Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
LALANA MONDTREE
•
ติดตาม
8 ก.พ. 2024 เวลา 14:00 • ไลฟ์สไตล์
5 ประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือ What My Bones Know by Stephanie Foo
หนังสือ: What My Bones Know: A Memoir of Healing from Complex Trauma
โดย: Stephanie Foo
หนังสือบันทึกความทรงจำของสเตฟานี ฟู ที่เล่าถึงความบอบช้ำทางจิตใจจากการตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว จนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Complex PTSD ได้พูดถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อเอาชนะสถานการณ์ที่ทุกข์ยากต่างๆ จนก้าวไปสู่การเยียวยาได้สำเร็จ
ขณะเดียวกัน สเตฟานียังได้ตอกย้ำถึงความไม่สมบูรณ์แบบของความเป็นมนุษย์ ที่เราต่างมีข้อบกพร่องและทำผิดพลาดได้ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้เราได้เติบโตถ้าเรากล้าพอที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง
5 ประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้
1. วัฒนธรรมการเลี้ยงดูและเหตุการณ์ในวัยเด็กจะหล่อหลอมกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเรา
สเตฟานีเติบโตมาจากครอบครัวคนมาเลเซียเชื้อสายจีนที่ได้ย้ายมาอยู่อเมริกาตั้งแต่ยังเด็ก มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานหลายปีติดต่อกันตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งการถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อแม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแม่) และการถูกทอดทิ้ง ที่พ่อแม่สร้างเป็นปมอดีตที่เป็นบาดแผลทางใจทิ้งไว้
เหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลให้สเตฟานีมีภาวะซับซ้อนทางด้านจิตใจ ทำให้กลายเป็นคนมีอารมณ์แปรปรวน มีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เชื่อใจใครไว้ใจใคร จนเป็นเหตุให้มีปัญหาในการรักษาความสัมพันธ์
2. Grounding การดึงสติ
การจมปลักอยู่กับความคิด หมกมุ่นอยู่กับความเครียด ความกลัวหรือความกังวล คือ ตัวคั่นกลางที่ทำให้เราสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างตัวเรากับ(โลก)รอบตัวหรือปัจจุบัน
ถ้าเรามีสติ คือการที่ภาวะของการรับรู้ทางจิตใจว่า ณ ขณะนี้ เราเป็นใครและอยู่ที่ไหนและสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ซึ่งตรงข้ามกับการแยกตัวหรือตัดขาด ด้วยการพาตัวเองไปติดอยู่กับภาพเหตุการณ์เจ็บปวดในอดีต หรือจมปลักอยู่กับความคิดลบๆ อยู่กับความทุกข์ที่กำลังมีต่างๆนานา
การดึงสติเป็นหนึ่งในการทำจิตบำบัดที่สเตฟานีใช้ ด้วยการนับสี ถ้ามีเหตุการณ์ที่ทำให้สเตฟานีรู้สึกตัวเองว่าเริ่มมีอารมณ์แปรปรวนหรือเกรี้ยวกราด จะใช้เทคนิคการนับสิ่งของที่เป็นสีแดงรอบๆตัว 5 อย่าง เพื่อให้ใจเย็นลง สงบลง
การดึงสติจะช่วยให้ตื่นจากจิตใจที่ขุ่นมัว ที่จะพาให้ออกจากความคิดลบทั้งหลายอย่างช้าๆ เพื่อดึงจิตใจกลับคืนมาอยู่กับตัวเอง ณ ปัจจุบัน
ด้วยการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ จะทำให้รู้สึกถึงการมีตัวตนและรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเราที่กำลังดำเนินต่อ
3. Connectedness ความเชื่อมโยงและผูกผัน
ถ้าอีโก้หรือตัวตนของเราเงียบลงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่นก็จะค่อยๆสลายไป จนขาดความเชื่อมโยงในที่สุด
การเข้าสู่ภาวะของการเชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับคนอื่น การรับรู้ถึงระดับความสัมพันธ์ที่ผูกพันระหว่างตัวเรากับคนรอบตัว รวมถึงคนอื่นๆในสังคม ส่งผลให้ได้รับความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่ง ที่นอกเหนือไปจากตัวเอง การนึกถึงสถานที่ที่เรารู้สึกปลอดภัย หรือการนึกถึงใครสักคนที่เรารู้สึกได้ถึงความมั่นคงและเชื่อว่าเขาจะปกป้องดูแลเราได้
จำนวนวันหรือเวลาไม่ได้เป็นตัววัดความเชื่อมโยงระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน แต่ความเชื่อมโยงวัดผ่านความรู้สึกผูกพัน ความรู้สึกของการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งเป็นความรู้สึกลึกๆ ว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ที่จะช่วยคว้าและดึงเราไว้ไม่ให้หลุดลอยไปไหน
4. การเยียวยาเป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อเนื่อง
การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการเยียวยา เราต้องไขประตูการเรียนรู้และปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกตามจังหวะที่เราทำได้
เริ่มจากการรับรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน และยอมรับได้ถึงประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างตรงไปตรงมา ที่จะช่วยเราให้เชื่อมต่อกับเวลาปัจจุบัน ให้ได้เชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับคนอื่น ที่จะทำรู้สึกถึงความเป็นอิสระได้ในเวลาเดียวกัน
การรับรู้และยอมรับถึงประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด และเข้าใจว่าประสบการณ์นั้นๆคือแผลเป็นที่จะยังคงอยู่ ที่จะคอยเตือนจำว่าเราสามารถอยู่กับมันได้ ในบางครั้งอาจมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจให้รู้สึกเจ็บปวดได้อีก แต่เราจะมีความเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับมันได้อย่างกล้าหาญ
1
ฝึกฝนให้ได้เข้าใจขอบเขตชีวิตของตัวเอง หรือสร้างกฎเกณฑ์ในชีวิตใหม่ให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเยียวยา อย่างไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และการเปลี่ยนแปลงของเรานั้นไม่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ใครมาชื่นชมหรือยอมรับ เพราะความชื่นชมนั้นไม่ได้เป็นเงื่อนไขของการได้มาซึ่งการเติบโตที่มั่นคงของเรา
“Just because the wound doesn’t hurt, doesn’t mean it’s healed.”
หนังสือ WHAT MY BONES KNOW: A Memoir of Healing from Complex Trauma
by Stephanie Foo
5. (การรับรู้ได้ถึง)ความรู้สึกเป็นอภิสิทธิ์ที่ได้มา
ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แย่ๆแบบเดียวกันกับใครสักคนหนึ่ง การแสดงออกทางพฤติกรรมก็ของเราก็จะต่างกันไป เพราะเราต่างมีอารมณ์และความรู้สึกที่ต่างไปตามบริบทของครอบครัวและเงื่อนไขในการเลี้ยงดูมา
บางคนเติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น จึงมีประสบการณ์และได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่หลากหลายทั้งบวกและลบ ถือกลายเป็นอภิสิทธิ์ที่ครอบครัวได้ให้มา
บางคนเติบโตมาในครอบครัวที่ขาดความรักและความอบอุ่น สิ่งที่ได้รับแค่ความบอบช้ำทางกายหรือปมบาดแผลทางใจ จึงทำให้ขาดอภิสิทธิ์ทางความรู้สึก (หรืออาจมี..แต่แสดงออกไม่เป็น)
และอาจเป็นเหตุที่ทำให้”รับ”หรือ”ให้”ความรักกับใครไม่เป็น - ทั้งกับตัวเองและคนอื่น
เราต่างมีประสบการณ์ในชีวิตที่ท้าทายและมีเรื่องราวที่ทำให้เจ็บปวดไม่เหมือนกัน การต่อสู้และดิ้นรนจึงต่างกันออกไป เป็นเรื่องง่ายในการตัดสินคนอื่นจากภาพที่เราเห็นเพียงภายนอกอย่างผิวเผิน
1
เราไม่รู้ความเป็นมาของเขา เราจึงไม่เข้าใจใน “ความเป็นเขา” เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนและมีพฤติกรรมแบบนี้ เราจะไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกของคนเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง
แทนการตัดสินที่ทำให้เขารู้สึกผิดหรือใช้คำพูดที่ทำให้เขาได้รับความอับอายหรือเจ็บปวดยิ่งขึ้น ควรเปิดใจรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจตามที่เขาเหล่านั้นสมควรได้รับ ด้วยการรับฟังด้วยวิธี"เอาใจเขามาใส่ใจเรา" คือ ฟังแบบไม่ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
แต่ฟังเพื่อให้ได้ยินสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ฟังให้เข้าใจผ่านมุมมองประสบการณ์ของเขา - ไม่ใช่ประสบการณ์ของเรา รับฟังอย่างไม่ตัดสินและไม่คิดแทนหรือแก้ปัญหาให้ เราก็จะสามารถเข้าใจความรู้สึกหรือเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น
บางประสบการณ์ของสเตฟานีได้สะท้อนบางมุมของชีวิตที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และทำให้รู้สึกตกผลึกในหลายประเด็นตามโจทย์ชีวิตที่ตัวเองมี ที่พร้อมเป็นพลังผลักดันช่วยให้มองเห็นความจริงของชีวิตตัวเองได้มากขึ้นและชัดเจนขึ้น
หนังสือเล่มนี้ได้ทั้งน้ำตาและสาระที่ให้แรงบันดาลใจ ที่จะช่วยเปิดรับความท้าทายและโอกาสในการต่อสู้สำหรับทุกคนที่กำลังอยู่บนเส้นทางในการเยียวยาได้เป็นอย่างดี
(ในที่สุด สเตฟานีก็ได้พบกับความสุข)
ไลฟ์สไตล์
ปรัชญา
หนังสือ
บันทึก
5
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ข้อคิด
5
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย