุไป ขาดทุนแค่ค่าพรีเมี่ยม
🔺ซื้อสิทธิซื้อ = Call Options (Long-Call = ผู้ซื้อสิทธิซื้อเพื่อซื้อ / Short-Call = ผู้ขายสิทธิซื้อเพื่อขาย)
🔺ซื้อสิทธิขาย = Put Option (Long-Put = ผู้ซื้อสิทธิขายเพื่อขาย / Short-Put = ผู้ขายสิทธิขายเพื่อซื้อ)
ยิ่งอธิบายยิ่งมึนงง ฮ่าๆ เอาเป็นว่าในฐานะ ‘นักบริหารความเสี่ยง (Hedger)’ ในตลาดหุ้นขาลง เพื่อป้องกันมูลค่าของหุ้นในพอร์ตลดลง ในเบื้องต้นเราจะจดจำเพียงแค่ว่า เมื่อใดก็ตามที่เราคาดการณ์ว่าในอนาคตระยะสั้นนั้นตลาดหุ้นจะร่วงลงอย่างรุนแรงเราจะ…
⭕หากใช้ Futures เราจะ ‘Short’ (สัญญาขาย เพื่อขายในราคาปัจจุบัน เมื่อดัชนีลงและปิดสถานะ ณ ราคาต่ำกว่าจึงกำไร)
⭕หากใช้ Options เราจะ ‘Long Put’ (ซื้อสิทธิขาย เพื่อขาย ณ ราคาปัจจุบัน ในอนาคต เมื่อดัชนีลงจึงกำไร)
จำเท่านี้ก่อน หลักการก็คือเมื่อตลาดหุ้นร่วงลง หุ้นที่เราถือครองในพอร์ตจะราคาลดลงและขาดทุน แต่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เราเปิดสถานะไว้จะราคาขึ้นและมีกำไร “ฝั่งหนึ่งกำไร อีกฝั่งขาดทุน” หากเป็นการเปิดสัญญาที่ผ่านการคำนวนปริมาณและมูลค่าซึ่งครอบคลุมต้นทุนเท่าๆกัน เราจะเสมอตัวทันทีในตลาดขาลง ไม่ได้ไม่เสีย ในอนาคตเมื่อเราปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อทำกำไร ก็สามารถนำกำไรนั้นมาซื้อหุ้นในพอร์ตเพิ่มที่กำลังขาดทุนอยู่ได้
การลงทุนใน Futures และ Options จำเป็นต้องเปิดบัญชีใหม่สำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละบัญชีกับการซื้อขายหุ้น การซื้อขายหุ้นเราจะซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ (SET, MAI) ส่วนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเราจะซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
🟣‘SET50 Index Futures’
เมื่อคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้น = Long Futures (หุ้นขึ้นจึงอยากมีหุ้น เลยซื้อ)
เมื่อคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะลง = Short Futures (หุ้นลงจึงไม่อยากมีหุ้น จึงขาย)
นักลงทุนทั้งฝั่ง Long และ Short จะต้องวางเงินหลักประกันทั้งคู่ ทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 5-10% ของขนาดสัญญา บริษัทหลักทรัพย์จะเป็นผู้กำหนด
(ศึกษาเรื่องการวางเงินหลักประกัน
https://wconnex.bualuang.co.th/s/article/MarginCall
...)
