27 พ.ย. 2023 เวลา 06:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เหตุใดไม่ว่าจะใครหรือพรรคใดชนะการเลือกตั้ง หนี้ของสหรัฐฯจะยังเพิ่มขึ้นและต้องพิมพ์เงินต่อไป

ในปี 2024 ที่ใกล้เข้ามานี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นทั่วโลก สหรัฐฯเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จะเป็นตัวตัดสินทิศทางการกำหนดนโยบายและเศรษฐกิจของสหรัฐฯหลังจากนี้
และผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯกับโจไบเดน ที่ดูเป็นไปได้ที่สุดก็คงหนีไม่พ้น ดอนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าในสมัยของประธานาธิบดีโจไบเดน ได้เกิดวิกฤตการณ์มากมาย เช่น โรคระบาดCovid-19 สงคราม พลังงาน เป็นต้น
ทำให้สหรัฐฯต้องมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จากข้อมูลของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) คาดการณ์ว่าหนี้ของสหรัฐฯตลอดเวลาสี่ปีที่ประธานาธิบดีโจไบเดน ดำรงตำแหน่งอาจจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าสมัยของดอนัลด์ทรัมป์
และหากงบประมาณที่เสนอในปี 2024 ของโจไบเดนได้รับการอนุมัติ เขาจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่มหนี้ให้กับประเทศมากที่สุด ซึ่งเท่ากับหนี้ในสมัยดอนัลด์ทรัมป์และจอร์จดับเบิลยูบุชรวมกัน
ซึ่งหมายความว่าโจไบเดนจะเป็นประธานาธิบสหรัฐฯที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และยังเป็นสมัยที่สหรัฐฯมีการเพิ่มหนี้สาธารณะและการขาดดุลการคลังของประเทศสูงที่สุดอีกด้วย
1
โดยปัจจุบันหนี้ทั้งหมดของสหรัฐฯอยู่ที่ประมาณ 33.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯคิดเป็น 123% ของ Nominal GDP ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯจะดำเนินเศรษฐกิจต่อไปได้โดยปราศจากการพิมพ์เงินใหม่
สิ่งนี้นำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่ประชาชน และสมาชิกในรัฐสภาคองเกรสที่ไม่สนับสนุนเขา โดยพวกเขาอ้างว่าการกระทำนี้ของโจไบเดน นำไปสู่ปัญหาด้านโครงสร้างหนี้ในระยะยาว อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้ว ปัญหาลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างหากดอนัลด์ทรัมป์จากพรรคพรรครีพับลิกันได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
1
เพื่อนๆหรือนักลงทุนที่ติดตามการเมืองของสหรัฐฯ จะทราบดีว่าทั้งสองพรรคอย่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันนั้น มีนโยบายที่ค่อนข้างแตกต่างกัน
1
โดยพรรคเดโมแครต มักถูกมองว่าเป็นพรรคเสรีนิยม (liberal) สนับสนุนนโยบายสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุม เช่น ประกันสุขภาพ การศึกษาฟรี สิ่งแวดล้อม และรวมถึงความมั่นคงของชาติและอื่นๆ
พรรคเดโมแครตจึงมักได้รับความนิยมจากกลุ่มชนชั้นแรงงาน ชนชั้นกลาง และคนรุ่นใหม่ แต่นโยบายของพวกเขาก็มักถูกหาว่าเป็นนโยบายที่มีรายจ่ายที่สูงเกินไปเช่นกัน
ส่วนพรรครีพับลิกัน มักถูกมองว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) สนับสนุนนโยบายลดบทบาทของรัฐบาล เน้นเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ลดภาษี สนับสนุนนโยบายความมั่นคงของชาติ เป็นต้น
พรรครีพับลิกันจึงมักได้รับความนิยมจากกลุ่มชนชั้นสูง เจ้าของธุรกิจ นายทุน และชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป
และนโยบายที่กำลังได้รับความคาดหวังมากที่สุด หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง นั่นก็คือ นโยบายลดหย่อนภาษีและการจ้างงาน โดยนโยบายนี้ที่เป็นที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยที่ดอนัลด์ทรัมป์ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งก็คือนโยบาย Tax Cuts and Jobs Act หรือเรียกย่อๆว่า TCJA
เป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลดอัตราภาษีนิติบุคคล, เพิ่มการหักลดหย่อนมาตรฐานสำหรับบุคคลและครอบครัว, เพิ่มการยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์, การเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีของธุรกิจส่งผ่าน เป็นต้น
ซึ่งได้มีการคาดการณ์กันว่าหากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง นโยบายนี้อาจจะกลับมาและมีการขยายเวลาของนโยบายให้นานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีการประมาณการกันว่าค่าใช้จ่ายในการย้ายภาษีที่เป็นไปได้อาจมีจำนวนมาก โดยหากขยายเวลาของ TCJA ไปจนถึงปี 2035 นโยบายดังกล่าวนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและทำให้หนี้ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 129% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
1
และอาจเพิ่มได้สูงถึง 137% ของ GDP โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 6.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประมาณการของ CRFB และปัจจุบันก็ยังไม่มีการถกเถียงเรื่องเงินที่จะมาชดเชยในส่วนนี้กันอย่างชัดเจน
และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันต่อไปว่า แม้พรรครีพับลิกันจะแสดงท่าทีไม่สนับสนุนนโยบายที่มีการใช้จ่ายสูงมาตลอด แต่ถ้าหากมีการลดหย่อนภาษีซึ่งเหมือนกับการลดรายได้ของรัฐบาลลง แล้วปัญหาอย่างโครงสร้างหนี้และการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯจะถูกแก้ไขได้อย่างไรกัน
จากที่กล่าวมา หากลองมองดูแล้วไม่ว่าใครหรือพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง หนี้ของสหรัฐฯก็ยังคงจะเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การพิมพ์เงินใหม่ออกมาเรื่อยๆ
และอาจจะฟังดูโหดร้ายแต่วิธีอย่างการเก็บภาษีจากประชาชนและธุรกิจเพิ่มขึ้น ตามหลักการแล้วน่าจะทำให้สถานกาณ์หนี้และการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯผ่อนคลายลงได้
คงต้องรอดูต่อไปว่าเมื่อการเลือกตั้งในปีหน้าจบลงใครหรือพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง และได้อำนาจในการคุมบังเหียนและเป็นผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯไป และทิศทางของหนี้และการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯจะเป็นไปอย่างไรต่อหลังจากนี้
References:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา