การพัฒนาและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เกิดข้อถกเถียงและผู้เสียหายหลายรายจากการใช้ AI ที่ไม่ถือว่ามีสภาพเป็นบุคคลภายใต้กฎหมาย นำมาสู่คำถามที่ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องกำกับควบคุมให้อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
หนึ่งในเรื่องที่ถกเถียงกันมากที่สุดคงหนีไม่พ้นคือ การที่ AI ข้ามเส้นเข้ามาในวงการศิลปะ อย่างเทคโนโลยี Generative AI ซึ่งเป็นการนำผลงานของศิลปินหลายๆ คนมายำรวมออกมาเป็นผลงานเดียว จนทำให้บรรดาศิลปินรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่ตนเองอุตส่าห์ทุ่มเทเวลาและฝีมือในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นหนึ่งออกมา
จากเวทีสัมมนา ‘ตามให้ทัน Generative AI – ประเด็นทางกฎหมาย’ จัดโดยสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ที่มีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสรุจ ทิพเสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ ได้พูดคุยถึงประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับ AI กับกฎหมาย รวมทั้งเรื่องของลิขสิทธิ์ที่เกิดการถกเถียงกันอย่างมากมาย และประเด็นการควบคุมการใช้งาน Generative AI
■
ภาพจาก AI ลิขสิทธิ์ของใครกันแน่?
ผลงานจาก Generative AI เป็นการใช้โปรแกรมพิวเตอร์ในการสร้างสรรค์ โดยการป้อนข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง จึงเกิดปัญหาและข้อถกเถียงถึงการที่ AI นำข้อมูลจากศิลปินรายอื่นมาใช้สร้างสรรค์ผลงานของตน ซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ศิลปินเจ้าของผลงานต้นฉบับ หลายๆ คนจึงเสนอว่า ผลงานที่สร้างสรรค์จาก AI นั้นไม่นับเป็นผลงานที่มาจากความคิดของมนุษย์อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
เมื่อผลงานจาก AI ไม่นับว่ามาจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ การถกเถียงเรื่องความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ผลงานจากภาพที่สร้างขึ้นโดย AI จึงเป็นปัญหาที่ตามมา ข้อถกเถียงนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งที่ยืนยันว่าการจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ได้นั้น ต้องมาจากการสร้างสรรค์ด้วยฝีมือของมนุษย์เท่านั้น หากเจ้าของผลงาน AI ต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผลงานนั้นสร้างขึ้นมาจากการสร้างสรรค์ของตน ไม่ใช่จาก AI เพียงอย่างเดียว และมีส่วนใดบ้างเป็นส่วนที่มนุษย์ใช้ความสามารถของตนในการสร้างสรรค์
ตรงกันข้ามกับแนวคิดของอีกฝั่งที่มองว่า การใช้ Generative AI ไม่ได้ต่างจากการที่มนุษย์ใช้อุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ผลงาน จำพวกพู่กัน แปรง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กล้องถ่ายรูป ซึ่งปัจจุบันนี้มีหลากหลายฟังก์ชันที่เป็นตัวช่วยในการถ่ายภาพ นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่เป็นข้อสนับสนุนอีกว่า หากการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ต้องมาจากผลงานที่มนุษย์สร้างสรรค์เองจะทำให้เทคโนโลยีไม่เกิดการพัฒนาไปข้างหน้า ศิลปินจะไม่กล้าใช้ Generative AI เนื่องจากไม่ได้รับผลประโยชน์จากผลงานที่ตนเป็นผู้สร้างสรรค์
นับเป็นเรื่องยากที่จะหาเจ้าของลิขสิทธิ์ผลงานจาก AI แม้จะเกิดข้อถกเถียงมากมาย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายออกมากำกับอย่างชัดเจนนัก ซึ่งพัฒนาการทางกฎหมายนั้นเป็นกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้เวลา ในขณะที่พัฒนาการของเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกำลังเติบโตไปข้างหน้า แม้วันหนึ่งกฎหมายจะสามารถให้คำตอบกับประชาชนได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่ากฎหมายนั้นจะเป็นคำตอบที่ตรงกับบริบทของสังคม ณ ตอนนั้น
ปัจจุบันทิศทางเรื่องลิขสิทธิ์ ทางฝั่งผู้สนับสนุน AI ดูจะนำหน้าไปแล้วหนึ่งก้าว เนื่องจาก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอย่าง Google, Microsoft และ Open AI ได้ออกมาประกาศนโยบายการปกป้องผู้ใช้งาน โดยประกาศว่าหากผู้ใดใช้ Generative AI ของพวกเขาแล้วถูกฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ จะมีทีมกฎหมายจากบริษัทมาช่วยปกป้องคุ้มครอง นับเป็นการแสดงจุดยืนที่พร้อมจะสนับสนุน Generative AI ต่อไปในอนาคต
■
Generative AI กับปัญหาในการควบคุม
หลายๆ ครั้งที่เลื่อนฟีดแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วเห็นภาพบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สามารถขยับได้ราวกับมีชีวิต หรือแม้กระทั่งการตัดต่อรูปโดยใช้ AI ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่หากถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดก็นับเป็นการสร้างข้อมูลปลอมที่จะเป็นปัญหาตามมาในภายหลัง จนเกิดข้อสงสัยว่าการกระทำเหล่านี้มีความผิดทางกฎหมายอย่างไรบ้าง
ในวงการคอมพิวเตอร์จะมี community ที่เรียกว่า open-source ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่แจกจ่ายให้ใช้ได้ฟรีโดยไม่มีการป้องกัน ตรงข้ามกับการใช้ Generative AI จาก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่โปรแกรมจะมีระบบตรวจเช็กข้อมูลว่าภาพที่ออกมามีความเหมือนต้นฉบับเกินไปหรือไม่ หากเหมือนเกินไปจะไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ ซึ่งในทางหนึ่งถือเป็นการป้องกัน