Future แสดงราคาซื้อขายเป็นระดับดัชนี (สมมุติว่าดัชนี SET50 ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 900 จุด ราคา Future ก็คือ 900 บาท)
ตัวคูณดัชนี = 200 บาท / 1 จุด, (ระดับดัชนีต้นงวด - ปลายงวด)*200 = กำไร/ขาดทุน
ตัวคูณดัชนีใช้กำหนดขนาดของสัญญาด้วย (ระดับดัชนี*200 = มูลค่าสัญญา)
ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำอยู่ที่ 0.1 จุด (20 บาท/สัญญา)
ราคาเปลี่ยนแปลงสูงสุดต่อวัน = บวกหรือลบไม่เกิน 30%
วิธีการอ่านสัญลักษณ์ของสัญญา ‘SET50 Index Futures’ ตัวอย่างเช่น S50V23
S50 = ตัวแปรอ้างอิงดัชนี SET50 ตลาดหุ้นไทย
V = เดือนตุลาคม (เดือน 1 : F, 2 : G, 3 : H, 4 : J, 5 : K, 6 : M, 7 : N, 8 : Q, 9 : U, 10 : V, 11 : X, 12 : Z)
23 = ปี ค.ศ.2023
‘S50V23’ คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Futures ที่อ้างอิงดัชนี SET50 ครบกำหนดอายุสิ้นเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2023
Future ในแต่ละช่วงเวลาจะมีให้ซื้อขาย 6 รุ่นด้วยกัน นั่นคือรุ่นที่หมดอายุสิ้นเดือนใกล้ 3 เดือนติดต่อกัน และเดือนสุดท้าย 3 ไตรมาสถัดไป เช่นหากเราซื้อ S50F23 หมดอายุสิ้นเดือนที่ 1 ในตลาดก็จะมี Futures ชนิดเดียวกันที่มีวันหมดอายุ ณ สิ้นเดือนที่ 1, 2, 3 และสิ้นเดือนที่ 6, 9, 12 (รวม 6 รุ่น)
🔶สำหรับวิธีการล้างสถานะ ปิดสถานะ (ล้างสัญญา) Futures มีอยู่ 2 วิธี หนึ่งคือปล่อยให้หมดอายุ ตลาดจะทำการชำระราคาให้อัตโนมัติ วิธีที่สองคือ “เปิดสัญญาฝั่งตรงข้าม” นั่นคือ หากเรามีสถานะซื้อ (Long) ให้เปิดสถานะขาย (Short) ในทางกลับกันหากมีสถานะขายค้างอยู่ก็ให้เปิดสถานะซื้อ มีข้อแม้คือการเปิดสัญญาตรงข้ามจะต้องเป็น Futures Series เดียวกัน หมดอายุวันเดียวกัน และจำนวนสัญญาเท่ากันเท่านั้น การล้างสถานะจึงจะสมบูรณ์
♻ตัวอย่างการบริหารความเสี่ยงแบบเต็มจำนวน กรณีถือหุ้นอยู่และคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะตก
มีพอร์ตหุ้นมูลค่า 1,000,000 บาท เราจะทำการ Short Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงตลาดขาลง
ดัชนี SET50 ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 900 จุด นำมาคูณด้วยตัวคูณดัชนี 200 ทำให้มูลค่าสัญญา = 180,000 บาท/สัญญา
นำมูลค่าพอร์ตหุ้นหารด้วยมูลค่าสัญญา จะเท่ากับจำนวนสัญญา Futures ที่เราจะทำการ Short = 5 สัญญา
หากต้องวางเงินหลักประกันเริ่มต้นที่ 10% ต่อสัญญา เราจะต้องวางเงินประกัน 90,000 บาท (18,000*5) จะสังเกตได้ว่าเราใช้เงินเพียง 90,000 บาท เพื่อให้การขยับขึ้นลงของดัชนี SET50 มีผลครอบคลุมพอร์ตหุ้นที่มีมูลค่า 1,000,000 บาท จึงมีอัตราทดสูง
💕เมื่อคุณเป็นนักลงทุนในหุ้นที่คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะร่วงลง แต่ไม่อยากขายหุ้น ให้ Short Futures
ไว้ค่อยกลับมาอ่านต่อกันใน Part 2 เร็วๆนี้นะครับ ชักจะเริ่มยืดยาว เดี๋ยวจะเบื่อกันไปเสียก่อน
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 🙂
การลงทุน
หุ้น
การเงิน
บันทึก
3
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย