17 พ.ย. 2023 เวลา 01:35 • สุขภาพ
เรื่องของจิต ที่เรามาอาศัยเรือนกายของคุณบิดามารดา ชั่วขณะหนึ่ง ที่จิตถูกห้อมล้อมด้วยอารมณ์โลภโกรธหลง มีวิญญาณทั้งหก .ที่เราใช้ไปเก็บสะสมสิ่งนั้นสิ่งนี้ เข้ามา เก็บบันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสี่ เป็นลักษณะสีดำสีม่วง มีสีมากมาย สีกรมท่า สีน้ำตาล สีไพลเน่า .มันหนาแน่นอยู่ในธาตุทั้งสี่ สะสมมาเป็นอเนกชาติที่สะสมกรรมมา ไม่เคยสะสางให้สะอาดสะอ้านขึ้นมาเลย ที่เค้าว่า นิสัยสันดาน ที่สะสมมากอยู่กับความโลภโกรธหลง
แล้วยังมีเรื่องราวของธาตุทั้งสี่ที่เราเก็บสะสมมาทุกชาติ เป็นสีดำๆอีกเหมือนกัน พวกสี่เหล่านี้ที่เป็นสีเวรสีกรรม มันก็จะทำให้เกิดเรื่องราวของอารมณ์กรรม ความคิดนึกปรุงแต่งเรื่องราวอะไรต่างๆมากมายก่ายกอง รวมทั้งนำพาไปคล้องเวรคล้องกรรม มีการชดใช้กรรม เป็นวิบากกรรมของจิต ทำให้เกิดความทุกข์ .ทุกข์กายทุกข์ใจ
..เค้าว่า อยู่กับอารมณ์ก็ไม่รู้อารมณ์ อยู่กับกรรมก็ไม่รู้จักกรรม ..เมื่อไม่รู้จัก ..มันก็เกิดมาแค่กินกับนอน รอวันตายมาถึง ..สิ่งที่จิตจะได้เรียนรู้จากการอาศัยการมนุษย์ หากไม่มี ..จิตเราก็หมดโอกาส เสียไปหนึ่งขาตที่มีกายเป็นมนุษย์
เมื่อเรามาปฏิบัติธรรม เราก็มาปฏิบัติธรรม ในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..ยืน เกิดน นั่ง นอน..จิตภาวนาพุทโธ เรื่องของสตินั้น ปกติคนเรามันใช้อารมณ์มีอารมณ์นึกคิดตลอดเวลา สติก็ตามอารมณ์ สติของจิตที่จะละอารมณ์ไม่เกิดขึ้น จิตก็นอนจมอยู่ในเรือนกายไม่รู้อะไร เราจึ งต้องทำให้สติตื่นขึ้นมา จิตตื่นขึ้นมาเสียก่อน ..เรื่องราวของการเดินจงกรม นั่นช่วยให้สติและจิตตื่นขึ้นมา โดยที่เรานึกไปถึงเรื่องราวขององค์พระสิทธัตถะ ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าองค์เดียว
จิตของเราอยู่ในป่า .ป่าของอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาในเรือนกาย ที่ห้อมล้อมด้วยสิงสาราสัตว์มากมาย ที่จะไหลออกมา ..ให้จิตตกเป็นทาสของอารมณ์ ถูกผีในป่าอารมณ์หลอกบ้าง หลงใหลในความคิดที่เกิดขึ้น เมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติ เราก็กราบพระเสียก่อน อธิษฐาน .ปฏิบัติธรรม สมมุติว่า เราเดินจงกรม เราก็กำหนดเส้น ให้ตรง เดินเหยียบเส้นนี้ ตาไม่คาดเคลื่อนไปไหน ..เส้นนี้กำหนดสมมุติให้เป็นเส้นกุศลบารมีของจิตเรา แล้วเราก็ระลึกถึงนำกายพ่อแม่มาปฏิบัติธรรม ในรอยของพระ เสร็จแล้วเราก็กราบเส้นที่เราเดิน .ในรอยของพระ ..
การปฏิบัติต้องทำด้วยจิตที่นอบน้อม มีอารมณ์นึกคิดอะไรก็ หยุดเดิน ตั้งสติ ..ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง หายใจลึกๆ เป่าลมทางปากแรงๆ เมื่อสำรวจตัวเองว่าไม่มีอะไร จิตอยู่กับคำภาวนา ก็เดินต่อ..เมื่อเดินเสร็จกราบพระเสร็จ ก็นั่งสำรวจ ตัวเอง หน่อยหนึ่งว่า จิตเราขาดสติตรงไหน
เวลาเดินจงกรม ให้วางมือซ้ายลงไ ปที่เหนือสะดือ วางมือขวาของทับมือซ้าย ที่เหนือสะดือ มือทั้งสองข้างเหยียดให้ตรง.จะช่วยให้จิตเข้มแจ้งขึ้นมา.เดินไปเดินมา ไม่ต้องนึกคิดอะไร ไม่ต้องพิจารณาอะไร เพราะเราต้องการให้เหลือแต่กายที่ไม่อารมณ์ปรุงแต่ง จิตเป็นอิสระจากอารมณ์ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี.เพื่อปลดเปลื้องเรื่องราวของอารมณ์ ออกไป อารมณ์นั่นทำให้จิตเรามีทุกข์ สร้างทุกข์ให้แก่จิตของเรา..เดินจงกรมมากๆ..เราจะได้ประโยชน์ ทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น จิตก็มีกำลัง . สติเราก็มีกำลัง..มีความเข็มแข็ง..ที่จะเท่าทันอารมณ์
การประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ควรรีบร้อน ..ค่อยๆกระทำ หมั่นฝึกฝนขึ้นมา เพราะมันมีอุปสรรคมากมาย ..ที่จิตเราจะต้องเจอะเจอ..จิตต้องมีความขันติอดทน .ทนทุกข์ทรมาน ให้จิตรู้จักทุกข์ขึ้นมา ..แล้วจิตเค้าก็จะตื่นขึ้นรู้จักทุกข์ เพื่อจะหนีทุกข์ หนีเวรกรรมกรรม ที่ต้องเกิดๆตายๆไม่จบสิ้น มีเรื่องราวมากมายก่ายกองที่จิตจะได้เรียนรู้จัก รอยของพระ รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเราทำเป็นนิจสินได้ .จิตเราก็จะเบาบางจากอารมณ์ นิสัยเราก็เปลี่ยนแปลง มีสติมีเหตุผล รู้จักโลกว่านำจิตเราไปสู่เรื่องราวของความทุกข์
1
เมื่อเราปฏิบัติลดละอารมณ์กรรมได้มากขึ้น จิตเบาบางจากอารมณ์กรรม..เราก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวพิษของอารมณ์ น้ำหนักของอารมณ์ที่ เราเผลอสติใช้อารมณ์ น้ำหนักของอารมณ์เป็นอย่างไร สีดำสีม่วงที่กระจัดจายขึ้นมาภายในจิตมันแสบร้อยอย่างไร หรือสุข
รายละเอียดของจิตที่จะเข้าไปศึกษาในสิ่งที่อยู่กับธาตุทั้งสี่ ที่เป็นเหมือนเมล็ดทราย ที่เก็บสะสมกรรมมา เมล็ดหนึ่งก็เหมือนชาติหนึ่ง ก็ต้องไปละลายเมล็ดทรายนั้นออกไปจากธาตุทั้งสี่ เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องของคำว่า ขันติบารมี จิตมีบารมี ..ที่สามารถจะไปกระทำได้ จิตที่มีแสงรัตนะเกิดขึ้น จึงสามารถกระทำได้.เพื่อสะสางกรรม ให้การเกิดๆตายๆน้อยลงไปๆ
จิตที่ท่านแข็งแรง ..เข้มแข้ง ท่านสามารถ ยกเรื่องราวคำว่า ขันธ์ห้าออกไปจากจิตของท่านได้ นั้นก็เป็นเรื่องของคำว่า สะสมบุญกุศลบารมี จิตยกขันธ์ห้าออกไปได้ ก็มีเรื่องราวต้องเรียนรู้อีกมากมาย ในเรื่องราวคำว่าภพภูมิต่างๆ เป็นเรื่องราวของกรรมของจิต ..ที่ไปอยู่ในสภานที่ต่าง ทำกรรมอะไรไว้ .ทำไมถึงอยในสถานที่นั่น ..แล้วก็ต้องกลับพิจารณา จิตของตนเอง สะสมให้จิตของตนสะอาดสะอ้าน ให้จิตพ้นทุกข์
..เราปฏิบัติธรรม..ก็เพียรกระทำให้เหลือเพียงจิตเราดวงเดียว จิตเรามาดวงเดียว ไปจากสังขารนี้ก็ต้องไปดวงดี ..แล้วจิตเราสะสมอะไรไป ..หากไม่กระทำก่อนจากเรือนกาย สีดำสีม่วงที่สะสมในธาตุทั้งสี่ก็จะนำพาจิตไปสู่ทุกข์คติ เรื่องที่อ่านเก็บเกี่ยว รู้จำมา อ่านหนังสือธรรมะอะไรมา เมื่อปฏิบัติธรรม ก็วางให้หมด ให้เหลือแต่จิตดวง ..เพราะไปนึกถึง มันเป็น เป็นอารมณ์ .ที่ปรุงแต่งจดจำมา..ทับถมจิตให้มากขึ้น..ปล่อยวางให้จิตไปหาพระ..ให้ได้ ทำได้ละได้ จิตก็จะเป็นพระ ..มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(เช่น พระโมกคัลลา พระสารีบุตร)
เราปฏิบัติธรรม เพื่อให่มีสติสัมปชัญญะรู้จักกรรม มีสติสัมปชัญญะรู้จักธรรม เราหนีกรรม ให้จิตมีธรรมเป็นที่พึ่งของจิต ..รู้จักบุญเป็นอย่างไร บุญเกิดขึ้นมีลักษณะอย่างไร กรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างไร คำว่าอารมณ์ ..ตัวตนของอารมณ์แท้จริงเป็นอย่างไร ทำไมถึงทำให้คนหลงใหลขาดสติ สร้างแต่กรรม มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ..เค้าก็ต้องปฏิบัติธรรมจนไปรับรู้เห็นตัวตนของอารมณ์จริงๆเป็นอย่างไร ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน .พอไปถึงจุดนั้นได้ .เราก็รักจิตของตัวเอง ไม่อยากมีกรรม อยากจะสร้างบุญกุศลบารมีหนีกรรมเอง..
เรื่องสมาธินั้น ..สมาธิเรียกหากรรม สร้างกรรม มันก็มี สมาธิหาความร่ำรวย ชื่อเสียงความสุขสบาย กินนอนอยู่ในกรรมที่อารมณ์ห้อมล้อมด้วยโลกธรรมแปด มันก็มีมากมาย ..เราก็ไปสังเกตดูเอา สมาธิเห็นว่าข้าเก่งยึดถือตัวตนก็มี ..ยิ่งทำยิ่งยึดถือ .ก็มี จิตออกจากร่าง..มีปฏิหาริย์แปลงร่างได้เปลี่ยนจากมนุษย์เป็นเปรตอสุรกายก็มีมากมาย สมาธิตกนรกตามเทวทัตไปก็มี
..ฉะนั้น เรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรม เรื่องของสมาธิ ก็ควรทำความเข้าใจให้ดี ว่าสมาธิตามรอยของพระ ท่านทำกันอย่างไร ไม่เช่นนี้อารมณ์มันนึกคิดเองอุปโลกน์เอง เออเอง.หลงไปเสียอีกโดยไม่รู้ตัว แล้วก็อ่านจิตของตัวเองไม่ออกเลย นั้นก็เป็นเรื่องราวเสี่ยงทาย อีเหมือนกัน ว่าเราจะเจอะเจอผู้ที่ช่วยบอกเราเตือนเรา ดึงจิตของเราให้มาเดินในรอยของพระรอยสร้างบุญกุศลบารมีให้ถูกทาง .เพราะเส้นทางรอยทั้งสี้ของพระ หากจิตไม่สนใจไม่ใช้เหตุผล ไม่สะสมบุญกุศลบารมี ก็ยากที่จะมากระทำ เอารอยทั้งสี่ของท่านมาประพฤติปฏิบัติธรรมได้เลย
..สมาธิที่จะปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรม สละความยึดถืออะไรต่างๆ ให้เหลือแต่จิต ก็ควรศึกษาเรื่องราวขององค์พระสิทธัตถะที่ท่านไปอยู่ในป่า ท่านไปทำอะไรในป่าตัวคนเดียว นอนคนเดียว มีเสื้อผ้าชุดเดียว ท่านไปทำอะไร .ท่านนั่งตากแดดตากฝน อดข้าวปลาอาหาร ไม่มีข้าทาสบริวารบำเรอให้ ..เราก็ศึกษารอยของท่าน..ขอปฏิบัติธรรมตามรอยท่าน ..นับเสี้ยวธุลีของท่านก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้กระทำ
โฆษณา