30 ม.ค. เวลา 13:24 • นิยาย เรื่องสั้น

สงครามชิงไข่มุกอัสคาเนีย

“เมื่อเหล่าอัศวินทั้งเจ็ดและเหล่านักรบสวรรค์ ต้องผนึกกำลังกัน ต่อกรกับพวกยักษ์เบโฟต ที่หมายจะครอบครองไข่มุกอัสคาเนีย เพื่อหวังจะเป็นใหญ่ในจักรวาล”
ในอดีตกาล โลกได้ปรากฏวัตถุชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง มันคือไข่มุกอัสคาเนียที่ทรงอำนาจ ที่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดา ให้กลายเป็นผู้มีพลังอำนาจ ที่สามารถครองโลกได้ อีกทั้งแผ่นดินโลกในเวลานั้น เกลื่อนกลาดไปด้วยพวกยักษ์เบโฟตที่ชั่วร้าย พวกมันมีเป้าหมายที่จะให้เผ่าพันธุ์ของพวกมัน ได้ขึ้นมาเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล อัสคาเนียจึงเป็นของวิเศษชิ้นสำคัญ ที่พวกมันพากันหมายปอง แต่อุปสรรคของพวกมันก็คือไข่มุกวิเศษลูกนี้ อยู่ในการคุ้มครองของอัศวินทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นนักรบในกองทัพสวรรค์ของเทพอีโดเรส ด้วยสาเหตุนี้
1
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกยักษ์เบโฟตจึงสู้รบทำสงครามกับกองทัพฝ่ายอัศวินมาอย่างยาวนาน เพียงเพื่อให้ได้ไข่มุกอัสคาเนียมาไว้ในมือ โลกจึงโชยไปด้วยกลิ่นไอแห่งสงคราม แผ่นดินโลกต่างลุกเป็นไฟ สงครามได้ปะทุต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ ยิ่งต่างฝ่ายเข่นฆ่ากันมากเท่าไหร่ โลกก็จมอยู่ในความพินาศมากขึ้นเท่านั้น
ท่ามกลางท้องนภาอันมืดมิด ในโลกที่ท้วมไปด้วยความโกลาหล สรวงสวรรค์ชั้นฟ้าในทางตอนเหนือ จะเป็นที่ตั้งของวิหารมาลาเทียร์ ตัววิหารสร้างขึ้นมาจากทองคำ ที่ดูงดงามตระการตา บริเวณส่วนปลายยอดของตัววิหาร จะเป็นรูปช้างที่กำลังชูงวง ซึ่งมีความสูงเสียดฟ้า
ภายในวิหารแห่งนี้ จะเป็นที่ประทับของเทพอีโดเรส ผู้ที่ให้กำเนิดโลกและสรรพชีวิตทั้งปวง พระองค์มีกายท่อนล่างเป็นมนุษย์เพศชาย บริเวณหน้าท้องของพระองค์จะเป็นกล้ามเนื้อ ที่จัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ หรือที่คนส่วนใหญ่มักเรียกกันว่าซิกเพ็ก ศีรษะของพระองค์เป็นช้าง ที่บริเวณส่วนงา ถูกสร้างจากทองคำ นับว่าเป็นเทพที่มีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง บริเวณที่ประทับของพระองค์ จะมีองครักษ์ 2 นาย ที่รูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสิง ที่ทำหน้าที่คอยคุ้มกัน องครักษ์ฝั่งซ้ายจะมีชื่อว่าเลโอ ส่วนองครักษ์ฝั่งขวาจะมีชื่อว่าเลมา
เทพอีโดเรสที่กำลังนั่งอยู่บนที่ประทับ ได้เห็นถึงการสู้รบอันดุเดือด ระหว่างฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม พระองค์ยังเห็นบรรดาสิ่งมีชีวิต ที่พระองค์สร้างขึ้นมา ด้วยความรัก ต้องมาจบชีวิตลงไปกับสงครามอันโหดร้าย ใเวลานี้โลกจมอยู่กับความพินาศ เพราะความอยากจะขึ้นมาเป็นใหญ่ของพวกยักษ์ษา ที่มากไปด้วยความชั่วร้าย
ในสถานการณ์ขั้นวิกฤต เทพผู้ให้กำเนิดจักรวาลเห็นว่าหากสงครามยังมีต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานโลกก็คงจะถึงจุดจบและมลายหายไป พร้อมกับสงครามอันป่าเถื่อน องค์อีโดต้องการตอบสนองความต้องการของพวกยักษ์ร้าย ที่ต่างมุ่งหวังในอำนาจอันจอมปลอมอย่างสาสมและเพื่อยุติหายนะที่กำลังเกิดขึ้น
องค์อีโดได้ใช้เวลาครุ่นคิดและทบทวนแผนการต่างๆ อย่างละเอียดและถี่ถ้วน ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่สงบ เพียงชั่วอึดใจเดียว แผนการทั้งหมดก็ถูกวาด อยู่ในความคิดขององค์ผู้สร้างสรรพสิ่ง
เมื่อแผนการทั้งหมด ถูกวางเอาไว้แบบเข้าที่เข้าทาง องค์อีโดได้สร้างลมหายใจ ขึ้นมาจากงวงของพระองค์ ลมหายใจที่ถูกปล่อยออกมา ได้กลายเป็นควันไฟสีม่วง ที่ส่องสว่างเจิดจ้า ควันไฟอันศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง จนกลายเป็นแผ่นศิลา
องค์อีโดได้เริ่มบันทึกและเขียนถึงแผนการ ที่จะกวาดล้างเหล่ายักษ์ร้ายให้สิ้นซาก ลงบนแผ่นศิลาที่พระองค์เนรมิตขึ้น ประโยคและตัวอักษรต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นศิลา ตามคำบอกกล่าวและความคิดขององค์อีโด พร้อมกับแสงสีทองอันเจิดจ้า ที่สะท้อนออกมาจากแผ่นศิลา
หลังจากที่แผนการทั้งหมด ถูกเขียนลงบนแผ่นศิลา เทพอีโดเรสตะโกนร้องเรียกเกิร์ส ซึ่งเป็นพญาอินทรี ที่มีร่างกายใหญ่เท่ากับภูเขา 1 ลูก สัตว์พาหนะคู่กายของพระองค์
ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนร้อง ชั่วพริบตาเดียวบริเวณหน้าวิหารมาลาเทียร์ ก็เกิดมีแสงสว่าง ที่สาดพุ่งออกมาจากหมู่เมฆบนท้องฟ้า แสงนั่นได้ส่องกระทบเข้ามาที่ตัวของวิหาร ทำให้บริเวณรอบๆ วิหาร มีแสงที่กำลังส่องสว่างไปทั่ว ท่ามกลางท้องฟ้าที่ดำมืด เเสงสว่างนั่นส่องมาบรรจบกันเป็นวงกลมและค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นนกร่างยักษ์ตัวหนึ่งและนกตัวที่ว่านั่นก็คือเกิร์ส ซึ่งเป็นพาหนะคู่หูของเทพผู้สร้างสรรพสิ่ง
องค์โดเรสบอกให้เกิร์ส นำเอาข้อความที่บันทึกไว้บนศิลา ไปแจ้งให้กับอัศวินทั้งเจ็ดและเหล่านักรบในกองทัพสวรรค์ได้รับรู้ เกิร์สแหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนและหลับตา พร้อมกับกระปือปีก ที่มีความกว้างถึง 20 เมตร ไป 1 ที แรงกระพือปีกอันทรงพลัง ทำให้เกิดมีลมพายุที่พัดแรง จากนั้นทั่วทั้งร่างของเกิร์ส ก็มีแสงสีทองเรืองอร่าม ที่ส่องทะลักออกมา
แสงนั่นค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างของเกิร์ส ให้กลายเป็นนักรบ ที่มีรูปร่างสง่างาม เสื้อเกราะที่เกิร์สสวมใส่ ถูกสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วน ที่เป็นงาขององค์อีโด มันจึงเป็นเสื้อเกราะที่ทรงอานุภาพ ที่ไม่มีอาวุธใดๆ จะสามารถแทงทะลุผ่านเข้าไปได้
เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้านาย เกิร์สก็เดินไปอุ้มเอาแผ่นศิลา ที่องค์อีโดวางเอาไว้บนแท่น ด้วยแขนและมือทั้งสองข้าง พอแผ่นศิลาได้ตกสู่อ้อมแขน เกิร์สก็บินออกจากวิหารแห่งนั้น ด้วยปีกขนาดยักษ์และมุ่งหน้าไปยังวัลเดอร์เอิร์ธ ที่ตั้งอยู่บริเวณทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นดินแดนสถานที่พำนักของเหล่าอัศวินทั้งเจ็ดและนักรบในกองทัพสวรรค์ ปีกที่ยาวใหญ่และทรงพลัง ทำให้เกิร์สบินมาถึงวัลเดอร์เอิร์ท เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น
พอเกิร์สบินมาถึงที่นั่น ก็เห็นกลุ่มอัศวินกำลังหารือกับเหล่านักรบสวรรค์ตนอื่นๆ ในการวางแผนทำศึกกับพวกยักษ์เบโฟต เหมือนอย่างที่เคยทำ เบลีฟสหนึ่งในอัศวินทั้งเจ็ด ที่เป็นหัวหน้าของอัศวินอีก 6 นายได้มองไปเห็นเกิร์สพร้อมกับแผ่นศิลา ที่อยู่ในอ้อมกอด ก็เกิดมีอาการและท่าทางรู้สึกสงสัย เกี่ยวกับแผ่นศิลานั่น
“อ่าวเกิร์สสหายของข้า ท่าทางของเจ้าเหมือนมีเรื่องเป็นกังวลนะ เจ้ามีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาที่นี่ แล้วนั่นมันศิลาอะไรรึ ที่เจ้ากำลังกอดเอาไว้” เบลีฟถามเกิร์สอย่างเป็นห่วงและทำหน้าแบบสงสัย ส่วนอัศวินอีก 6 นายและนักรบสวรรค์ ต่างก็หันหน้ามองมาที่เกิร์ส
“พอดีเจ้านายข้าใช้ให้ข้านำเอาแผ่นศิลานี้ มาส่งให้กับพวกท่าน ข้าเป็นแค่ผู้น้อย ข้าเลยไม่กล้าอ่านมัน ข้าเลยไม่รู้ว่าข้อความบนแผ่นศิลา มันมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ข้าคิดว่ามันคงมีเรื่องเร่งที่สำคัญมากแน่ๆ” เกิร์สพูดด้วยน้ำเสียง ที่นอบน้อมถ่อมตน
เกิร์สยื่นแผ่นศิลาให้กับเบลีฟ เบลีฟรีบยื่นมือรับเอาแผ่นศิลา จากสหายรักแบบไม่รีรอ ส่วนอัศวินอีก 6 นาย พอได้เห็นแผ่นศิลานั่น ก็มีความสงสัยไม่แพ้กัน เลยได้รีบพากันเดินเข้าไปดู เพื่อให้คลายความสงสัยบางทีอาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วนจากเบื้องบน เบลีฟค่อยๆ วางแผ่นศิลาลงกับพื้น ส่วนเกิร์สผู้ส่งสาร หลังทำธุระเสร็จ ก็กล่าวอำลากลับไปยังที่พำนัก
สายตาของกลุ่มอัศวิน จับจ้องอ่านข้อความบนแผ่นศิลา อย่างใจจดใจจ่อ ข้อความที่จะนำพาพวกยักษ์ให้ไปสู่จุดจบ ทุกถ้อยคำบนแผ่นศิลา ทำให้พวกอัศวินเกิดรู้สึกถึงความแยบยล ในแผนการฆ่าล้างเหล่ายักษ์ร้ายของผู้สร้างจักรวาล เป็นอย่างมาก
ในแผนการเหล่านั้น องค์อีโดได้วางแผน โดยจะให้อัศวินทั้งเจ็ด เป็นฝ่ายส่งมอบไข่มุกอัสคาเนีย ให้กับพวกยักษ์เบโฟตซะเอง จากนั้นก็หาหนทางหลอกล่อ เพื่อให้พวกมันทำสงครามฆ่าฟันกันเอง ยักษ์ตนสุดท้ายที่รอดชีวิตในสงครามมาได้ จะได้เป็นเจ้าของไข่มุกวิเศษ ดั่งใจปรารถนา
พวกอัศวินที่รู้แผนการทั้งหมด ได้เรียกเหล่านักรบในกองทัพนัดรวมตัวกัน เพื่อเข้าประชุมสภาสวรรค์ เบลีฟผู้นำในกองทัพสวรรค์ ได้นำเอาแผนการ ทุกอย่าง ที่จะทำให้พวกยักษ์ที่ชั่วร้ายหมดไปจากโลก ป่าวประกาศต่อหน้าบรรดานักรบทุกนาย
เบลีฟนำเอาข้อความบนแผ่นศิลา ที่ถูกส่งมาจากองค์อีโด ให้กับบรรดานักรบในกองทัพได้ดูเป็นขวัญตา ตัวอักษรจากประโยคในแต่ละข้อความ ได้ล่องลอยออกมาจากแผ่นศิลาและลอยขึ้นไปในอากาศ ตัวอักษรพวกนั้น ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนเห็นได้อย่างชัดเจน เนื้อหาที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ สร้างขวัญกำลังใจ ให้กับกองทัพเหล่านักรบอย่างยิ่ง นักรบทุกนายต่างรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก เพราะสงครามกับยักษ์ร้าย ที่รบพุ่งกันมานาน จะได้ยุติลงไปสักที จากนั้นกลุ่มอัศวินและนักรบทุกนาย ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
หลังเสร็จสิ้นจากการประชุมในสภา กลุ่มอัศวินได้ปรึกษาหารือและตกลงกันว่าจะใช้แผนการนี้ นำไปเป็นข้อเสนอให้กับพวกยักษ์ ที่อัดเเน่นด้วยโทสะและจะไปแวะเยี่ยมถิ่นของพวกมัน ในกลางดึกคืนนี้
พอแผนทุกอย่างถูกวางจนเข้าที่ พวกอัศวินได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนและรอเวลาดำเนินการตามแผน ที่องค์ผู้สร้างได้วางกับดักเอาไว้
เมื่อกล่าวถึงเกิร์ส ในร่างของชายหนุ่มรูปงาม ขณะกำลังบินกลับไปยังหุบเขามาโน อันเป็นที่อาศัย ก็เกิดได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนของหมาป่า เหมือนกับมันกำลังกลัวกับอะไรบางอย่าง เกิร์สที่รู้ถึงต้นตอของเสียง ก็บินทะยานพุ่งตัวลงสู่พื้นโลก
พอเท้าของเกิร์สเตะลงกับพื้นดิน ก็บังเอิญพบกับหมาป่าเพศเมียตัวนึง ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังตั้งครรภ์ กำลังจะถูกยักษ์เบโฟตตนนึ่งเข้าทำร้าย บริเวณพื้นที่แถวนั้น จะเป็นหน้าผาที่สูงชัน บริเวณด้านล่างของหน้าผา จะเป็นแม่น้ำบาอาเลส ที่มีความลึกกว่าร้อยเมตร
เกิร์สสถานการณ์ของหมาป่าตัวนั้น ที่กำลังจนมุมเข้าไปทุกที เกิร์สก็พุ่งเข้าโจมตียักษ์ร้าย อย่างไม่รีรอ เพื่อช่วยชีวิตแม่หมาป่า ที่กำลังตั้งท้อง ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการต่อสู้กัน
เกิร์สใช้ดาบอาลีเอล อาวุธประจำกาย ที่มีความยาวถึง 3 เมตร บริเวณตัวดาบทำจากเหล็ก ส่วนด้ามจับของดาบทำจากมรกต ฟันเข้าที่แขนและสะโพกขาของยักษ์ษาจนสุดแรง ทำให้ร่างของมันเกิดรอยแผลขนาดใหญ่ ในจังหวะที่เกิร์สกำลังจะชกเข้าที่ท้องของมัน มันได้ใช้อุ้งเท้าขนาดใหญ่ ยันเข้าที่หน้าอกของเกิร์ส จนสุดกำลัง ทำให้ร่างของเกิร์ส ปลิวลอยเข้ากระแทกกับต้นไม้อย่างแรง
ยักษ์ที่น่ากลัว มันกระโดดพุ่งเข้าหาเกิร์ส หมายจะเอาชีวิต เกิร์สจึงอาศัยจังหวะนั้น ใช้เท้าซ้ายเเตะไปที่หน้าท้องของมัน แบบสุดแรงเกิด ทำให้ร่างอันน่ากลัวของยักษ์ร้าย กระเด็นลอยออกไปและล้มลงกับพื้น แต่มันก็ยังคงไม่ยอมแพ้ มันเอนตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพุ่งตรงเข้ามาหาเกิร์สอีกครั้ง
ส่วนแม่หมาป่า ที่เห็นสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน ก็อาศัยจังหวะที่ยักษ์จอมดุร้าย กำลังวิ่งอยู่ ใช้พวกก้อนหิน ที่กองอยู่กับพื้น ปาเข้าไปตรงตริเวณที่มันกำลังวิ่ง พอเท้าของมันถูกกระทบเข้ากับก้อนหิน ในแบบที่มันยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างที่ใหญ่โตของมัน ก็ถึงกับสะดุดล้มลงกับพื้น
เกิร์สที่กำลังยืนอยู่ ได้อาศัยจังหวะที่มันล้มลง โยนดาบอาลีเอลอันแหลมคม พุ่งเข้าใส่ร่างของยักษ์ร้าย อย่างรวดเร็ว ดาบเล่มนั้นเสียบปัก เข้าที่บริเวณหัวไหล่ของมัน ส่งผลให้มันดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด เกิร์สวิ่งเข้าไปหา จุดที่ยักษ์ร้ายล้มลงและค่อยๆ ดึงดาบ ที่เสียบปักอยู่บนร่างของมันออกมายักษ์จอมชั่วร้าย ที่กำลังจะสิ้นใจ มันคิดว่ายังไง เกิร์สจะต้องสังหารมันแน่นอน แต่เพราะมันยังคงรักชีวิตของมัน เจ้ายักษ์ร้ายจึงร้องขอชีวิตจากเกิร์ส เพื่อไม่ให้ลงมือสังหารมัน
“ท่านเทพเจ้าคือข้าสำนึกในความผิดที่ได้ทำลงไป ท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ ข้าให้สัญญาว่าข้าจะไม่หันไปทำบาปอีก ข้าจะให้ความภักดี ต่อเทพวอราเรสแต่เพียงผู้เดียว” ยักษ์ร้ายพูดร้องขอชีวิตจากเกิร์ส ด้วยอาการตัวสั่น
เกิร์สที่ปี่ยมด้วยจิตใจแห่งการให้อภัย จึงตัดสินใจไม่ลงมือสังหารยักษ์ร้าย “ในเมื่อเจ้าสำนึกต่อความผิดที่ได้กระทำลงไป ข้าก็พร้อมจะให้อภัยเจ้า” เกิร์สพูดกับยักษ์ร้ายที่กลับใจ ด้วยความสุภาพและอ่อนโยน เกิร์สยังตั้งชื่อให้กับยักษ์ตัวนั้นว่าไมซีนอส
ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ท้องนภาที่ปกคลุมไปด้วยความมืด ก็เกิดมีแสงที่สว่างดุจออร่า ส่องพุ่งออกมาจากก้อนเมฆ พอแสงนั้นได้สาดกระทบลงสู่พื้นดิน พื้นที่บริเวณแห่งนั้น ก็ส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ แสงออร่าค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นใบหน้าขนาดใหญ่ ซึ่งมันคือใบหน้าของช้าง เป็นองค์อีโดผู้สร้างสรรพสิ่ง ที่มาปรากฏต่อหน้าเกิร์สกับไมซีนอส
องค์พระผู้สร้างรู้สึกพึ่งพอใจ ในจิตใจแห่งการให้อภัยของเกิร์สอย่างยิ่ง แม้ว่าผู้ที่อยู่ต่อหน้าจะเป็นศัตรูก็ตาม พระองค์ใช้พลังทำลายจิตอันชั่วร้ายของไมซีนอส ลงจนหมดสิ้น
เมื่อความชั่วร้ายจางหายไป ร่างอันแสนอัปลักษณ์ของไมซีนอส ก็มีแสงสว่างออร่าสีน้ำเงิน ที่เปล่งประกายพุ่งออกมา แสงออร่าที่เฉิดฉาย ลอยพุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้า ทั่วท้องนภาและดวงดาวนับล้าน ส่องสว่างไสว จากปีศาจร้ายที่ดูน่าเกลียด บัดนี้ไมซีนอสได้กลายมาเป็นเทพรูปงาม ที่ไม่แพ้กับเทพองค์ใดในสวรรค์ ร่างกายทุกส่วนของไมซีนอส ตั้งแต่หัวจรดเท้า ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อเกราะ ที่เนรมิตขึ้นจากไพลิน ที่ส่องสว่างระยิบระยับ
องค์อีโดได้มอบทวนแห่งผืนฟ้า หนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังของพระองค์ ให้กับไมซีนอส เพื่อใช้ทำลายล้างเหล่าปีศาจและความชั่วร้ายทั้งหลาย พระองค์ยังมอบหมายให้ไมซีนอส เป็นเทพที่คอยพิทักษ์และคุ้มครองดินแดนทางใต้ ในยามที่พวกยักษ์เข้ามารุกราน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกัน ไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ส่วนกลุ่มอัศวินทั้งเจ็ด ที่เฝ้ารอเวลาย่าใจจดใจจ่อ จนเมื่อช่วงเวลากลางดึก ได้ย่างกลายเข้ามา แผนการที่หมายฆ่าล้างเหล่ายักษ์ ก็ได้เริ่มขึ้น กลุ่มอัศวินได้ออกเดินทาง ไปหาพวกยักษ์อสูรร้าย ที่อาศัยอยู่ในป่ามาลอน มันคือเขตแดนมรณะ ใครที่เกิดผลัดหลงเข้าไป เป็นอันต้องจบชีวิตลงทุกราย ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ มีเพียงพวกยักษ์เบโฟต ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผืนป่าแห่งนี้ได้ เพราะด้วยพลังอำนาจของพวกมัน ที่มีมากเป็นล้นพ้น บวกกับความชั่วร้ายและน่ากลัว ทำให้ไม่มีแม้แต่สิ่งใดๆ ในผืนป่าแห่งนี้ ที่จะกล้าทำอันตรายพวกมัน
เมื่อพวกอัศวินเดินทางมาถึง เขตแดนมรณะ กลิ่นสาปของพวกยักษ์ ก็ลอยเข้ามาติดที่บริเวณปลายจมูก ซออากับซอเบียร์ 2 สหายยักษ์คู่หู ที่คอยคุ้มกันบริเวณทางเข้าของเขตป่า เมื่อเจอกับศัตรูคู่แค้น ที่มาเยือนถึงถิ่น ความไม่พอใจก็ได้ปะทุขึ้น ตามสัญชาตญาณของนักรบที่เป็นศัตรูกัน
พวกมันยังคิดว่าพวกอัศวินจะเข้ามารุกราน แต่ในความโกรธกริ้ว ซออาที่ขึ้นชื่อในนิสัยที่ช่างสังเกต ก็รู้สึกแปลกใจและสังเกตว่ากลุุ่มอัศวิน ไม่ได้พกอาวุธติดตัวมาด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติของนักรบ ที่จะพกอาวุธคู่กาย ติดตัวไปด้วยทุกที่ แถมยังไม่มีกองทัพนักรบ คอยติดตามมาด้วย ทั้งกิริยาท่าทางที่ดูสงบนิ่ง เพราะก่อนที่พวกอัศวินจะมายังที่แห่งนี้ ได้พากันวางแผน โดยเก็บซ่อนอาวุธ ไว้ภายในปีกอันสง่างาม เพื่อให้พวกยักษ์ใจชั่วคิดว่าพวกตนไม่ได้มาเพื่อรุกราน แต่ก็ดูเหมือนว่าวิธีการนี้ จะใช้ได้ผลอย่างสิ้นเชิง
ซออาสังเกตเห็นความผิดปกติ ในการมาเยือนของคู่อริ เลยคิดว่าที่พวกอัศวินคู่แค้นมาที่นี้ เพราะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ขณะที่ซอเบียร์ กำลังจะเข้าโจมตีศัตรูคู่อาฆาต แต่ก็ถูกซออาพลั่งปากห้ามเอาไว้
"ใจเย็นก่อนสหายข้า เจ้าอย่าพึ่งพลีพลามและห้ามเด็ดขาด”
“ทำไมเจ้าถึงได้ห้ามข้า เจ้าไม่เห็นรึว่าต่อหน้าเราคือศัตรู ที่ต้องกำจัดทิ้ง?” ซอเบียร์ถามซออา ด้วยอาการที่โมโห
“สงบจิตใจลงก่อนเพื่อนข้า ข้ารู้ดีว่าพวกมันคือศัตรู แต่เจ้าไม่สังเกตรึว่าทำไมพวกมัน ถึงไม่มีอาวุธติดมือมาด้วยและไม่มีนักรบมากับพวกมันสักคน แถมท่าทางของพวกมัน ก็ดูใจเย็นและไม่แสดงความผาดโผนอะไรออกมา ข้าว่าพวกมันต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่ๆ” ซอเบียร์อธิบายสิ่งที่สังเกตเห็น ให้ซออาเข้าใจ
“แล้วพวกเจ้ามีธุระอะไรกับพวกข้า พวกเจ้าถึงได้กล้าเสนอหน้าพากันมาที่นี้?” ซออาถามพวกอัศวิน ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“คือพวกข้าจะขอเจรจากับพวกเจ้า เกี่ยวกับเรื่องของไม้กายสิทธิ์ ที่พวกเจ้าอยากได้” เบลีฟหัวหน้าของอัศวินทั้งหก ตอบคำถามของซออา ในแบบที่ไม่ลังเล
คำตอบที่ได้ยินมากับหู ทำให้ยักษ์คู่หูเกิดความประหลาดใจและอดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ ซอเบียร์ตะโกนถามพวกอัศวิน ด้วยสีหน้าที่ดูสงสัย
“ฮ่ะอะไรนะ นี่พวกเจ้าคิดจะเล่นตลกอะไร ทั้งๆ ที่พวกข้ากับพวกเจ้าเข่นฆ่ากันแบบจะเป็นจะตาย เพราะไม้เล่มเดียว แต่อยู่ดีๆ พวกเจ้าจะมาคุยกับพวกข้า เรื่องไม้กายสิทธิ์เนี่ยนะ นี่ข้าหูฟาดไปหรือเปล่า?” ซอเบียร์ถามพวกอัศวิน ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“พวกเจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก พวกเข้าอยากได้มันนักไม่ใช่เหรอ พวกข้าเลยจะมอบไม้เล่มนี้ ให้กับพวกเจ้า พวกข้าขอรับรองว่าพวกข้าไม่มีแผนร้ายอะไร แอบซ้อนไว้อย่างแน่นอน พวกข้าเลยจะมายืนข้อเสนอให้กับพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะได้มันอย่างแน่นอน” มูเซย่าตอบคำถามแก่ซอเบียร์ พร้อมกับยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความหนักแน่น
ยักษ์ตัวอื่นๆ พอได้ยินในสิ่งที่สองฝ่าย พูดคุยสนทนากัน ก็เกิดอยากรู้เกี่ยวกับข้อเสนอพวกนั้น ฝูงยักษ์จำนวนนับหมื่น ได้พากันออกมาพอปะกับเหล่าอัศวิน เพื่อรับฟังข้อเสนอ เกี่ยวกับไม้วิเศษที่ทรงอำนาจ
“พวกข้าอยากฟังข้อเสนอของพวกเจ้า ไหนพวกเจ้าลองบอกมาซิว่า ข้อเสนอของพวกเจ้า มันคืออะไร” โมเลอัสหนึ่งในบรรดายักษ์เบโฟตตนนึ่ง ที่มีฝีมือและทักษะอันร้ายกาจ ในการใช้ขวานคู่ ได้อย่างคล่องแคล่ว ได้เอ่ยปากถามแขกผู้มาเยือน
กลุ่มอัศวินบอกข้อเสนอทั้งหมด ให้แก่พวกยักษ์จอมละโมบ ตามแผนการของเทพองค์อีโด ที่ได้ขุดหลุมพรางเอาไว้ ข้อเสนอพวกนั้น ทำให้ยักษ์แต่ละตน ต่างก็ต้องการ ที่อยากจะเป็นใหญ่ในจักรวาล แต่เพียงผู้เดียวและด้วยความที่พวกยักษ์ เป็นผู้ที่ยึดมั่นในเกียรติและศักดิ์ศรี มีความตรงไปตรงมา แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พวกยักษ์ษาต่างก็ต้องการแสดงฝีไม้ลายมือและชั้นเชิงการต่อสู้ของตัวเอง ให้เป็นที่ประจักษ์ ยักษ์ทั้งหลายจึงตอบรับข้อเสนอนี้ทุกอย่างในทันที โดยไม่รู้เลยว่ามันคือบ่อเกิดของความหายนะ ที่จะนำพวกตนให้ไปถึงจุดจบ
“แต่ข้าไม่เห็นด้วย พวกเจ้าจะไว้ใจพวกมันได้ยังไง? บางทีนี่อาจจะเป็นแผนการ ที่พวกมันต้องการให้พวกเรา หันมาเข่นฆ่ากันเองก็ได้ แล้วพวกข้าจะไว้ใจได้ยังไงว่าหากพวกข้าชนะในการต่อสู้ แล้วพวกข้าจะได้เป็นเจ้าของไข่มุกวิเศษ ตามข้อเสนอของพวกเจ้า” ซอเบียที่รู้เท่าทันในกลอุบายของศัตรู รีบกล่าวตักเตือนพรรคพวก ยักษ์ตนอื่นๆ ที่ได้ฟังในคำเตือนของสหาย ก็เริ่มพากันมีทีท่าเหมือนจะเปลี่ยนใจ ที่จะไม่รับในข้อเสนอนี้
“งั้นพวกข้าจะทำให้พวกเจ้าไว้ใจ พวกข้าจะยอมสละชีวิตของพวกข้า ถ้าพวกข้าตายไป พวกเจ้าก็จะได้สบายใจและไม่ต้องมากังวลว่าจะมีเสี้ยนหนาม ที่มาคอยขัดขวางพวกเจ้า” เบลีฟพูดต่อหน้าพวกยักษ์ เพื่อยืนยันในความสัจจริง
“ในเมื่อเจ้ากล้าพูดแบบนี้ งั้นก็เพื่อความอุ่นใจของพวกข้า ข้าขอตัดศรีษะของพวกเจ้า พวกเจ้าจะว่ายังไง?” โมเลอัสนักรบจอมขวาน ในกองทัพพวกยักษ์ ถามกลุ่มอัศวินออกไป ด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ได้สิสหาย เพื่อความไว้วางใจของพวกเจ้า พวกข้าขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน” ลีสเทอร์หนึ่งในอัศวินทั้งเจ็ด ที่ชำนาญในการยิงธนู พูดโต้กลับโมเลอัส ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น อัศวินทั้งเจ็ดได้ยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานและนั่งคุกเข่า โมเลอัสเดินตรงเข้ามาหากลุ่มอัศวิน ที่กำลังนั่งรอความตาย พร้อมกับขวานเล่มยักษ์ ที่ถือไว้ในมือ จากนั้น ขวานอันคมกริบ ก็ฟันเข้าที่ศีรษะของเบลีฟเป็นรายแรก
ส่วนอัศวินอีก 6 นายที่เหลือ ก็ต้องสังเวยชีวิต ให้กับขวานอันทรงพลังของโมเลอัส ไปตามๆ กัน ศีรษะของอัศวินนักรบผู้กล้า ได้หลุดขาดกระเด็นออกจากร่าง ร่างอันสง่างามได้นอนล้มลงกับพื้นกลายเป็นผงธุลีและละลายหายไปในอากาศ
การจากไปของศัตรูคู่แค้น สร้างความอุ่นใจให้กับพวกยักษ์อย่างมาก พวกมันโห่ร้องออกมา ด้วยความดีใจ ในคืนนั้น พวกมันยังได้ปรึกษาหารือกัน ถึงสถานที่ที่จะใช้ในการต่อสู้ เพื่อแย่งชิงเอาของวิเศษชิ้นสำคัญ การปรึกษาหารือ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ จนในที่สุด ก็ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ พวกมันจะใช้สมรภูมิแบล็คเมจิค เป็นสถานที่ชี้ชะตาว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าของไข่มุกที่ทรงอำนาจ เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นสู่บนผืนฟ้า การต่อสู้ก็จะเริ่มในทันที
เช้ามืดในวันถัด พวกยักษ์ที่กระหายในอำนาจ จากทั่วทุกสารทิศ ได้มารวมตัวกัน ตามที่นัดหมายกันเอาไว้ ทั่วท้องสมรภูมิเต็มไปด้วยฝูงยักษ์ ที่มากด้วยโทสะ กายของพวกมันเป็นสีดำทมิฬ พวกมันต่างรอคอย ให้ดวงตะวันพุ่งลอยขึ้นสู่ท้องนภา บรรยากาศยามเช้ามืดที่นั่น จากที่เคยสงบเงียบ ในเวลานี้กลับได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของเหล่ายักษ์ร้าย ที่เดินไปเดินมา ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อท้องนภาสว่างไสว ด้วยแสงตะวันอันเจิดจ้าดวงตาสีเลือดอันแดงกล่ำนับล้าน ได้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อสัญญาณการต่อสู้เริ่มขึ้น ยักษ์จอมดุร้ายก็เข้าห้ำหั่นกัน อย่างไร้ความปราณี ทั่วพื้นพิภพต่างสั่นสะเทือน จนเกิดแผ่นดินไหวเพียงชั่วครู่เดียว บริเวณพื้นดินในสมรภูมิ ก็อาบนองไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและซากศพของพวกยักษ์ที่ล้มตาย อย่างเกลื่อนกลาด
เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ต่างต้องเอาชีวิตมาสังเวย ให้กับสงครามอันโหดร้ายของผู้กระหายในสงคราม เสียงกรีดร้องของบรรดาสิ่งมีชีวิต ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเสียงร้องที่ดูน่ากลัว ต่อภัยสงครามที่กำลังเกิดขึ้น ทันใดนั้น ผืนฟ้าจากที่เคยส่องสว่างสดใส ก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด เสียงเห่าหอนอันโหยหวนของฝูงหมาป่า ค่อยๆ ร้องดังขึ้นมาเรื่อยๆ
ขณะที่สงครามอันน่ากลัว กำลังดำเนินไป องค์อีโดผู้สร้างจักรวาล ใช้เปลวเพลิงไอโนสอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ที่กำลังลุกโชติช่วง ชุบชีวิตและสร้างอัศวินทั้งเจ็ด ที่ล่วงลับไป ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ความจริงแล้วอัศวินกลุ่มนี้ ถูกสร้างขึ้นจากเปลวเพลิงไอโนส ซึ่งเป็นพลังส่วนหนึ่งขององค์อีโด
ย้อนเล่ากลับไป หลังจากที่องค์อีโด เสร็จสิ้นจากการสร้างโลก ตอนนั้นอัศวินทั้งเจ็ดยังสภาพเป็นเทวรูป ในเวลานั้น พระองค์ได้ใช้เปลวเพลิงไอโนส พลังอันศักดิ์สิทธิ์ เตะเข้าไปที่บริเวณหน้าผากของรูปปั้นไร้ชีวิต
ทันทีที่รูปปั้นเหล่านั้น ได้สัมผัสกับพลังแห่งพระผู้สร้าง ก็กลับกลายเป็นกลุ่มนักรบที่มีชีวิต ที่มีเรือนร่างอันสง่างามในทันที โดยเฉพาะเบลีฟถือเป็นอัศวินนักรบ ที่ได้รับพลังจากองค์อีโดมามากที่สุด จึงถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของอัศวินอีก 6 นาย ต่อมาองค์อีโดมอบหมายให้อัศวินกลุ่มนี้ ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือโลกและสววรค์ ให้รอดและปลอดภัยจากสิ่งเลวร้าย
"นับว่าเป็นความกรุณาและความเมตตายิ่งที่พระองค์ทำให้พวกข้า กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง" เบลีฟพูดออกมา ด้วยความปลาบปลื้ม หลังจากที่ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
"ข้าสร้างพวกเจ้าขึ้นมา ข้าก็รักพวกเจ้าดั่งความรักที่บิดามีต่อบุตร แล้วข้าจะให้พวกเจ้าจากไป แบบไร้ค่าได้อย่างไร" องค์อีโดพูดโต้ตอบเบลีฟ ด้วยสีหน้าและจิตใจ ที่เปี่ยมด้วยความรัก
"เวลานี้โลกโชยไปด้วยไฟสงคราม ที่พวกยักษ์เบโฟต ได้หันมาฆ่าล้างกันเอง ตามแผนที่ข้าวางเอาไว้ สรรพชีวิตทั่วทุกหนแห่ง ต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างหวาดกลัว เมื่อเวลามาถึง พวกมันจะต้องได้รับโทษกันอย่างสาสม" องค์อีโดพูดระบายความในใจออกมา ด้วยความข่นเคือง
ยักษ์ที่แสนจะดุร้าย ยังคงห่ำหั่นกันอย่างดุเดือดดวงจันทราที่เคยขาวสว่าง ก็กลับกลายเป็นสีเลือด แผ่นดินโลกตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา องค์อีโดผู้เป็นบิดาแห่งสรรพสิ่ง เมื่อเห็นโลกอันสวยงาม ที่สร้างขึ้นมากับมือ ถูกยักษ์เบโฟตเข้าทำลาย แบบไม่มีชิ้นดี พระองค์ก็หลั่งน้ำตาออกมา ด้วยจิตใจอันเศร้าหมอง หยดน้ำตาของพระองค์ ที่ไหลลงสู่พื้น ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นไพลินเม็ดเล็กๆ ซึ่งเป็นเพชรสีน้ำเงิน
สงครามที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ได้ล่วงเลยผ่านไปถึง 7 วัน 7 คืน จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ 10 ทั่วทั้งสมรภูมิรบ ก็เต็มไปด้วยซากศพอันเน่าเหม็นของพวกยักษ์ ท่ามกลางซากศพพวกนั้น ก็ปรากฏให้เห็นเป็นร่างๆ หนึ่ง ที่มีขนาดความสูงถึง 20 เมตร ร่างกายที่ย้อมด้วยสีดำนิล ตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่กลมกลืนไปกับความมืดมิด ดวงตาอันแดงฉาน ราวกับสีเลือดนก
ร่างขนาดมหึมาและน่าเกรงขามนั่น มันคือยักษ์ที่มีนามว่าดาร์คกอดอน มันคือหนึ่งในพวกยักษ์เบโฟต ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของพละกำลัง เพราะมันเป็นยักษ์ที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่ายักษ์ตนอื่นๆ อาวุธที่ร้ายแรงและทรงพลังของมัน ก็คือไฟบรรลัยกรรป์ ที่มันจะปล่อยออกมาทางปาก ไฟมหาประลัยที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กลายเป็นจุนได้เพียงชั่วพริบตา แค่คิดว่าจะเอายักษ์หลายๆ ตน ที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังอันร้ายกาจติดอันดับ ให้มากำจัดดาร์คกอดอน ยักษ์เพียงตนเดียว ก็ยังถือเป็นเรื่องยากเย็น
ดาร์คกอดอนคือยักษ์เพียงตนเดียว ที่เหลือรอดจากสงครามอันนองเลือดในครั้งนี้ มันหัวเราะออกมา ด้วยความภูมิใจ ในฐานะผู้กำชัยในสงคราม เสียงหัวเราะที่น่าสยดสยอง ดังไปทั่วผืนพิภพ
ขณะนั้นเอง ก็เกิดมีแสงสีทองอันเรืองอร่าม ลอยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน แสงนั่นได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าดาร์คกอดอน ในระยะประชิด แสงสว่างที่ดูเงางาม ทำให้ยักษ์ที่มีจิตใจดำมืด ถึงกับออกอาการตกตะลึง จนตาค้าง เมื่อได้เห็นแสงสว่างที่งดงามตา แสงที่ส่องสว่างเจิดจรัส ค่อยๆ สลายหายไปและสิ่งที่มาปรากฏให้ดาร์คกอดอนได้เห็น มันคือไข่มุกอัสคาเนีย ไข่มุกวิเศษที่ทรงอำนาจ ที่เหล่ายักษ์ต่างพากันกระหาย ที่อยากจะมีไว้ในครอบครอง
แม้จะเป็นแค่ไข่มุกเพียงลูกเดียว แต่มันก็เป็นชนวนเหตุ ที่ทำให้พวกยักษ์ร้ายจิตใจอัมหิต ต่างก็ต้องเอาชีวิตมาสังเวย ให้กับสงครามอันป่าเถื่อนและโหดร้าย เพื่อให้ได้ครอบครองของวิเศษชิ้นนี้ ดาร์คกอดอนรีบคว้าเอาไข่มุกอัสคาเนีย มาถือไว้ในมือ อย่างเต็มภาคภูมิ ในฐานะผู้กำชัยในสงคราม
"ฮ่าๆๆๆๆๆ ในที่สุด ข้าก็ได้เป็นเจ้าของไข่มุกอัสคาเนียนี่สักที นับจากนี้ จักรวาลและโลกทั้งใบจะต้องตกเป็นของข้า แต่เพียงผู้เดียว เตรียมตัว เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะเหล่าเทพ ในอีกไม่ช้า พวกเจ้าจะต้องกลายเป็นขี้เถ้า ด้วยพลังจากไข่มุกวิเศษของข้า" เสียงหัวเราะอันน่าสะอิดสะเอียนและคำเยาะเย้ยถากถางของยักษ์ร้าย ได้ดังก้องกังวาลไปจนถึงสรวงสวรรค์ ทำให้เหล่าเทพบนชั้นฟ้า ต่างพากันได้ยิน
เมื่อของวิเศษอันทรงอานุภาพ ตกไปอยู่ในมือฝ่ายอธรรม ดาร์คกอดอนได้ใช้พลังของไข่มุก ชุบชีวิตบรรดาพวกยักษ์ ที่ตายไปในสงคราม ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ทันทีที่ไข่มุกวิเศษถูกโยนขึ้นไปบนผืนฟ้า ทั่วท้องนภาก็ได้ปรากฏลำแสงทั้งเจ็ด ที่ส่องลอดทะลุผ่านออกมาจากหมู่เมฆ ลำเเสงพวกนั้น ได้สาดกระทบลงมายังร่างสีดำทมิฬ ที่นอนกองกันเป็นซากศพ อยู่ในสมรภูมิรบ ทันทีที่ร่างอันเน่าเปื่อยของพวกมัน ได้สัมผัสเข้ากับลำแสง สายตาอันน่าดุดันของพวกมัน ก็ค่อยๆ เปิด ด้วยพลังของไข่มุกวิเศษ ส่งผลให้เหล่ายักษ์ร้าย ที่พึ่งถูกสังหารฟื้นขึ้นมาจากความตาย เหมือนได้รับชีวิตใหม่
บรรดาซากศพ ที่ได้รับชีวิตคืนมา ค่อยๆ เอนกายลุกขึ้น ดาร์คกอดอนใช้มนต์สะกด ด้วยพลังจากไข่มุก ในการทำให้พวกยักษ์ ตกอยู่ภายใต้อำนาจ พลังอำนาจอันมากล้นของไข่มุกวิเศษ ทำให้พลังของดาร์คกอดอนและเหล่ายักษ์ลูกสมุน เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า พวกมันส่งเสียงร้องออกมา ด้วยความยินดี ถึงชีวิตใหม่ที่พวกมันได้รับ เสียงร้องอันน่าสยดสยองของพวกมัน ได้ดังขึ้นไปจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
ขณะที่เสียงตะโกนร้อง กำลังดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางผืนฟ้าสีเลือด ก็มีแสงสว่างอันแวววาว ที่ส่องผ่านทะลุ ออกมาจากหมู่เมฆ ซึ่งเป็นแสงแห่งรัศมีอันเรืองรอง แววตาของพวกยักษ์ ต่างจ้องมองไปยังรัศมี ที่กำลังส่องสว่างอย่างโชตช่วง
ทันทีที่แสงสว่างนั่น มอดดับสนิท ก็ปรากฏเป็น กองทัพเหล่านักรบสวรรค์ ที่กำลังยืนเรียงรายกัน อย่างเป็นระเบียบ ทั่วร่างกายของนักรบเหล่านั้น ถูกสวมใส่ด้วยเสื้อเกราะทองคำบริสุทธิ์ ที่ดูอร่ามและงดงาม บริเวณด้านหน้าของกองทัพ จะมีอัศวินทั้ง 7 ที่มีรูปร่างและท่าทางที่ดูสง่างาม ซึ่งเป็นผู้นำเหล่าทัพ ที่ได้รับคำบัญชามาจากองค์อีโด ให้มาสังหารพวกยักษ์ใจพาล ให้หมดไปจากโลก
เมื่อกองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย เผชิญหน้ากัน การต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม ก็ได้ปะทุขึ้นตามเคย เหมือนครั้งในอดีต กองกำลังของเหล่าเทพเข้าปะทะกับกองทัพของยักษ์ใจพาล โดยมีดาร์คกอดอน เป็นผู้นำกองทัพ
ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธฟาดฟันเข้าหากัน ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิรบเนื่องด้วยไข่มุกอัสคาเนีย เป็นของวิเศษที่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจอันร้ายกาจและรุนแรง นั่นจึงเป็นเหตุทำให้พวกยักษ์ร้าย มีความเป็นอมตะและไม่มีอาวุธชนิดใด จะสามารถทำลายพวกมันลงได้ ทุกครั้งที่พวกยักษ์ถูกสังหารลงจนสิ้นใจ พลังอำนาจจากไข่มุกวิเศษ ก็จะทำให้พวกมันฟื้นคืนชีวิตกลับมาใหม่ได้ทุกครั้ง
พอยิ่งสู้กันไปนานๆ กองทัพฝ่ายทวยเทพ ก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด บรรดาไพร่พลในกองทัพ เกิดอ่อนกำลังและล้มตายกันลงเรื่อยๆ ในขณะที่ฝ่ายยักษ์กลับแข็งแกร่งและมีพลังที่เพิ่มมากขึ้น
พลังอำนาจอันเหลือเฟือ ที่ฝ่ายอธรรมได้รับมา ส่งผลให้พวกยักษ์ที่ดูดุร้ายและน่ากลัว เกิดความหยิ่งผยอง พวกมันพากันคิดว่าเผ่าพันธุ์ของพวกมันนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดในปฐพี ด้วยความหยิ่งผยองลำพองใจ ส่งผลให้ในความคิดของพวกยักษ์ คิดได้แม้กระทั่งจะทำลายองค์อีโด ผู้อยู่เหนือกว่าทุกสรรพสิ่ง
ดาร์คกอดอนได้นำกองกำลังเหล่าสมุนยักษ์ตัวร้าย เหาะขึ้นไปบนท้องนภา กองทัพของเหล่ายักษ์ได้มุ่งหน้าตรงไปยังวิหารมาลาเทียร์ อันเป็นที่สถิตขององค์อีโด เพื่อหมายจะทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ราบคาบ ต่อมาพวกยักษ์ใจทราม ได้แผดเผาทำลายดวงดาวในจักรวาล ด้วยเปลวไฟ หมู่ดาวมากมาย ต่างพากันหนีตายแบบไม่คิดชีวิต แม้กระทั่งดวงตะวันและจันทรา ก็ยังถูกพวกมันกลืนลงท้อง ได้อย่างง่ายดาย
ทั้งจักรวาลและแผ่นดินโลก ตกอยู่ในความมืดมนอนธกาล กองทัพนักรบสวรรค์เข้าปะทะกับพวกยักษ์ผู้เป็นอมตะ อย่างเต็มกำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมัน ได้ล่วงล้ำไปถึงวิหารมาลาเทียร์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขององค์อีโดได้ แต่ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด บรรดานักรบแห่งกองทัพสวรรค์ ไม่อาจจะต่อกรกับกองกำลังของยักษ์ผู้ทรงอำนาจได้
ขณะที่สถานการณ์ทุกอย่าง ได้เลวร้ายลงไปทุกที อีกทั้งพวกอมนุษย์ที่น่ากลัว ก็ต่างมุ่งหน้ามา จนเกือบจะถึงวิหารขององค์อีโด เข้าไปในทุกขณะ แต่ในตอนนั้นเอง ทั่วทั้งผืนฟ้าก็เกิดมีเสียงช้าง ที่ร้องดังขึ้นมาต่อเนื่อง เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกึกก้อง ทำให้พวกยักษ์ทุกตน ต่างพากันหยุดชะงัก ด้วยความตกใจ
พวกมันต่างพากันเเหงนหน้ามองซ้ายมองขวา เพื่อมองหาต้นเสียงที่ได้ยิน แต่พวกมันก็พบแต่ความว่างเปล่า แต่พวกอัศวินทั้งเจ็ดและะเหล่านักรบแห่งสวรรค์ ต่างจำกันได้ดีว่าเสียงช้างที่กำลังร้องดังลั่น เป็นเสียงขององค์อีโด ผู้เป็นนายแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ทันใดนั้น บรรดาก้อนเมฆที่ถูกคลุมทับด้วยความมืด ก็ค่อยๆ ส่องเเสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าอบอวลไปด้วยแสงสีทอง ที่กำลังส่องสว่างไสว ท่ามกลางแสงอันเรืองรองได้มีดาบขนาดใหญ่ทั้ง 7 เล่ม ที่พุ่งลอยออกมาจากก้อนเมฆ มันคือดาบเมเทอร์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่องค์อีโด เนรมิตสร้างมันขึ้นมา ด้วยพลังอานุภาพของพระองค์เอง
บริเวณตัวดาบ ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กกล้า ที่แฝงไปด้วยเวทมนต์และอาคม บริเวณส่วนด้ามจับของดาบ ถูกทำมาจากชิ้นส่วนงาขององค์อีโด ที่พระองค์ได้หักออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาประกอบกัน จนเป็นรูปเป็นร่างและถูกย้อมเคลือบ ด้วยทองคำบริสุทธิ์อีกชั้นหนึ่ง ดาบทั้ง 7 เล่ม ที่ลอยอยู่เหนือฟากฟ้า คือความหวังเพียงหนึ่งเดียว ที่จะประหัตประหารพวกยักษ์ใจหยาบให้พินาศสิ้น
ดาบแต่ละเล่ม ที่กำลังส่องแสงแวววาว ได้พุ่งตรงเข้ามาหาอัศวินทั้งเจ็ด ทันทีเมื่อได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์มาไว้ในมือ จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมา ท่ามกลางอากาศ
"เจ้าพวกยักษ์จิตใจต่ำช้าทั้งหลาย หมดเวลาที่พวกเจ้าจะก่อบาปก่อกรรมแล้ว จุดจบของพวกเจ้าได้มาถึงแล้ว อัศวินของข้าและนักรบทุกนาย พวกเจ้าจงใช้ศาสตราวุธอันทรงพลังนี้ สังหารเหล่ายักษ์ชั่วร้ายลงให้สิ้นซาก" เสียงขององค์อีโดที่พูดกล่าวกับพวกยักษ์และนักรบในกองทัพของพระองค์
ในเวลานี้สถานการณ์แห่งความสิ้นหวัง ได้แปรเปลี่ยนเป็นความหวัง เมื่อได้ครอบครองอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล พลังของพวกอัศวินที่ก่อหน้านั้น ที่ลดถอยลงไป จากการต่อสู้ครั้งก่อนๆ ก็กลับเพิ่มทวีขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์
เหล่าอัศวินทั้งเจ็ดนำกองกำลัง เข้าปะทะกับกองทัพเหล่าอมนุษย์อีกครั้ง การต่อสู้ดำเนินไปได้สักพัก แต่ครั้งนี้กองทัพของทวยเทพ เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างได้ชัด
ทันทีที่พวกยักษ์ถูกฟันและถูกแทง ด้วยดาบเมเทอร์ของพวกอัศวินทั้งเจ็ด ร่างอันกำยำของพวกมัน ก็จะสูญสลายหายไปตามอากาศในทันที จนพวกมันไม่สามารถกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้อีก เสียงที่พวกมันร้องครวญคราง เพราะความเจ็บปวด ได้ดังไปทั่วสมรภูมิรบ อัศวินทั้งเจ็ดและเหล่านักรบสวรรค์ ต่างไล่ล่าสังหารพวกยักษ์กันอย่างบ้าคลั่ง จนแล้วจนรอด ยักษ์ที่ว่าน่ากลัวและขึ้นชื่อว่าเป็นอมตะ ก็ถูกเข่นฆ่าจนหมดสิ้น
เมื่อพวกลูกสมุนยักษ์ ล้มตายจากกันไปหมด อัศวินทั้งเจ็ดก็ร่วมมือกัน จัดการกับดาร์คกอร์ดอน องค์อีโดเรสเทพผู้สร้างดาบเมเทอร์ ได้มอบพลังบางส่วน ให้แก่อัศวินทั้งเจ็ด พลังอันศักดิ์สิทธิ์จากองค์เทพ ได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพลังของดาบ ส่งผลให้พลังของกลุ่มอัศวินนักรบ มีเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า แต่เพราะด้วยพลังที่ทวียิ่งขึ้น เพียงชั่วเวลาไม่นาน ดาร์คกอร์ดอนก็ถูกสังหารลงด้วยดาบเมเทอร์ ร่างอันใหญ่โตมหึมา ก็แหลกละเอียด จนกลายเป็นฝุ่นผง
เมื่อความชั่วช้าสามานย์ ได้มอดดับหายสิ้นไปจากโลก ความสงบสุขก็ได้คืนกลับมา บรรดานักรบสวรรค์และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ที่เคยล้มหายตายจากไปกับสงคราม ก็ค่อยๆ ฟืนคืนชีวิตกลับมาใหม่ ดวงตะวันและจันทรา รวมไปถึงหมู่ดาวทั้งหลายบนท้องฟ้า ก็กลับมาส่องสว่างและกลับมาทำหน้าที่เช่นเดิม โลกที่แสนมืดมน ค่อยๆ ฟื้นตัวจากหายนะในสงคราม จนกลับคืนสู่สภาพเดิมและปราศจากเหล่ายักษ์ร้าย
ในเวลาต่อมา โลกได้กลับคืนสู่ความสุขสงบ องค์อีโดบิดาแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง ได้เห็นถึงหายนะที่เกิดขึ้น ทั้งในแผ่นดินโลกและในจักรวาล ทั้งหมดก็ล้วนเกิดจากไข่มุกอัสคาเนียทั้งสิ้น ของวิเศษที่เปี่ยมล้นด้วยพลังอำนาจ ที่ไม่ว่าใครต่างก็อยากจะเป็นเจ้าของ และมีไว้ในการครอบครอง จนเป็นมูลเหตุที่นำมาซึ่งการนองเลือด และการฆ่าฟันกันแบบไม่จบไม่สิ้น องค์อีโดจึงตัดสินใจที่จะทำลายไข่มุกวิเศษให้สูญสลายหายไป เพื่อไม่ให้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามแห่งการนองเลือด ระหว่างเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดๆบนแผ่นดินโลก
องค์อีโดได้ทำลายไข่มุกวิเศษ ด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟนั่นค่อยๆ แผดเผาทำลายไข่มุกวิเศษลงอย่างช้าๆ เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ไข่มุกจากที่เคยส่องแสงสว่างเป็นออร่า ที่ดูงดงาม มาบัดนี้ ได้ถูกเปลวไฟเผาทำลายและอยู่ในสภาพกลายมาเป็นขี้เถ้า ในเวลานั้นมาจนกระทั่งในเวลานี้ แผ่นดินโลกก็ไม่เคยมีสงครามเข่นฆ่าล้างกัน เพื่อแย่งชิงเอาของวิเศษอีกเลย องค์อีโดได้ปกครองดูแลมวลมนุษยชาติบนโลก อย่างสงบสุขเรื่อยมา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา