3 ม.ค. เวลา 14:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Chewy เข้าตลาดหุ้นมาเมื่อปี 2019 ด้วยราคา IPO ที่ 22$ โดยราคาขึ้นไปปิดวันแรกที่ 35$ หรือ +59% ในวันเดียว และเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 120$ ช่วงปี 2021 แต่มาวันนี้ราคาหุ้นเหลือเพียง 22$ หรือกลับไปเท่า IPO เมื่อปี 2019 เลย!! ผ่านไป 4 ปี หลังจาก IPO เกิดอะไรขึ้นกับบริษัท ที่ทำให้ราคาร่วงลงมากว่า 80% จากจุดสูงสุด แล้ววันนี้น่าลงทุนในบริษัทหรือยัง??
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักบริษัท Chewy กันก่อน Chewy บริษัท E-commerce ด้านสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่ายักษ์ใหญ่ด้าน E-commerce อย่าง Amazon ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 1 ใน 3 ของตลาด US Pet E-Commerce ทั้งหมด
1
ข้อมูล US Pet E-Commerce Market Share จาก Bloomberg
ลองดู Key Metric ต่างๆของบริษัทตอนนี้เทียบกับตอน IPO จะเห็นว่าดีขึ้นในทุกด้าน
Year 2019(IPO) → 2023(LTM)
รายได้(ล้าน$) 4,800 → 11,000
Gross Margin 24% → 28%
Adj. EBITDA -2% → 3%
AutoShip 66% → 75%
NSPAC($) 360 → 543
รายได้เติบโตจาก 4,800 เป็น 11,000 ล้านเหรียญ หรือเติบโตเฉลี่ย +23% ต่อปี(CAGR) อัตรากำไรก็ถือว่าดีขึ้น ทั้งส่วนของ Gross Profit และ EBITDA Margin ถ้าเราดูกำไรสุทธิของบริษัทจะเห็นว่ายังน้อยมาก 0.1% เท่านั้น แต่ในปี 2019 ตอนที่เข้าตลาดมาบริษัทยังขาดทุนอยู่เลย(ยังมีโอกาสทำ Margin ให้ดีขึ้นอีกมาก)
AutoShip ก็เพิ่มขึ้นเป็น 75% ของรายได้ทั้งหมดแล้ว Autoship คือการตั้งโปรแกรมอัตโนมัติเลยว่าจะให้ส่งสินค้าวันไหนบ้าง ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Key Feature ของ Chewy เลยก็ว่าได้ ยิ่งสัดส่วน Autoship มากขึ้น ยิ่งบอกเราว่า บริษัทมี รายได้ที่จะเกิดขึ้นแบบ Recurring เท่าไหร่ ซึ่งคาดการณ์ได้ง่ายและเกิดขึ้นต่อเนื่อง
NSPAC คือ Net Sales per Active Customer หรือรายได้ต่อหัว จะเห็นว่าโตขึ้นจาก 360$ เป็น 543$ แล้ว แปลว่าลูกค้าสั่งสินค้ามากขึ้น หรือยิ่งติดกับ Platform มากขึ้น จากกราฟด้านล่างโชว์ให้เราเห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้า เมื่อเข้ามาใช้ปีแรกๆก็ใช้จ่ายไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อผ่าน 3 ปีไปแล้วลูกค้าจะจ่ายไม่ต่ำกว่า 500$ ต่อปี และลูกค้าที่อยู่กับบริษัทมาถึง 10ปี กลุ่มนี้จะจ่ายกันประมาณ 1000$ ต่อปีเลยทีเดียว ยิ่งบอกเราว่าลูกค้ามีโอกาสใช้จ่ายมากขึ้น เมื่ออยู่กับบริษัทนานขึ้นนั้นเอง สอดคล้องกับยอด NSPAC ที่สูงขึ้น
1
แล้วทำไมลูกค้าถึงยอมจ่ายมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี?? เพราะเลี้ยงสัตว์มากขึ้นรึปล่าว ก็น่าจะเป็นส่วนนึง แต่ครอบครัวนึงคงไม่ได้เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากมายจริงไหมครับ สิ่งที่จะเพิ่มยอดต่อหัวให้กับบริษัทได้นั้นคือ การเพิ่มสินค้า และบริการให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ต่อไปเรามาดูว่าบริษัทได้พัฒนาอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา
บางคนอาจจะนึกออกแค่ว่า บริษัทก็น่าจะขายอาหารสัตว์ หรืออุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เพียงเท่านั้น แต่จริงๆแล้ว Chewy พยายามทำตัวให้เป็นที่พึ่งสำหรับคนเลี้ยงสัตว์ที่ครบวงจร(Ecosystem) ที่สุด บริษัทแบ่งกลุ่มสินค้าและบริการออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ Chewy Retail และ Chewy Health ก่อน IPO Chewy เป็นแค่ตัวกลางขายอาหารสัตว์ และอาหารเสริมสำหรับสัตว์ออนไลน์เท่านั้น แต่ผ่านไป 4 ปี
ภาพรวมสินค้าและบริการของ Chewy
บริษัทมีการต่อยอดทำสินค้าที่เป็น Private Brand ของตัวเอง รวมถึงมีรายได้จากค่าโฆษณาใน Platform อีกด้วย ถ้ามองกันตามตรงส่วนของอาหารสัตว์หรืออุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง แน่นอนว่าเราก็คงหาตาม Amazon หรือร้านค้าทั่วไปได้ไม่ยาก เทียบกับ Amazon แล้วส่วนตัวผมคิดว่าก็คงไม่ต่างกันมาก(ถ้าใครมีประสบการณ์ก็มาแชร์ได้เลยนะครับ) แต่ส่วนที่จะสร้างความแตกต่างให้กับ Chewy เหนือคู่แข่งอื่นๆเลยก็คือ การสร้าง Ecosystem นอกเหนือจากกลุ่ม Retail นั้นเอง
อีกกลุ่มที่ว่าคือ Chewy Health ผมขอเจาะตรงนี้นิดนึงนะครับ เนื่องจากบริษัทมองว่านี้คือความหวังที่จะเป็นตัวทำกำไรสำคัญของบริษัทในอนาคตเลย Chewy Health แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยดังนี้
ภาพรวมของ Chewy Health
1. B2B Products : กลุ่มยารักษาโรค อาหารเสริมต่างๆ กลุ่มนี้ไม่ใช่อยู่ๆอยากขายก็ขายได้เลยเหมือนกันอาหารสัตว์ แต่ต้องผ่านกฎหมายต่างๆซึ่งแต่ละรัฐในอเมริกาก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย และแนวโน้มในอนาคตก็คาดว่าคนจะซื้อผ่าน Online มากยิ่งขึ้น จากปี 2018 มีสัดส่วนเพียง 10% ที่ซื้อผ่านออนไลน์ แต่ปี 2023 สัดส่วนตรงนี้เพิ่มขึ้นเป็น 30% และบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40 - 50% ได้ในระยะยาว
B2B Products
2. B2C Services : Careplus การทำประกันให้กับสัตว์เลี้ยง ในไทยก็เริ่มมีให้เห็นบ้างนะครับ แต่น้อยมากๆ ถ้าดูใน US ก็ยังถือว่าน้อยมากเช่นกัน มีเพียง 3% เท่านั้นที่ทำประกันให้สัตว์เลี้ยง ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสอีกมาก เพราะใน UK มีสัดส่วนกว่า 17% ของสัตว์เลี้ยงทั้งหมดที่มีการทำประกัน โดยบริษัทได้ Partner กับ trupanion และ lemonade อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Telehealth สำหรับสัตว์เลี้ยง และ PetMD ที่เป็นเหมือนเว็บไซต์ให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
B2C Services
3. B2B Services : กลุ่มนี้จะเป็นบริการช่วยทางฝั่งคลินิคสัตว์ โดยมี 2 บริการคือ practicehub เป็นเหมือน E-commece สำหรับคลินิคต่างๆ ยกตัวอย่างคลินิคอาจจะจ่ายยาให้ลูกค้าแบบเป็น autoship โดยใช้ระบบของ Chewy เป็นต้น และอีก Platform นึงคือ rhapsody ที่เป็น Cloud-Based PIMS หรือพูดง่ายๆก็คือเป็นเหมือนกับระบบหลังบ้านของคลินิคสัตว์ ซึ่งจะ Link กับระบบขนส่งหรือจ่ายยาของ Chewy ได้โดยตรง
ความแตกต่างระหว่าง rhapsody และ PIMS ดั้งเดิม
ต้องบอกว่ากลุ่ม Chewy Health บางบริการยังถือว่าใหม่มากๆ และเป็นเพียง PoC เท่านั้น แต่ทำให้เราพอจะเห็นภาพว่าบริษัทมองตัวเองเป็นอะไร และต้องการจะทำอะไรในอนาคตเพื่อสร้างความแตกต่าง และเพิ่มมูลค่าให้กับทุกๆ Stake holder และถ้าเขาทำสำเร็จตามแผนที่ตั้งใจ ก็จะเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้นั้นเอง
รายได้กลุ่ม Chewy Health
มองภาพกว้างขึ้นในส่วนของตลาด Pet Health มีมูลค่า 47 พันล้านเหรียญถือเป็น 33% ของตลาดสัตว์เลี้ยงทั้งหมด TAM ทั้งหมดที่ Chewy จะเข้าถึงได้ในตอนนี้คือ 22 พันล้านเฉพาะส่วนของประกันและสินค้าต่างๆ ซึ่งวันนี้ยอดขายกลุ่ม Chewy Health อยู่ที่ 3.1 พันล้าน หรือคิดเป็น Market share 14%
ถือว่ายังมีช่องให้เติบโตอีกมาก และส่วนนี้ก็ยังเป็นส่วนที่มีการเติบโตสูง รวมถึง Margin ก็ดีกว่ากลุ่ม Chewy Retail ถึง 10% แสดงว่าถ้ากลุ่มนี้โตได้ เพิ่มบริการต่างๆได้ตามที่บริษัทตั้งไว้ ก็มีโอกาสที่ Margin ของบริษัทในระยะยาวจะดีขึ้นนั้นเองครับ
โดยสรุปที่กล่าวมาข้างต้นก็ดูดีทั้งนั้นเลยนี้!!! แล้วทำไมหุ้นร่วงขนาดนี้??
ต้องบอกว่า Chewy เป็นหุ้นที่มีความคาดหวังสูง ซึ่งมันก็ทำได้ดีมากๆในช่วงโควิด ที่คนต้องอยู่บ้าน มีการรับเลี้ยงสัตว์มากขึ้นกว่าช่วงปกติในอเมริกาซึ่งเป็นรายได้หลักของ Chewy แต่มาปีนี้เริ่มไม่โตแบบที่หวังกันไว้อีกต่อไป โดยในไตรมาสที่ 3 2023 รายได้เติบโตเพียง 8% และกลับมาขาดทุนอีกครั้ง
แต่ประเด็นที่สำคัญเลยคือยอด Active Customer ที่ไม่เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ต้นปี 2022 เป็นต้นมา น่าจะเป็น Key สำคัญที่กดดันหุ้นในช่วงที่ผ่านมา นี้ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยในมุมมองของผู้ถือหุ้น เพราะการเติบโตที่มั่นคง ผู้ใช้บริการควรจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ยอดต่อหัวสูงขึ้น ยังทำให้รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นได้
Active Customer และ ยอดขายต่อหัว (NSPAC)
Valuation ของบริษัท
เนื่องจากยังมีกำไรไม่สม่ำเสมอ ดู P/E คงบอกอะไรเราไม่ได้เท่าไหร่ ดูแบบง่ายๆเลยคือ Price to sale และ Price to Cash flow ถึงบริษัทจะไม่มีกำไรมาก แต่ก็พอมี Cash flow เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายเป็น Share base compensation ที่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดอยู่พอสมควร ซึ่งไม่ได้บอกว่าดีนะครับ อันนี้ก็เป็นประเด็นที่ต้องดูถ้าสนใจจริงๆ
ผมลองเทียบให้เห็นภาพกับบริษัทที่เป็น E-commerce ด้วยกันทั้ง Amazon และ Alibaba (ซึ่งเอาจริงๆเทียบกันไม่ได้ซะทีเดียวเพราะทั้ง Amazon และ Alibaba มีธุรกิจอื่นเช่น Cloud แต่อย่างที่บอกว่าแค่นี้ก็พอเห็นภาพแล้วครับว่าตอนนี้มูลค่าของบริษัทอยู่ประมาณไหน) กับอีกบริษัทคือ PetCo(WOOF) ที่มีธุรกิจใกล้เคียงกับ Chewy ที่สุดที่มีในตลาดให้เราเทียบได้แล้ว แต่ Marketshare ส่วน E-commerce ก็ยังเทียบ Chewy ไม่ได้
เมื่อดูภาพ Valuation เทียบกัน 4 บริษัทยิ่งเห็นภาพได้ชัดครับ ว่าทำไมราคาหุ้นถึงลง
คำตอบก็คือมันแพงเกินไป !!!
วันที่เข้าตลาดมา P/S เท่ากับ Amazon เจ้าตลาด และช่วงที่ขึ้นไป 120$ ต่อหุ้น P/S ขึ้นไปถึง 6 เท่า ทั้งที่รุ่นพี่อยู่แค่ 4 เท่าเอง มาวันนี้เหมือนจะถูกกว่า Amazon แล้ว แต่อย่าลืมว่า Amazon มี Product ที่ยังไง Chewy ก็มีไม่ได้นั้นคือ AWS Cloud แล้วถ้าเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียงกันอย่าง PetCo(WOOF) จะเห็นว่า PetCo เทรดที่ P/S ต่ำกว่า Chewy อยู่หลายเท่า
P/S, P/CF
แล้วถ้าดู Price to Cashflow ก็ยิ่งชัดว่ามันแพงมาก ถึงแม้ราคาจะลงมาเยอะแล้วก็ตาม ปัจจุบันยังเทรดระดับ P/CF เท่า Amazon และแพงกว่า Alibaba เกือบ 3 เท่า
สำหรับผม สิ่งที่ต้องติดตาม และคิดว่าเป็น Key สำคัญที่จะทำให้หุ้นกลับมามีความหวังอีกครั้งคือการได้เห็นตัวเลข Active Customer ที่เพิ่มขึ้น และ Margin ที่ดีขึ้น แค่เกิด 2 สิ่งนี้ผมอาจจะกลับมาสนใจอีกครั้ง แต่ส่วนตัวตอบยากจริงๆครับว่าจะกลับมาได้เมื่อไหร่ ข้อสังเกตคือในปี 2020 - 2021 ยอดผู้ใช้งานโตเร็วมาก คำถามคือจะโตกว่านี้ได้อีกไหม จากอะไร
ส่วนฝั่งยอดขายต่อหัวผมยังเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นได้ จากการเพิ่มสินค้าและบริการต่างๆที่บอกไปก่อนหน้านี้ และเทรนที่คนให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ก็ยังคงอยู่ แต่ตอนนี้ราคาหุ้นก็ไม่ได้ถูกจนน่าสนใจขนาดนั้นครับ ไปซื้อ Amazon อาจจะง่ายและชัวร์กว่า
บทความนี้เพื่อส่งต่อข้อมูลที่ผมหามาจากการศึกษาบริษัท และความคิดเห็นที่เขียนเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น มีความคิดเห็นยังไงมาแชร์กันได้นะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา