13 มี.ค. 2024 เวลา 04:31 • ประวัติศาสตร์

A Brief History of The World ประวัติศาสตร์ย่อโลก บทที่ 1

Than to walk awkwardly into the historical scene.
กว่าจะเดินงุ่มง่ามเข้าสู่ฉากประวัติศาสตร์
หากจะกล่าวถึงนักปรัชญาผู้ทรงอิทธิพลต่อสติปัญญาของมนุษยชาติตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย โสเครติส ผู้ตั้งคำถามกับทุกสรรพสิ่ง เพลโต ผู้นิยามทุกสรรพสิ่ง และอริสโตเติล ผู้ได้รับสมญานามว่า“บรมครูของครูทั้งปวง” เราเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า “3 ผู้ยิ่งใหญ่”
หากกล่าวถึงบุคคลผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ผู้ชี้หนทางในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เราทุกคนจะนึกถึง 3 ศาสดาของ 3 ศาสนาหลักของโลก พระเยซู นบีมูฮัมหมัด และสิทธัตถะโคตม หรือ พระพุทธเจ้า
แต่ถ้ากล่างถึงศาสตร์ที่ทรงอำนาจที่ทำให้มนุษย์โลกได้มีชีวิตมาถึงปัจจุบัน ก็มีเพียง 3 ศาสตร์ด้วยเช่นกัน ศาสตร์ที่ทำให้เราได้เห็นถึงเหตุและผล ได้ทราบถึงโครงสร้างทางกายภาพและชีวภาพของโลกและทุกสรรพสิ่ง ศาสตร์นี้เราเรียกว่า “วิทยาศาสตร์”
ศาสตร์ที่ทำให้เรามีตัวกลางให้การทำความเข้าใจมนุษย์ด้วยกัน เป็นศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวและร้อยเรียงสิ่งต่างๆที่มนุษย์อยากจะบอกเรา ศาสตร์นั้นเราเรียกว่า “ภาษาศาสตร์”
ศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่อยู่ด้วยกันได้ เป็นศาสตร์ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ และสร้างสรรค์เหตุการณ์ ความเชื่อ สิ่งสมมุติ และหลักเกณฑ์ต่างๆที่เป็นจุดร่วมระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เราเรียกกันว่า “สังคมศาสตร์”
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นถึงลักษณะสำคัญของมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย 2 ประการ คือ
ย้อนกลับไปเมื่ออดีตกาลก่อน เมื่อมีฟ้าผ่าลงมาบนพื้นแผ่นดิน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ได้ระลึกว่าพวกตนนั้นมี“ความไม่รู้”ในทุกสิ่งต่างๆบนโลก เนื่องจากมนุษย์มีความไม่รู้ มนุษย์จึงหาสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆหรือหลักการต่างๆเพื่อมาสนองความไม่รู้ของมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอยากเป็นสัญชาตญาณเดิมประกอบกับความไม่รู้ ซึ่งเมื่อสิ่งสองสิ่งมารวมกัน ทำให้เราได้เห็นคำว่า “ความอยากรู้อยากเห็น” เพื่อมาสนองความต้องการของตนเอง
ด้วยความอยากและความไม่รู้ของมนุษย์ที่มีอย่างไม่สิ้นสุดทำให้มนุษย์มุ่งพัฒนาเพื่อหาสิ่งต่างๆมาสนับสนุนหรือทำให้เรารู้ ด้วยความไม่รู้ของมนุษย์มีมากมายมหาศาลและในบางครั้งคำตอบในอดีตไม่สามารถทำให้ข้อสงสัยหรือข้อคำถามกระจ่าง เหมือนแผนที่ในอดีตกับปัจจุบันไม่มีความเหมือนกัน
ส่วนต่อมาคือ สิ่งที่ถูกโยงกับสิ่งต่างๆที่มนุษย์ได้มอบให้กับทุกสิ่ง ทั้งมนุษย์มอบให้กับธรรมชาติและมนุษย์มอบให้กับมนุษย์ด้วยกันเอง นั่นคือ “จินตนาการ” มนุษย์ทำให้สิ่งสีเหลืองแวววาวให้เป็นสิ่งมีค่า โดยที่สัตว์ต่างๆไม่ได้สนใจหรือเห็นถึงค่าของมัน หรือสร้างสิ่งที่เป็นตัวกลางในการบันทึก สื่อสารระหว่างกันและกัน หรือ“ตัวอักษร” โดยที่สัตว์ต่างๆก็ไม่ได้คิดที่จะสร้าง นอกจากนี้ยังสร้างคำศัพท์หรือนิยามความหมายของสิ่งต่างๆ
มนุษย์มีความแปลกประหลาดกว่าสิ่งมีชีวิตร่วมโลกเดียวกับเรา เป็นความแปลกประหลาดที่อาจจะกล่าวได้ว่า โลกอาจจะไม่ต้องการ เมื่อเราได้มองเห็นสภาพโลกของเราในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงและเลวร้ายจนแทบจะจำภาพของโลกในอดีตกาลไม่ได้ แต่เหตุไฉนสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะมีพิษมีภัยกับโลก กลับมามีบทบาทและอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งใบและสิ่งมีชีวิตร่วมโลกของเรา
จุดเริ่มต้นของมนุษย์ในปัจจุบันหรือ Modern Human เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ 3 ครั้งคือ เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว 12,000 ปีที่แล้ว และ 500 ปีก่อน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์ไปตลอดกาล แต่กว่าเราจะพูดถึงเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เราต้องกล่าวถึงมนุษย์ก่อนว่า มนุษย์มาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร ตั้งการถือกำเนิดมาของโลกจากเศษฝุ่น แก๊สและเถ้าธุลีที่มารวมกันจนก่อให้เกิดดวงดาวมากมายรวมถึงโลกเมื่อ 4.54 พันล้านปีที่แล้ว
เมื่อแรกเริ่มโลกของเราไม่ต่างอะไรกับนรกตามความเชื่อต่างๆ เต็มไปด้วยแก๊สพิษ ลาวา และไอความร้อน ซึ่งไม่เหมาะแม้จะทำให้สิ่งมีชีวิตสักชนิดถือกำเนิดขึ้นเลย จนกระทั่งเมื่อประมาณ 3.5 พันล้านปี ในพื้นลาวาและกลุ่มสารเคมีจากเถ้าภูเขาไฟ ก็ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตชนิดแรกของโลกขึ้น แรกเริ่มเป็นสิ่งมีชีวิตเซลส์เดียวที่ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร พัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนหลากหลายเผ่าพันธุ์จนกลายเป็นมนุษย์ที่เดินขึ้นจากท้องทะเลเข้าสู่ฉากประวัติศาสตร์ ก่อเรื่องก่อราวในความทรงจำของโลก
โฆษณา