24 พ.ย. 2023 เวลา 13:02 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 43

ซ่งเจียง ฝนยามแล้ง (1) หยันผอซี
ทางด้านเมืองจี้โจว เมื่อหวงอันแตกทัพถูกจับเป็นเสียทหารสิ้นทั้งหนึ่งพัน ก็เท่ากับว่าเจ้าเมืองไม่สามารถจับโจรได้ภายในกำหนดเวลา จึงมีเจ้าเมืองใหม่เดินทางมารับตำแหน่งแทน เจ้าเมืองเดิมส่งมอบตราประจำตำแหน่งและบัญชีการคลัง
ระหว่างงานเลี้ยงอำลาเก่า ต้อนรับใหม่นั้น เจ้าเมืองเก่าก็เล่ารายละเอียดเรื่องความอุกอาจของพวกโจรที่เขาเหลียงซาน เจ้าเมืองใหม่ได้ฟังแล้วถึงกับหน้าถอดสี คิดในใจว่า “ไฉ้ไท่ซือเลื่อนตำแหน่งข้ามารักษาเมืองนี้ แต่ไม่ได้ให้นายทัพและกองกำลังที่เข้มแข็งมาด้วย ถึงเวลาพวกโจรเข้าปล้น ข้าจะทำอย่างไร” หลังงานเลี้ยงเจ้าเมืองเก่าก็อำลาเดินทางกลับไปยังตงจิง
ข่งมู่ 孔目 (ชื่อตำแหน่งข้าราชการฝ่ายตุลาการ) เมืองจี้โจวมีหนังสือแจ้งมายังอำเภอวิ่นเฉิงให้กวดขันป้องกันพวกโจรเขาเหลียงซาน ทางนายอำเภอวิ่นเฉิงจึงให้ซ่งเจียงคัดลอกหนังสือแจ้งไปยังตำบลบ้านต่างๆ ในเขตอำเภอ
ซ่งเจียงรับเรื่องแล้วจึงคิดว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเฉาไก้จะก่อเรื่องใหญ่ปานนี้ ปล้นของขวัญวันเกิด สังหารทหารและเจ้าหน้าที่ ทำร้ายเหอกวนฉาจนบาดเจ็บสาหัส จับเป็นหวงอัน แม้จะอ้างว่าถูกบีบบังคับ แต่กฎหมายย่อมไม่ละเว้น ความผิดถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร แล้วนี่จะทำอย่างไรดี” ซ่งเจียงสั่งงานต่อผู้ช่วยจางเหวินหย่วน 张文远 แล้วก็เดินออกจากอำเภอมา
เดินมาได้ยี่สิบกว่าก้าว ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกว่า “ยาซือ”
ซ่งเจียงหันกลับมาดู เห็นยายหวัง 王婆 แม่สื่อ พายายเฒ่าอีกผู้หนึ่งมาด้วย
ยายหวังหันไปพูดกับยายเฒ่าผู้นั้นว่า “โชคดีของท่าน ยาซือเอื้ออาทรมาแล้ว”
ซ่งเจียงหันหลังกลับมาถามว่า “มีธุระอะไรหรือ”
ยายหวังชี้ไปยังยายหยัน 阎婆 แล้วบอกว่า
“ท่านยาซือ บ้านนี้เขามาจากตงจิงกันสามคน มีเฒ่าหยัน 阎公 และลูกสาวชื่อผอซี 婆惜 เฒ่าหยันเป็นนักร้องเสียงดี สอนผอซีลูกสาวให้ร้องเพลงตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ก็อายุได้สิบแปดปีหน้าตาสะสวยทีเดียว
ครอบครัวสามคนนี้แต่แรกจะมาอยู่กับขุนนางผู้หนึ่งที่ซานตงนี่ แต่มาแล้วกลับหาไม่พบจึงต้องตกยากอยู่ที่เมืองนี้ แต่คนที่นี่ไม่ค่อยนิยมเที่ยวฟังเพลง เลยทำมาหากินไม่ค่อยได้ พวกเขาอาศัยอยู่ในซอยเปลี่ยวหลังอำเภอนี่แหละ
เมื่อวานตาเฒ่าหยันป่วยตายเสียแล้ว ทางยายหยันไม่มีเงินค่าทำศพ เลยมาปรึกษาข้า ไม่รู้จะไปหยิบยืมใครที่ไหนได้ กำลังอับจนอยู่ก็พอดียาซือท่านผ่านมา พวกข้าเลยรีบมาหา ขอให้ยาซือท่านช่วยอนุเคราะห์โลงศพให้สักชุดเถอะ”
ซ่งเจียงว่า “แค่นี้เอง พวกท่านตามข้ามาที่ร้านอาหารปากซอย ยืมหมึกพู่กันเขาเขียนเทียบให้ท่านถือไปรับโลงศพที่บ้านเฉินซานหลางทางฝั่งตะวันออก” ซ่งเจียงถามอีกว่า “แล้วค่าจัดการศพพอมีไหม”
ยายหยันว่า “บอกตามตรง ค่าโลงศพยังไม่มี จะไปหาค่าทำศพที่ไหนได้”
ซ่งเจียงว่า “เช่นนั้น ข้าช่วยเงินค่าทำศพท่านอีกสิบตำลึง”
ยายหยันว่า “ยาซือท่านเหมือนบิดาผู้ให้ชีวิตใหม่ แม้เป็นม้าลาก็ต้องตอบแทนท่าน”
ซ่งเจียงว่า “อย่าพูดเช่นนั้นเลย” แล้วก็ควักเงินแท่งหนึ่งมอบให้ยายหยันแล้วหันหลังเดินจากไป
เช้าวันหนึ่ง ยายหยันมาหาซ่งเจียงเพื่อขอบคุณ เห็นว่าในบ้านไม่มีผู้หญิงอยู่ด้วยเลยสักคน จึงกลับมาถามยายหวางข้างบ้านว่า "ที่บ้านซ่งยาซือไม่เห็นมีผู้หญิงสักคน เขามีภรรยาหรือยัง”
ยายหวางว่า “บ้านของซ่งยาซืออยู่ที่หมู่บ้านสกุลซ่ง ไม่เคยได้ยินว่ามีภรรยา บ้านในอำเภอนี่เป็นบ้านพักหลวง เห็นท่านเที่ยวแจกโลงศพ แจกหยูกยาช่วยชาวบ้านยากไร้ น่าจะยังไม่มีภรรยา”
ยายหยันว่า “ลูกสาวข้าคนนี้น่ะเกิดมาหน้าตาสะสวย ร้องเพลงดี เรื่องเอาอกเอาใจก็เก่ง สมัยอยู่ตงจิง เคยเข้าออกสำนักนางโลม 行院 ไปที่ไหนใครก็รัก พวกนักเที่ยวหลายคนยังเคยมาสู่ขอแต่ข้าไม่ยอม ก็เพราะต้องอาศัยนางเลี้ยงเราสองผู้เฒ่านี่แหละ เลยทำให้นางต้องมาตกยากด้วยกันทุกวันนี้
วันก่อนข้าไปขอบคุณซ่งยาซือที่บ้าน ไม่เห็นมีภรรยา ก็เลยอยากให้ท่านช่วยเป็นแม่สื่อ ถ้าซ่งยาซือต้องการข้าก็เต็มใจจะยกผอซีให้ วันก่อนได้รับความช่วยเหลือจากซ่งยาซือ ยังไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรอยู่”
วันรุ่งขึ้นยายหวางจึงมาหาซ่งเจียงเพื่อพูดคุยเรื่องเป็นแม่สื่อแม่ชัก ซ่งเจียงทำทีอิดออดในตอนต้นแต่ก็ยอมตามในที่สุด จึงจัดหาบ้านหลังหนึ่งในซอยทางทิศตะวันตกของอำเภอให้นางหยันผอซี 阎婆惜 และมารดาอยู่  ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือนดี ซ่งเจียงก็ประเคนเสื้อผ้าเครื่องประดับให้นางหยันผอซีจนเรี่ยมเร้เรไร มารดาของนางพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
花容袅娜,玉质娉婷。
髻横一片乌云,眉扫半弯新月。
金莲窄窄,湘裙微露不胜情;
玉笋纤纤,翠袖半笼无限意。
星眼浑如点漆,酥胸真似截肪。
金屋美人离御苑,蕊珠仙子下尘寰。
ชดช้อยดังบุปผา
สวยสง่าหยกค่าล้ำ
มุ่นมวยเกล้าเมฆดำ
วงคิ้วคว่ำเสี้ยวจันทร์วาด
บัวทองก้าวเมี้ยนมิด
กระโปรงปิดไม่สิ้นสวาท
หน่อหยกเยื้องย่างยาตร
ผ้าเผยจิตมิคิดค้าน
ดาริกาดวงตาดำเพราพริ้ม
อกอวบอิ่มยองใยใสสะอ้าน
นารีในเรือนทองท่องอุทยาน
นางฟ้าวิมานหยุ่ยจูสู่โลกา
(湘裙 กระโปรงสตรี)
(วิมานหยุ่ยจู 蕊珠宫 ชื่อของวิมานเทวดานางฟ้า)
(บัวทอง 金莲 หน่อไม้หยก 玉笋 คำอุปมา ถึงเท้าเล็กของสตรีนับแต่สมัยซ่งจนถึงสมัยชิง สตรีจีนนิยมมัดเท้าจนเล็กผิดธรรมชาติ ปลายเท้าเรียว ส้นเท้ากว้าง รูปร่างเหมือนดอกบัวหรือหน่อไม้ หญิงไพร่จึงเท้าใหญ่ไม่มัดเท้า)
ในช่วงแรกซ่งเจียงไปค้างกับนางหยันผอซีทุกคืน ต่อมาก็ค่อยๆ เหินห่าง ด้วยเหตุผลว่า
ซ่งเจียงขอบฝึกปรือเพลงอาวุธ เรื่องผู้หญิงนั้นไม่สำคัญนัก (ข้อนี้ ซือไน่อัน แก้ต่างแทนซ่งเจียงแบบขอไปที)
นางหยันผอซีเป็นสาวรุ่นกำดัดวัยสิบแปดปี เหมือนดังน้ำ ซ่งเจียงนั้นกันดารนักไม่ต้องจริตนาง
วันหนึ่ง ซ่งเจียงไม่ทันคิดพาจางเหวินหย่วน 张文远 ผู้ช่วยของตนที่อำเภอมากินข้าวที่บ้านนางหยันผอซี
จางเหวินหย่วน หรือชื่อที่คนมักเรียกว่า จางซานน้อย 小张三 เป็นหนุ่มเจ้าสำราญหน้าตาหล่อเหลา ชอบเที่ยวสถานบันเทิงอีกทั้งซ่องนางโลม ชอบเล่นดนตรีและมีเสน่ห์เชิงชู้สาว จึงเป็นที่ต้องใจนางหยันผอซีซึ่งคลุกคลีกับเรื่องคาวอบายมาแต่เล็ก จางซานก็แอบเล่นหูเล่นตากับนาง พอซ่งเจียงลุกไปเข้าห้องน้ำ นางหยันผอซีก็พูดจาทอดสะพานให้จางซาน จางซานซึ่งเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้ว มีหรือจะไม่สนอง
风不来,树不动;船不摇,水不浑。
 
ลมไม่โบก ไม้ไม่ไหว
เรือไม่พาย น้ำไม่ขุ่น
ต่อมาเมื่อซ่งเจียงไม่อยู่บ้านก็แอบมาหานางอ้างว่ามาหาซ่งเจียง นางรู้ความนัยก็เชิญจางซานดื่มน้ำชา นับว่าซ่งเจียงหาเรื่องเองที่พาจางซานมายังบ้าน
风流茶说合,酒是色媒人。
 
ผูกสมัครชวนดื่มชา
ส่วนตัณหาสุราเป็นสื่อ
นางหยันผอซีนับแต่คบหากับจางซานแล้วก็ไม่เหลียวแลซ่งเจียงอีก เวลาซ่งเจียงมาหา นางยังพูดจาสบประมาท แถมยังไม่ยอมนำเสนอสินค้าให้อีกเลย
ซ่งเจียงค่อยๆ ถอยห่างไป สิบวันจึงมาหาที ส่วนจางซานนั้นมาหาทุกคืนเช้าค่อยกลับ จนชาวบ้านร้านตลาดลือกันทั่ว ซึ่งย่อมรู้เข้าหูซ่งเจียง ซ่งเจียงแม้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็คิดเสียว่า ไม่ใช่เมียตกเมียแต่งที่พ่อแม่สู่ขอ เมื่อนางไม่มีใจก็ช่างเถิด จึงไม่ไปหานางอีกเป็นเดือน ยายหยันผู้เป็นแม่ให้คนมาเชิญ ซ่งเจียงก็บิดพลิ้วไม่ยอมไป
花娘有意随流水,义士无心恋落花。
婆爱钱财娘爱俏,一般行货两家茶。
ใจนางโลมไหลตามกระแสน้ำ
ผู้ทรงธรรมมิคิดรักดอกไม้ร่วง
แม่มักทรัพย์สาวมักคนหล่อควง
เป็นของหวงชิ้นเดียวใช้สองงาน
ซ่งเจียงนั้นไม่ได้มีฝีมือเชิงอาวุธ ถ้าต้องต่อสู้กับใครคงแพ้แน่ แต่ที่ซือไน่อันเขียนแก้ต่างให้ซ่งเจียงเสียว่า เป็นชายชาตรีชอบฝึกอาวุธไม่ใฝ่เชิงโลกีย์นั้น
นางหยันผอซีแม้ชอบคนหล่อไม่ชอบซ่งเจียงที่เตี้ยและดำเป็นทุน แต่ข้อสำคัญที่ซือไน่อันซ่อนความหมายไว้คือ ซ่งเจียงนั้นเรื่องลีลารักนั้นกันดารนักไม่ได้ความไม่ถูกใจสาวๆ จนนางผอซีถึงกับพูดจาสบประมาท กระทั่งไม่ยอมมีสัมพันธ์ด้วย
พอถูกปรามาสเรื่องแบบนี้ ซ่งเจียงย่อมเสียศักดิ์ศรีทนไม่ได้จึงเลิกไปหานางผอซีอีก แม้แม่ของนางจะมาตามก็ไม่ยอมไปให้นางผอซีค่อนแคะทำร้ายจิตใจ ไม่ใช่ว่าซ่งเจียงไม่ใฝ่โลกีย์ เพราะตอนแรกก็ไปหาทุกคืนเหมือนกัน
วันหนึ่งใกล้ค่ำ ซ่งเจียงเลิกงานมานั่งดื่มน้ำชาที่ร้านตรงข้ามที่ว่าการอำเภอ เห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งคาดดาบที่เอว สะพายห่อผ้าใหญ่บนหลัง เหงื่อโทรมเต็มตัวมายืมด้อมๆ มอง ๆ หน้าที่ว่าการ ซ่งเจียงเห็นกิริยาอาการแปลกๆ เช่นนั้น จึงรีบออกจากร้านน้ำชาเดินตามมาได้ยี่สิบกว่าก้าว ชายผู้นั้นรู้ตัวหันกลับมามองแต่จำซ่งเจียงไม่ได้ ซ่งเจียงเองแม้จะรู้สึกคุ้นหน้าก็นึกไม่ออก แต่ไม่กล้าถาม
ชายผู้นั้นหันไปถามร้านขายหวีข้างทางว่า “พี่ท่าน ยาซือที่เห็นนี้คือใคร”
คนขายหวีว่า “ผู้นี้คือ ซ่งยาซือ”
ชายผู้นั้นจึงเดินกลับมาหาซ่งเจียงทำคารวะแล้วกล่าวว่า “ยาซือจำผู้น้องได้หรือไม่”
ซ่งเจียงว่า “ข้าเองก็รู้สึกคุ้นหน้าอยู่”
ชายนั้นว่า “หาที่คุยกันดีกว่า”
ซ่งเจียงจึงนำชายผู้นั้นมายังร้านอาหารในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ทั้งคู่เดินเข้าไปเลือกห้องที่ไม่พลุกพล่านนั่งลง ชายผู้นั้นพิงดาบแล้วปลดห่อสัมภาระวางบนโต๊ะ แล้วกราบคารวะ
ซ่งเจียงถามว่า “ท่านมีชื่อแซ่อะไร”
“ท่านผู้มีพระคุณ ลืมผู้น้องได้อย่างไร”
“พี่ท่านเป็นใครกัน หน้าคุ้นก็จริง แต่ข้าน้อยนึกไม่ออก”
ชายผู้นั้นว่า “ผู้น้องเคยกราบคารวะผู้มีพระคุณครั้งเคยช่วยชีวิตไว้ที่บ้านเฉาเป่าเจิ้ง คือ ผีผมแดงหลิวถัง”
ซ่งเจียงตะลึงว่า “น้องเราช่างกล้านัก หากมีเจ้าหน้าที่มาพบเข้าคงเกิดเรื่องแน่”
“ข้าตั้งใจมาตอบแทนพระคุณพี่ท่าน หากลัวตายไม่”
ซ่งเจียงถามว่า “เฉาเป่าเจิ้งกับพวกพี่น้องอยู่ที่ไหนกันตอนนี้”
“พี่เฉาซาบซึ้งพระคุณที่ท่านเคยช่วยชีวิตไว้ ขณะนี้เป็นหัวหน้าค่ายอยู่ที่เหลียงซานป๋อ มีอู๋เสวียจิวเป็นเสนาธิการ กงซุนเสิ้งกุมอำนาจทหาร หลินชงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงโค่นล้มหวางหลุน พี่น้องเดิมในค่าย ตู้เขียน ซ่งว่าน จูกุ้ยก็เข้าร่วมกับพวกพี่น้องเราทั้งเจ็ด รวมเป็นสิบเอ็ดคน มีลูกน้องรวมแปดร้อยคน เสบียงอาหารบริบูรณ์ พวกเราใคร่ตอบแทนพระคุณของพี่ท่าน จึงให้หลิวถังนำหนังสือและทองคำหนึ่งร้อยตำลึงมากำนัล อีกทั้งยังมีมามอบให้นายกองจูและนายกองเหลยด้วย”
หลิวถังนำหนังสือมอบให้ซ่งเจียง ซ่งเจียงเปิดหนังสือออกอ่าน แล้วล้วงเอาซองเอกสารออกมา พับหนังสือเก็บเข้าซอง
ระหว่างนั้นหลิวถังก็เปิดห่อผ้านำทองคำหลายแท่งวางไว้บนโต๊ะ ซ่งเจียงจึงหยิบทองคำหนึ่งแท่งเก็บใส่ซองเอกสารพร้อมกับหนังสือ แล้วเก็บใส่เสื้อของตน จากนั้นก็บอกให้หลิวถังห่อทองคำแท่งที่เหลือเอาไว้ให้ดี
ซ่งเจียงจึงค่อยเรียกพนักงานร้านมาสั่งสุราอาหารมากินกับหลิวถัง
ฟ้ามืดแล้ว หลิวถังดื่มเหล้าได้ที่จึงเอื้อมมือจะเปิดห่อผ้าหยิบทองคำออกมาอีก
ซ่งเจียงรีบยุดมือไว้แล้วว่า “น้องเรา ฟังให้ดี พวกท่านทั้งเจ็ดเพิ่งตั้งตัวได้ที่ค่าย ยังต้องใช้เงินทองอีกมาก ส่วนซ่งเจียงเองนั้นที่บ้านยังมีพอใช้ ทองคำพวกนี้ก็ขอฝากไว้ที่ค่ายก่อน หากขาดมือวันไหนค่อยให้ซ่งชิงน้องข้าไปขอเบิก วันนี้ข้าก็เก็บเอาไว้แท่งหนึ่งเป็นการรับน้ำใจ
สำหรับจูถงนั้นที่บ้านก็มีฐานะดี ยังไม่ต้องมอบให้เขา ข้าจะบอกให้เขารู้ก็พอ ส่วนเหลยเหิงนั้นเป็นนักพนัน หากได้ทองคำแท่งแล้วนำออกมาใช้ คงเกิดเรื่องใหญ่แน่ มอบทองคำแท่งให้ไม่ได้
น้องเรา เจ้ามีคดีใหญ่ติดตัว ข้าคงรั้งเจ้าไว้พักที่บ้านไม่ได้ หากใครเห็นคงไม่ใช่เรื่องเล่นแน่ คืนนี้พระจันทร์แจ่ม เจ้าควรรีบกลับค่ายเสียคืนนี้เลยอย่ารั้งรอ”
หลิวถังว่า “บุญคุณของพี่ท่านหากยังไม่ได้ตอบแทน ผู้น้องนำของกลับไปเช่นนี้ คงถูกตำหนิแน่”
ซ่งเจียงว่า “ข้าเขียนหนังสือตอบให้นำกลับไปก็ได้แล้ว” จึงยืมหมึกพู่กันจากทางร้านเขียนหนังสือตอบมอบให้แก่หลิวถัง
หลิวถังเก็บหนังสือและทองคำขึ้น เดินทางกลับคืนนั้นเลย
ซ่งเจียงแยกทางกับหลิวถังแล้วก็ค่อยๆ เดินกลับพลางคิดว่า “ดีนะที่ไม่มีเจ้าหน้าที่เห็น ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่ เฉาไก้นี่ก็กระไรเลยไปเป็นโจรแล้ว ยังจะมาก่อเรื่องให้ข้าอีก”
มังกรเก้าลายสื่อจิ้นเคยรับของโจรจนเป็นที่ผิดสังเกต ถูกทางการตามจับ แต่สำหรับซ่งเจียงนั้นตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีกทั้งตัวเองก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ย่อมคิดได้ว่า ทองคำแท่งนั้นไม่ใช่ใครก็มีใช้กัน ปกติจะใช้กันแต่เงินแท่งหรือทองคำชิ้นเล็ก การมีทองคำแท่งจำนวนมากนั้นย่อมผิดปกติ ซ่งเจียงจึงปรารภว่า การที่เฉาไก้นำทองคำแท่งมาเป็นของกำนัล เป็นการก่อเรื่อง
ตอนก่อนหน้า : โลกบาลสถิตเหลียงซาน
ตอนถัดไป : ของกำนัลเป็นเหตุ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา