21 ต.ค. 2023 เวลา 06:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ขุนนางหญิงยอดเสน่หา

ความน่าสนใจก่อนดูเรื่องนี้คือนักแสดงนำ ล้วนแต่เป็นนักแสดงรุ่นกลางมีฝีมือทั้งนั้น ทั้ง จิ่งเถียน เฝิงเส้าเฟิง หวังลี่คุน โจวอี้หราน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเป้าหมายของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการเป็นขุนนาง แน่นอนว่าผู้ชายในยุคก่อนไม่เห็นด้วย แต่เผอิญมีช่องว่างว่าตอนต้นราชวงศ์ เคยอนุญาตให้ผู้หญิงเป็นขุนนางได้ และนางเอกโชคดีที่ท่านอ๋องสนับสนุนและคอยช่วยเหลือจนได้เป็นขุนนาง และตามสูตรท่านอ๋องก็ต้องชอบนางเอก
หลังจากเป็นขุนนางแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวว่าด้วยการเป็นขุนนางหญิงท่ามกลางขุนนางผู้ชาย ต้องเข้าไปพัวพันกับการชิงอำนาจของเหล่าองค์ชาย การไต่เต้าขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง
แต่เนื้อเรื่องไม่ได้มีแค่นี้ เพราะยังมีตัวละครหญิงที่โดดเด่นอีกตัว นั่นคือ องค์หญิงใหญ่โหรวเจีย ที่เปิดตัวมาอย่างเจ้าหญิงในนิยาย ที่ทุกคนรักและเคารพ แต่ท้ายที่สุดกลายเป็นลาสบอสไปเสียอย่างนั้น
การดำเนินเรื่องน่าติดตามระดับหนึ่ง (แอบมีเนือยบ้าง) ต้องยกเครดิตให้นักแสดงมากกว่าบทนิดนึง ถ้าไม่ใช่แก๊งนี้เล่น อาจเทไปแล้วก็เป็นได้
แม้เรื่องราวจะสะท้อนให้เห็นว่าเปิดโอกาสให้ผู้หญิงทำงานอย่างที่ผู้ชายทำได้ ก็ไม่ได้หมายความจะเรียกว่าเท่าเทียมกันแล้ว อย่างนางเอกจริง ๆ แล้ว เก่งกว่าขุนนางที่สอบด้วยกัน แต่เนื่องจากเป็นผู้หญิง จึงไม่ได้ที่หนึ่ง หรือแม้ว่าจะได้เป็นขุนนาง แต่เมื่อไหร่ที่แต่งงานก็ต้องลาออกจากขุนนาง ซึ่งตอนหลังฮ่องเต้ก็แก้ไขกฎให้
ในชีวิตจริง ผู้เขียนก็เคยเจอกรณีแบบนี้ 30 กว่าปีก่อน แม้ว่าบริษัทกฎหมายหลายบริษัทจะไม่ได้กีดกันผู้หญิง แต่เป็นที่รู้กันว่าถ้าเป็นผู้หญิง ต้องได้เกียรตินิยม จึงจะได้รับการพิจารณา หลังจากนั้นไม่นานความคิดแบบนี้ก็ไม่ใช่มาตรฐานอีกต่อไป
ในเวลานั้น ผู้เขียนแค่หงุดหงิดนิดหน่อย อาจเพราะไม่ได้คิดจะทำงานด้าน
กฎหมายอยู่แล้ว แต่ถึงจะเลือกทำงานกฎหมาย ก็เชื่อว่าไม่ใช่ปัญหาขัดขวางความก้าวหน้าแต่อย่างใด เพราะเพื่อนผู้หญิงในสายงานนี้ก็ขึ้นสู่ตำแหน่งสูง ๆ กันไม่ใช่น้อย
ที่ตลกกว่าคือ เมื่อผู้เขียนเลือกทำงานด้านสื่อมวลชน ความกีดกันนี้กลับข้างกัน โดยเฉพาะบริษัทที่ผู้เขียนทำงานทั้งในฐานะพนักงานและฟรีแลนซ์มาเกือบ 30 ปี เพราะเป็นที่รู้กันว่าในสายงานนิตยสารสายผู้หญิง ไลฟ์สไตล์ นั้น พนักงานผู้ชายไม่ว่าจะทำงานดี มีประสบการณ์ หรือแม้แต่อยู่มานานแค่ไหน ก็ไม่มีทางถูกเลือกให้เป็นบรรณาธิการบริหารของสายงานนี้
ช่วงหนึ่งมีผู้บริหารจากญี่ปุ่นมาคุยเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจ ทุกคนใส่สูทแต่งตัวเป็นทางการมาก ผู้เขียนเคยเดินสวนกับพวกเขา แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาจะงงไหม เพราะผู้บริหารที่เขาเข้าประชุมด้วยทั้งหมดเป็นผู้หญิง แล้วทุกคนคือเป็นตัวของตัวเองมาก อย่าหวังว่าจะได้เห็นการแต่งตัวแพทเทิร์นเดียวกันเป็นอันขาด
ผู้เขียนเชื่อมาตลอดชีวิตว่า ถ้าเราไม่ดูถูกตัวเอง ก็ไม่มีใครดูถูกเราได้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปร้องแรกแหกกระเชิงให้คนอื่นมอบความเท่าเทียมกับเรา แต่เป็นเราที่ต้องเสาะหามันด้วยตนเอง
อีกประเด็นในเรื่องที่สะกิดใจ คือ ผู้หญิงเป็นขุนนางได้ แต่ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ต้องลาออก ซึ่งตอนหลังฮ่องเต้ก็เปลี่ยนกฎให้ไม่ต้องลาออก แฮปปี้ เอนดิ้งกันไป
อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องช่วงนี้ แต่ไม่รู้ทำไม ทำให้ผู้เขียนคิดถึงบทสนทนาในอดีตกับรุ่นพี่ที่สนิทกัน
เวลานั้นผู้เขียนเพิ่งเรียนจบและทำงานได้ไม่กี่ปี รุ่นพี่ก็เป็นผู้พิพากษาได้ไม่กี่ปี เราคุยกันประเด็นเรื่องมาตร 276 เกี่ยวกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา (เดิม) ซึ่งกำหนดองค์ประกอบความผิดว่า.
". ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรา “หญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน” โดยขู่เข็ญประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย........ ต้องระวางโทษ.................."
รุ่นพี่อธิบายว่า..สาเหตุที่กฎหมายเขียนไว้เช่นนั้น เพื่อมุ่งให้เกิดความปรองดองในครอบครัว เหตุผลนี้นักเรียนกฎหมายในยุคนั้นก็ได้อ่านกันมาแล้วทั้งนั้น
ผู้เขียนแย้งว่า..ก่อนแต่งงาน ใครก็ข่มขืนเราไม่ได้ อย่างนี้ก็หมายความว่า พอเราแต่งงานไปแล้ว สิทธิของเราลดลงหรือพี่ เพราะมีคน ๆ หนึ่งที่สามารถข่มขืนเราได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
เขาอึ้งไปแป๊บ แล้วบอกว่า ..เออ ก็จริง
ปัจจุบัน กฎหมายมาตรานี้ถูกแก้ไขไปแล้ว เมื่อปีพ.ศ.2550 เป็นว่า
"..ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเรา “ผู้อื่น” โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย........"
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กฎเกณฑ์ค่านิยมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา