25 ก.พ. เวลา 11:50 • นิยาย เรื่องสั้น

สงครามพิฆาตอสูร

ภายใต้ท้องนภาอันดำมืด ที่มาพร้อมกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ได้ปรากฏดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ถูกขนานนามว่าฟาลาเดีย ผู้คนในดินแดนต่างมีชีวิตที่เสเพและไม่มีระเบียบวินัย ตามร้านอาหาร ทั้งในบริเวณร้านหรือที่หน้าร้าน ก็จะเต็มไปด้วยเศษขยะ จากผู้คนที่เเวะเข้ามาทานอาหาร ไม่เว้นแม้กระทั่งตามท้องถนน พูดง่ายๆคือไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ก็จะเห็นแต่ขยะ ซึ่งเป็นสิ่งปฏิกูล ที่ผู้คนพากันโยนทิ้งลงกับพื้น
แค่นั้นยังไม่พอ ท่ามกลางขยะที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ท้องถนนยังเจือปนด้วยคราบน้ำลายของผู้คนที่ถ่มทิ้งลงบนพื้น เพียงแค่กลิ่นเน่าเหม็นของขยะก็แย่พออยู่แล้ว แต่ยังมีน้ำลายเป็นของแถมติดมาด้วย ความเหม็นเน่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
บางคนพอกลับถึงบ้าน เมื่อถูกความง่วงครอบงำ ก็ทำให้ไม่อยากทำความสะอาดร่างกาย สุดท้ายก็ต้องเอนตัวลงนอนบนเตียง ทั้งๆที่ยังมีกลิ่นคาวของเครื่องดื่มและอาหาร ติดอยู่บนเสื้อผ้าที่ตนกำลังสวมใส่ ส่วนพวกเจ้าของร้าน มีนิสัยชอบตื่นสายและไม่ค่อยทำความสะอาดร้าน ทำให้ภายในร้าน รายล้อมไปด้วยเศษขยะ ที่รกหูรกตาไปหมด บรรดาผู้คนในฟาลาเดีย ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมักง่ายเช่นนี้อยู่เรื่อยมา
จนในคืนหนึ่ง มันคือค่ำคืนอันหนาวเย็น การดำเนินชีวิตที่ไร้ซึ่งระเบียบวินัย ก็ได้ชักนำเอาความหายนะเข้ามา ขณะที่ผู้คนกำลังกินดื่มกันอย่างสำราญใจ ซึ่งเป็นการใช้ชีวิตที่ผู้คนทำกันเป็นประจำ แต่อยู่ๆบางคนก็มีอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออกขึ้นมา พร้อมกับมีน้ำลายที่ฟูมออกมาจากปาก จนกระทั่งได้เสียชีวิต
ในคืนนั้นเองผู้คนได้พากันทยอยเสียชีวิต ลงอย่างกะทันหัน ด้วยอาการในแบบเดียวกัน โรคระบาดที่เกิดขึ้น ได้ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็วและได้พรากเอาชีวิตผู้คนไปมากมาย แต่จนแล้วจนรอด โรคระบาดที่เกิดขึ้น ก็ลุกลามไปทั่วดินแดน ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว
ในค่ำคืนอันแสนน่ากลัว หายนะที่มาจากการระบาดของโรคร้าย รวมถึงความโสมมและความหวาดกลัวในจิตใจของผู้คน ได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว และก่อให้เกิดเป็นอสูรร้ายร่างยักษ์ขึ้นมา ซึ่งอสูรร้ายตนนี้ มันคือยักษ์เวอร์เนิร์ส ที่มีลำตัวขนาดมหึมา กายของมันถูกย้อมด้วยสีดำทมิฬ สายตาของมันแดงฉาน ดุจเปลวไฟ มันคือยักษ์ร้ายที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก ซึ่งเป็นแขกที่ไม่มีใครอยากพบเจอ
ทันทีที่ยักษ์ร้ายถือกำเนิดขึ้น มันได้เที่ยวอาละวาดและไล่เข่นฆ่าผู้คน ด้วยเปลวไฟพิฆาต ที่มันได้พ่นออกมาจากปาก ผู้คนมากมายต่างก็ต้องเอาชีวิตมาสังเวย ให้กับไฟโทสะของมัน ซ้ำร้ายยังไม่พอ เจ้ายักษ์ใจทราม ยังเผาทำลายบ้านเรือนของผู้คน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างในดินแดน จนพินาศย่อยยับ
ผู้คนบางส่วนที่รอดชีวิต ได้หลบหนีเข้าไปอยู่ในวิหารอานอฟ อันเป็นที่สถิตของเทพอานอฟ เทพเจ้าที่ชาวฟาลาเดียให้ความเคารพนับถือ พระองค์เป็นเทพเจ้าแห่งท้องนภา
ลักษณะที่เห็นเด่นชัดของเทพอานอฟ คือ พระองค์มีกายท่อนล่างเป็นมนุษย์เหมือนพวกเราทุกอย่าง ยกเว้นส่วนศีรษะของพระองค์เท่านั้น ที่เป็นช้าง พระองค์ยังมีปีก ซึ่งเป็นปีกของพญาอินทรี ที่สามารถโบยบินไปได้ในทุกๆที่ สายตาของพระองค์ ยังเป็นสีเขียวมรกต ที่สำคัญเลยคืองาข้างขวาของพระองค์ จะมีลักษณะเป็นทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งงาข้างนั้น เป็นงาข้างที่เก็บรวบรวมเอาพลังทั้งหมดของเทพอานอฟเอาไว้
นอกจากนี้ ทั่วทั้งร่างของเทพอานอฟ ยังห่อหุ้มด้วยเสื้อเกราะทองคำ ที่ดูสง่างามและมีราศี สมกับเป็นบุรุษนักรบ ดังนั้น งาข้างขวาของเทพอานอฟ จึงถือเป็นศาสตราวุธอันทรงพลัง ที่มากด้วยอานุภาพแห่งการทำลายล้างเหล่าอสูรและปีศาจได้ทั้งหมด อสูรหรือปีศาจตนใด ไม่ว่าจะร้ายกาจสักแค่ไหน หากได้ถูกสังหารด้วยงาข้างขวาของเทพอานอฟแล้ว เป็นอันต้องจบชีวิตลงทุกราย
เนื่องจากวิหารอานอฟเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โรคระบาดที่กำลังลุกลาม จึงไม่สามารถทะลุผ่านเข้าไปบริเวณด้านในของวิหารได้ ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้น จึงมีชีวิตรอดและปลอดภัย จากโรคร้าย ต่อมา ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในวิหาร ได้ร่วมกันตั้งจิตภาวนาและวิงวอนต่อเทพอานอฟ เพื่อขอให้พระองค์สังหารยักษ์ร้าย ที่หมายจะเอาชีวิต ผู้คนในวิหารต่างวิงวอนต่อเทพเจ้า ที่เคารพนับถือ
ภายใต้จิตใจที่หวาดกลัว สุดท้ายคำภาวนาวิงวอนของเหล่าผู้ศรัทธา ก็ได้ล่วงรู้ไปถึงเทพอานอฟ ที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ เทพอานอฟรับรู้ถึงคำภาวนาวิงวอนของผู้คน พระองค์ยังเห็นถึงความหายนะ ที่กำลังเกิดขึ้นในดินแดน ซึ่งเกิดจากน้ำมือของยักษ์ร้ายใจอำมหิต
บริเวณด้านนอกของวิหาร ท่ามกลางสภาพอากาศที่เย็นยะเยือก ได้ปรากฏร่างๆหนึ่ง ที่มีลำตัวขนาดมหึมา จนดูน่าสะพึงกลัว ซึ่งเจ้าของร่างที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือยักษ์เวอร์เนิร์ส อสูรร้ายที่ถือเกิดจากความโสมมและการใช้ชีวิตที่มักง่ายของผู้คน
ซึ่งในขณะนี้ มันพยายามที่จะทำลายวิหารอานอฟอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และหมายจะเอาชีวิตของผู้คน ที่หลบซ้อนอยู่ด้านใน แต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามของมันจะไร้ผล เพราะทุกๆครั้ง ที่มันวิ่งเข้ามาใกล้อาณาเขตของวิหาร ร่างอันสูงตระหง่านของมัน ก็จะลอยกระเด็นปลิวออกไปทุกครั้ง ที่มันก้าวเท้าวิ่งเข้ามา
จริงอยู่ที่วิหารของเทพ เจ้า สามารถปกป้องชีวิตผู้คนจากอสูรร้ายได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวของผู้คน ที่มีต่อเจ้ายักษ์ร้ายจางหายไป ผู้คนยังคงอกสั่นขวัญผวา ต่อความเลวร้าย ที่ได้คืบคานเข้ามา แต่ในความสิ้นหวังของผู้คน ก็ได้ปรากฏแสงสว่างแห่งความหวัง ที่รออยู่ในปลายทาง ด้วยคำอธิษฐานวิงวอน ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาของผู้คน จู่ๆก็บังเกิดเป็นแสงสีทอง ที่ส่องสว่างเป็นประกาย ทำให้บริเวณด้านในของวิหาร เกิดความสว่างไสวไปทั่ว
ผู้คนที่อยู่ด้านใน ตกอยู่ในความตะลึงงัน จนดวงตาเบิกค้าง ต่อเหตุการณ์อันน่ามหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เกิดเป็นเสียงๆหนึ่ง ที่ดูน่าเกรงขาม ได้เเว่วดังขึ้นมา
“พี่น้องที่รักทั้งหลายของข้า ข้าได้เห็นหายนะอันเลวร้าย ที่พวกเจ้ากำลังเผชิญ แต่ขอให้พวกเจ้าโปรดวางใจ เพราะปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ ข้าจะเป็นผู้สังหารเจ้าอสูรยักษ์ร้ายนั่นด้วยตัวข้าเอง” เจ้าของเสียงพูดอันทรงพลัง ที่ผู้คนพากันได้ยิน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือเสียงของเทพอานอฟ ที่ผู้คนในดินแดนให้ความเคารพและศรัทธา คำบอกกล่าวของเทพเจ้า จากสวรรค์ชั้นฟ้า ทำให้คนมากมายที่ได้ยินและได้ฟัง รู้สึกถึงความหวัง ที่จะช่วยให้พวกตนรอดพ้น จากหายนะร้ายที่กำลังเกิดขึ้น
“แล้วท่านจะสังหารเจ้ายักษ์ร้าย ให้สิ้นใจลงด้วยวิธีใด?” ชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนและมีผิวคล้ำ ร้องตะโกนถามเทพอานอฟขึ้นมา ด้วยความสงสัย สายตาผู้คนต่างก็จับจ้อง ไปยังชายผิวคล้ำคนนั้น
“เจ้ายักษ์ร้ายเวอร์เนิร์ส มันไม่ใช่ยักษ์ธรรมดา เพราะมันมีร่างกายที่เป็นเหล็กกล้า และมันยังมีความเป็นอมตะด้วย อาวุธธรรมดาจึงไม่สามารถสังหารมันลงได้ มีเพียงงาทองคำ ซึ่งเป็นงาข้างขวาของข้าเท่านั้น ที่จะสามารถปลิดชีพความเป็นอมตะของมันได้” เมื่อสิ้นคำตอบจากองค์เทพ ความสงสัยของชายผิวคล้ำ ก็มลายหายไป เขาเข้าใจถึงคำตอบที่เทพอานอฟ ได้เอ่ยพูดออกมา จากนั้น แสงสีทองภายในวิหาร จากที่เคยสว่างและดูงามตา ก็ค่อยๆเรือนรางหายไป
ท่ามกลางหมู่เมฆบนผืนฟ้า ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด จู่ๆก็ค่อยๆมีแสงสว่างของดวงตะวัน ที่สาดส่องทะลุออกมา แสงแห่งดวงตะวันนั่น ได้ส่องออกมาเป็นระยะๆ ผู้คนต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจกับเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อ ที่กำลังเกิดขึ้น
สายตาทุกดวงของผู้คน ที่ซ่อนตัวอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ได้มองออกไปที่บริเวณด้านนอก และสิ่งที่ได้พบเห็น ก็ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้น ถึงกับอยู่ในอาการชะงักและทำอะไรไม่ถูก นั่นก็คือเทพอานอฟที่อยู่ในชุดเกราะนักรบ ที่ถูกย้อมทับด้วยทองคำบริสุทธิ์ กำลังต่อสู้อยู่กับยักษ์เวอร์เนิร์ส ในแบบที่ไม่มีใครยอมใคร
การต่อสู้อันสูสีของทั้งสองฝ่าย ได้ชักนำความตื่นเต้นและความลุ้นระทึก เข้ามาสู่จิตใจของผู้คน ที่กำลังมองดูอยู่ไม่น้อย ผู้คนทั้งหลายจ้องมองการต่อสู้ ที่กำลังเกิดขึ้นแบบตาไม่กระพริบ บางคนก็ถึงขั้นสวดภาวนา เพื่อขอให้เทพเจ้า ที่ตนเคารพศรัทธา เป็นฝ่ายกำชัย เหนืออสูรที่ชั่วร้าย แต่พอสู้กันไปสู้กันมา เทพอานอฟก็เกิดดันพลาดท่า ให้กับเจ้ายักษ์ร้ายเข้า
ในจังหวะที่เทพอานอฟ กำลังจะชกเข้าที่กลางใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม แต่เจ้ายักษ์ร้ายเหวี่ยงตัวหลบได้ทัน มันได้ใช้เท้าข้างหนึ่ง ถีบเข้าไปยังหน้าอกของเทพอานอฟจนสุดเเรง ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล ทำให้ร่างอันกำยำของเทพนักรบผู้พิทักษ์ ได้กระเด็นปลิวและลงไปนอนกองอยู่กับพื้น แต่เจ้ายักษ์ร้าย มันก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป มันได้อาศัยจังหวะนั้น โดยการพ่นไฟออกจากปาก เพื่อหมายจะแผดเผาเทพอานอฟ ให้สูญสลายและกลายเป็นธุลี เปลวไฟอันร้อนแรง ได้ลอยพุ่งเข้ามาหาเทพอานอฟอย่างรวดเร็ว
แต่ในช่วงแห่งความเป็นความตาย เทพอานอฟได้รีบเอนตัวลุกขึ้น และกระโดดหลบเปลวเพลิงมรณะได้ทันท่วงที เทพอานอฟได้ใช้จังหวะนั้น ด้วยการใช้งาทองคำ ซึ่งเป็นสุดยอดอาวุธ ที่ถือเอาไว้ในมือ ปาเข้าไปยังจุดที่อสูรร้ายร่างยักษ์ กำลังยืนพ่นไฟอยู่ งาทองคำอันทรงพลัง ได้เสียบแทงเข้าที่กลางหน้าผากของเจ้ายักษ์ร้ายอย่างแรง
ทันทีที่อาวุธอันทรงอานุภาพ ได้แทงทะลุเข้าผิวหนังของอสูรร้าย งาทองคำที่กำลังเสียบปักอยู่บนร่างกายที่เป็นอมตะ ก็ได้เเปรสภาพเป็นกระแสน้ำ ที่กำลังไหลเชี่ยว กระแสน้ำนั่นได้หลั่งไหล ท่วมร่างของเจ้าอสูรร้าย ทำให้มันส่งเสียงร้อง ออกมาอย่างเจ็บปวด จนในที่สุด ยักษ์ที่ขึ้นชื่อว่าฆ่าไม่ตาย ร่างกายของมันก็ได้เเตกออกเป็นเสี่ยงๆ และสูญสลายหายไป
หลังจากที่ยักษ์ร้ายถูกสังหาร ผู้คนที่มองดูการต่อสู้ ที่กำลังใจหายใจคว่ำ เพราะแต่ละคนต่างคิดไปในทางเดียวกันว่าเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองดูแลพวกตนมาตลอด จะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ให้กับอสูรร้ายไปซะแล้ว เมื่อความชั่วร้ายถูกทำลาย จนหมดสิ้น ผืนฟ้าจากที่เคยมืดสนิท ก็กลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง บ้านเรือนของผู้คนและสิ่งปลูกสร้างในดินแดน ที่ถูกไฟโทสะของเจ้ายักษ์ร้าย แผดเผาแบบไม่มีชิ้นดี เทพอานอฟก็ได้ใช้พลังของพระองค์ ฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพปกติ เหมือนอย่างที่เคยเป็น
ผู้คนที่เคยหลบซ่อนอยู่ในวิหาร ก็พากันเดินออกมาที่บริเวณด้านนอก มาบัดนี้ จิตใจของผู้คน ที่อัดแน่นไว้ด้วยความหวาดกลัว ได้มอดดับไป และเกิดเป็นความโล่งใจ ที่เข้ามาแทนที่ ผู้คนร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญต่อเทพอานอฟ ที่พระองค์ได้กำราบสิ่งชั่วร้าย นำเอาความสันติสุขมาให้ และยังช่วยให้ดินแดนแห่งนี้รอดพ้น จากเงามืดของอสูรร้าย
เมื่อบทเพลงสรรเสริญสิ้นสุดลง ก่อนที่เทพอานอฟ จะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ พระองค์ได้ตักเตือนผู้คน ถึงโทษในการใช้ชีวิต ที่มักง่ายและไร้ระเบียบวินัย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ชักนำความหายนะเข้ามา คำบอกกล่าวของเทพอานอฟ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนนึกย้อนถึงการใช้ชีวิตที่ผ่านๆมา ที่พวกตนมักจะทำอะไรตามใจตนเอง และมักจะมองข้ามในเรื่องเล็กๆน้อยๆ จนเป็นเหตุนำมาซึ่งอสูรร้าย
เมื่อภารกิจทุกอย่างลุล่วงและสิ่งชั่วร้ายได้ถูกทำลาย เทพอานอฟได้กล่าวอำลาผู้คนในดินแดนและกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ ที่พระองค์ได้จากมา
หลังจากที่ความหายนะได้ผ่านพ้นไป ผู้คนต่างก็ได้รับบทเรียนกับการใช้ชีวิตแบบที่เคยเป็นมา และใช้ชีวิตกันอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น ในแต่ละเดือน ผู้คนจะร่วมกันมาทำความสะอาด เพื่อให้ดินแดนเกิดความสะอาดและน่าอยู่
ผู้ปกครองดินแดนได้ลงโทษอย่างหนัก ต่อผู้ที่ทิ้งขยะแบบไม่เป็นที่เป็นทาง โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ การถูกลงโทษอย่างหนัก จากผู้ปกครองดินแดน ยิ่งทำให้ผู้คนระมัดระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น หลายปีผ่านไป ฟาลาเดียดินแดนจากที่เคยมากด้วยความสกปรกและสิ่งปฏิกูล ก็กลับกลายมาเป็นดินแดนที่สะอาดและน่าอยู่ รวมถึงมีเเหล่งธรรมชาติสวยงามและอุดมสมบูรณ์
*ห้ามนำเนื้อหาไปดัดแปลง แก้ไข หรือทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา