7 ต.ค. 2023 เวลา 17:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จุดเริ่มต้นของ Palantir บริษัท AI ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐ

Alexander Karp CEO คนปัจจุบันของ Palatir เริ่มต้นเรียนกฎหมายที่มหาลัย Stanford โดยช่วงนั้น Karp อยู่ห้องเดียวกันกับ Peter Thiel ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Paypal เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันเลยก็ว่าได้ หลังจบปริญญาตรีทั้งสองก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง Karp ไปเรียนต่อด้านปรัชญาที่ยุโรปจนกลายเป็น Dr.Krap ที่ทุกคนเรียกกันทุกวันนี้ และเปิดบริษัทแนะนำการลงทุนในชื่อ Caedmon strategy & capital consulting ทำให้เขามี Connection กับคนระดับสูงอยู่พอสมควร
1
ระหว่างนี้ Peter Thiel ก็กำลังสร้างอาณาจักรของตัวเองอย่าง Paypal และหลังจากขาย Paypal ให้ e-bay เขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐี และนำเงินที่ได้มานั้นไปลงทุนในบริษัท Startup อื่นๆ หนึ่งในนั้นคือ Facebook หรือ Meta ในปัจจุบันนั้นเอง
เหตุการณ์ 9/11
ในปี 2001 เกิดเหตุวินาศกรรม 9/11 เครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก ทำให้ Thiel เริ่มมีวิสัยทัศน์ใหม่หลังจากขาย Paypal ออกไป เขาไม่ต้องการให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นอีก จะทำยังไงเพื่อหยุดผู้ก่อการร้าย ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขาจึงไปรวมทีมกับเพื่อนทั้งจาก Stanford และที่ต่างๆที่เขาเคยทำงานมา ตั้งบริษัทชื่อ Palantir ชื่อนี้มีที่มาจากลูกแก้วที่มีความสามารถมองเห็นได้ทั่วอาณาจักรในหนังเรื่อง The Load of the ring นั้นเอง
Palantir มาจากลูกแก้วใน The Load of the ring
ช่วงแรกๆบริษัทมีแต่คนสายเทค ที่กำลังร่วมกันสร้าง Prototype ขึ้นมา แต่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือขายให้รัฐบาลสหรัฐให้ได้ ดังนั้นคนที่เหมาะกับการเข้าหาคนระดับสูงหรือรัฐบาลมากที่สุดที่ Thiel นึกได้ในตอนนั้นคือเพื่อนสมัยมหาลัยของเขาอย่าง Alexander Karp ซึ่งเข้าใจในอุดมการณ์ของเขาดี และพร้อมจะร่วมกันสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาร่วมกัน Karp จึงเข้ามานั่งแท่น CEO ของบริษัทตั้งแต่นั้นมา
ในปี 2004 พวกเขาก็สร้าง Prototype สำเร็จ โปรแกรมของพวกเขามีเป้าหมายคือการนำข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลมาร่วมกันแล้วใช้ AI วิเคราะห์หา Pattern บางอย่างเพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวมถึงการตรวจจับผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายแรกของพวกเขา แต่นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาต้องทำต่อไปคือโน้มน้าวให้รัฐบาลมาใช้ให้ได้ พวกเขาคิดว่าโปรแกรมของพวกเขาดีเลิศ และมันน่าจะขายตัวเองได้ แต่กลับกัน ในช่วงแรกไม่มีใครสนใจโปรแกรมของพวกเขา เพราะมันเข้าใจยาก และเหมือนว่าพวกเขาจะพูดคนละภาษากับรัฐบาล
แต่ Karp ไม่ได้ถอยแต่อย่างใด เขาเข้าหาผู้คนต่างๆ ที่ช่วยให้เขาได้เข้าไปคุยกับหน่วยงานรัฐบาลจนได้งานในหน่วยงานเล็กๆ และทีมของเขาใช้เวลาไม่นานในการแก้ปัญหาให้หน่วยงานเหล่านั้น จนกลายเป็นปากต่อปากระหว่างหน่วยงาน ว่าบริษัท Tech Startup เล็กๆนี้ "มีของ"
ตัวอย่างหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐที่เป็นลูกค้าของ Palantir
จนปัจจุบันมากกว่า 110 หน่วยงานของสหรัฐเป็นลูกค้าของ Palantir ไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าความต้องการแรกของบริษัทคือการต่อต้านการก่อการร้าย และหน่วยงานที่พวกเขาต้องการเข้าไปให้ได้มากที่สุดคือหน่วยงานทหาร ซึ่งการจะได้คุยกับคนระดับสูงนั้นยากยิ่ง Karp จึงตัดสินใจเริ่มจากการเข้าหาตัวทหารก่อนเลย โดยมีการให้ทหารทดลองใช้โปรแกรมของพวกเขา รวมถึงมีการจัด Training ให้ จนทำให้ทหารระดับล่างติดใจ และบอกต่อ จนในที่สุดก็ทำให้ทหารระดับสูงต้องเข้ามาคุยทำสัญญากับ Palantir ในการช่วยรบใน Afghanistan จนได้
Distributed Common Ground/Surface System
แต่การจะนำไปใช้ทั้งหน่วยงาน ยังคงมีกำแพงใหญ่ที่ขวางกั้นอยู่ เพราะว่าการทหารของสหรัฐในตอนนั้นพึ่งเซ็นสัญญากว่า 1 หมื่นล้านเหรียญในการสร้างโปรแกรมที่คล้ายกับ Palantir ขึ้นมาใช้เองภายใน โค้ดเนม Distributed Common Ground/Surface System หรือ DCGS แต่สุดท้ายแล้วโปรแกรมนี้ก็ไปไม่รอด เพราะเทียบไม่ได้เลยกับที่ Palantir ทำ อีกทั้งทหารที่ไปรบที่ Afghanistan ในครั้งนั้นกว่า 96% บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Palantir คือของจริง
อุซามะฮ์ บิน ลาดิน
และที่ทำให้เป็นที่ฮือฮามากที่สุดก็คือในปี 2011 ทหารสหรัฐตรวจพบที่อยู่ของอุซามะฮ์ บิน ลาดิน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 และทำให้เกิดปฏิบัติการสังหารหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้ายครั้งยิ่งใหญ่ของโลกขึ้น
ซึ่งก็มีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่า Palantir คือตัวช่วยที่ทำให้ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูลตรงนี้ทั้งรัฐบาล และ Palantir เอง แต่ภายหลังเหตุการณ์นี้ทำให้ Palantir กลายเป็นบริษัทที่หน่วยงานสหรัฐแทบทุกหน่วยงานจะนึกถึงและใช้บริการอยู่เรื่อยๆ
1
Airbus partner with Palantir
หลังจากที่สามารถเข้าถึงหน่วยงานรัฐได้เรียบร้อย เป้าหมายต่อไปคือเข้าหาบริษัททั่วไปที่มีการเก็บข้อมูล และต้องการใช้ข้อมูลเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด Airbus เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีในปี 2016 Airbus ให้ Palantir เข้าไปช่วยเรื่องการผลิตเครื่องบินให้รวดเร็วและประหยัดขึ้น ซึ่งไม่เกินความสามารถของพวกเขาอยู่แล้ว
จนในปัจจุบันทุกข้อมูล ทุกการเดินทางของบริษัท Airbus จะถูกส่งผ่านโปรแกรมของ Palatir เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ นอกจาก Airbus ยังมีอีกกว่า 280 บริษัทที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Palatir และสร้างรายได้ให้กับบริษัทกว่า 2 พันล้านเหรียญในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
แล้วบริษัท AI ที่อยู่เบื้องหลังหน่วยงานสหรัฐรวมถึงภาคธุรกิจมากมาย ที่มีมูลค่าในตลาดหุ้นสูงถึง 35,000 ล้านเหรียญนี้ น่าลงทุนหรือไม่ ไว้มาคุยกันต่อ Part หน้านะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา