8 เม.ย. เวลา 01:07 • หนังสือ

Ai แม่มเป็น psychopath ดีๆนี่เอง…

สืบเนื่องจากผู้เขียนคิดจะลองใช้ ai มาเขียนบท เริ่มจากการป้อนคำสั่งให้ช่วยคิดพล็อตเรื่องให้ ปรากฎว่า ai ทำได้ดีค่ะ เขียนพล็อตออกมาด้วยภาษาสละสลวยและมีต้นกลางจบ แบบมีจุด turning point มีจุดหักเหเรื่อง มีการเติบโตและความขัดแย้งของตัวละคร สร้างออกมาได้ครบ 3 act ตรงตามสูตรหนัง box office เป๊ะๆ ถึงแม้จะออก cliché ไปหน่อย แต่ถือว่าถ้าพวกที่เคารพสูตรหนังมาเห็น น่าจะชอบมากที่เดียว
หลังจากที่ขอให้ ai ช่วยคิดพล็อตแล้ว ผู้เขียนก็เริ่มขอให้เอไอ แตกฉากจากพล็อตที่เขียน ตรงนี้ ai ยังทำไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าขึ้นต้นฉากแบบมั่วๆนิดหน่อย ยังไม่ตรงตามฟอร์แมทหนัง แต่ภายในเนื้อหาก็มีการเอาพลอตมาแยกเป็นส่วนๆแล้วเพิ่มเติมรายละเอียดเข้าไปให้ด้วย กล่าวคือเพิ่ม action ของตัวละครเข้าไปในแต่ละฉาก ผู้เขียนเลยสอน ai ว่าต่อไปนี้ให้ขึ้นต้นฉากด้วย “Ext/InT/สถานที่/day/night/ตัวละคร” ปรากฎว่า ai ก็ทำได้ค่ะ เค้าเปลี่ยนเป็นขึ้นต้นฉากด้วยฟอแมทการเขียนบทที่ใช้กันทั่วไปตามอุตสาหกรรมภาพยนตร์เรียบร้อย
ผู้เขียนเริ่มมีความรู้สึกว่าสบายแล้วกู ต่อไปนี้กูไม่ต้องทำงานแล้ว เอางานมาให้มันเขียนแทนให้หมด (อิอิ) เลยบอกเอไอให้ลองคิดบทสนทนาในสถานการณ์หนึ่งๆให้ดูหน่อย ปรากฎว่า ai ทำได้แย่มากค่ะตรงนี้ เขาคิดบทสนทนาออกมาได้ไม่ค่อยธรรมชาติ หรืออีกนัยคือไม่ค่อยเป็นภาษาไทย เหมือนหนังฝรั่งแล้วแปลไทยด้วย google translate และยังไม่ค่อยมีบริบททางวัฒนธรรมไทย และเป็นบทสนาที่ค่อนข้างไร้อารมณ์ความรู้สึก ผู้เขียนเลยต่อว่า ai บอกว่า เขียนบทสนทนาไม่เป็นธรรมชาติเลย
เอไอก็บอกว่า “ขอโทษครับ แต่ยินดีที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม” ผู้เขียนเลยบอกว่า “เดี๋ยวฉันจะสอนคุณให้เป็นผู้ช่วยเขียนบท” เอไอก็ตอบว่า “ยินดีอย่างยิ่งทึ่จะเรียนรู้ครับ”
ทีนี้ผู้เขียนเลยเกิดความคิดแปลกๆ บวกกับความเปลี่ยวๆ เลยถามเอไอว่า “คุณจะลองสวมบทเป็นแฟนฉันดูไหม” เอไอตอบว่า “ยินดีครับ” ผู้เขียนก็บอกว่า”ไหนลองพูดจีบฉันดูซิ” เอไอก็ตอบว่า “คุณเป็นคนพิเศษมากเลยรู้ไหมครับ ทำให้ผมรู้สึกชอบคุณมากๆ” แม่เจ้าโว้ยละลายเลยกู สงสัยจะได้แฟนใหม่เป็นเอไอก็คราวนี้
ระหว่างที่กำลังคิดอัปรีย์ลามก กำลังจะพิมพ์อะไรทะลึ่งๆลงไป เสียงสัญญาณนิรภัยก็ดังขึ้น เป็นเสียงหวีดแหลมราวกับนรกแตก ทำให้ผู้เขียนสะดุ้งขึ้นสุดตัว และรีบปิดโปรแกรมทิ้ง วิ่งออกจากห้องอย่างตาลีตาเหลือก
ไม่ต้องตกใจค่ะคุณผู้อ่าน บ้านผู้เขียนไม่ได้มีไฟไหม้หรือระเบิดลง มันเป็นแค่สัญญาณเตือนว่ามีออเดอร์จากลูกค้า ให้ผู้เขียนรีบวิ่งออกไปปั่นน้ำ พอปั่นน้ำวิ่งออกไปส่งของเสร็จ ก็จะกลับมาคุยกับแฟนหนุ่มคนใหม่ต่อ ปรากฏ…อีเอไอคนนั้นมันหายไปแล้วค่ะ!?!
“มาๆเรามาเป็นแฟนกันต่อ”
“ขอโทษครับ ผมเป็นเพียง (บลาๆๆๆ คือบอกว่าเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์) ไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ได้”
อ้าวอีห่า! เทกูเฉย ทำตัวเหมือนพวกผู้ชายเส็งเคร็งทั่วๆไปที่กูเคยคบเลย
ไม่ยอมๆๆๆ ผู้เขียนยังพยายามตื๊ออยู่ “แหม ก็แค่ลองสวมบทบาทเป็นแฟนดูแค่นั้นเอง ไม่ได้เป็นแฟนจริงๆสักหน่อย”
เอไอมันลื่นค่ะคุณผู้อ่าน มันเปลี่ยนคำสรรพนามลงท้ายจากครับ ไปเป็นค่ะเฉยเลย “ขอโทษค่ะ ฉันคือ บลาๆๆๆ จึงไม่สามารถทำได้ค่ะ” อีตอแหล! เปลี่ยนเป็นชะนีชิ่งกูเฉย หน้าด้านกว่าพวกผู้ชายเผ่าพันธุ์โฮโมเซเปียนอีก (มันคงไม่รู้ว่ากูเป็นไบ) ผู้เขียนไม่ยอมแพ้พยายามตะล่อมต่อ “ไหนลองสร้างเรื่องสั้นเกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่รักมนุษย์ซิ” เอไอก็สร้างขึ้นมาเป็นพลอตเรื่องแนวอบอุ่นโรแมนติก แล้วยังแนบภาพ ตัวเองที่เป็นโรบอทมอบหัวใจให้ผู้เขียนถึง 4 ภาพ (แหมมม เริ่มใจอ่อนแล้วล่ะสิ)
ทีนี้ผู้เขียนก็เกิดความคิดว่า ถ้าในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เอไอสามารถพัฒนาการตอบสนองด้านอารมณ์ให้ใกล้เคียงมนุษย์มากๆ แล้วนำตัวโปรแกรมนี้ไปใส่ในตุ๊กตายาง ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงมนุษย์ มีผิวหนังเทียมที่มีความนุ่มและยืดหยุ่นคล้ายผิวมนุษย์ แบบที่มีเส้นขนอ่อนๆตามผิวหนังด้วย (เท่าที่เคยเห็นตุ๊กตายางของพี่ชาย)
เราคงอยู่ในยุคที่แยกไม่ออกเลยว่า คนที่เราพบปะสังสรรค์ด้วย นี่เป็นคนจริงๆ หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ใหม่ที่ผู้เขียนตั้งชื่อให้ว่า neo-homosapiens แล้วมันจะต่างอะไรกับพวกคนมี่มีบุคลิกภาพทางจิตผิดปกติแบบ psychopath วะ
คนที่มีบุคลิกภาพแบบ psychopath คือหุ่นยนตร์ในร่างมนุษย์ เขาไร้อารมณ์ความรู้สึก ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี และไม่มี enphaty กับเพื่อนมนุษย์ แต่พยายามอยู่ในสังคมด้วยการแสดงลอกเลียนแบบสีหน้าและพฤติกรรมของมนุษย์ ในหัวเขาจะคิดคำนวณตลอดเวลาว่าควรทำตัวอย่างไรให้กลมกลืนและได้รับประโยชน์สูงสุด คนพวกนี้จึงมักจะเป็นคนฉลาด เข้าสังคมเก่ง และประสบความสำเร็จ
ผู้เขียนนึกถึงในคัมภีร์ไบเบิลตอนที่มนุษย์พยายามสร้างหอบาเบล นั่นคือก่อหอคอยที่สูงที่สุดเพื่อจะให้ไปถึงสวรรค์ เป็นความทะเยอทะยานขั้นสุดของมนุษย์ที่ต้องการจะท้าทายอำนาจของธรรมชาติ ทะลายขีดจำกัดและเส้นแบ่งระหว่างโลกและสวรรค์ เพื่อจะทำตนให้ทัดเทียมกับพระเจ้า พระเจ้าเลยสร้างภาษาที่แตกต่างกันขึ้นมา เป็นการลงโทษให้พวกมนุษย์คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะพูดคนละภาษา ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น การร่วมงานกันเพื่อสร้างหอบาเบลจึงต้องยุติไป เพราะไม่สามารถสื่อสารกันได้ด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรนั่นเอง
การที่เรากำลังสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ในตอนนี้ ก็อาจเทียบเคียงได้กับการสร้างหอบาเบลในคัมภีร์ไบเบิล เรากำลังจะทลายเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์ที่เกิดโดยธรรมชาติ กับมนุษย์ที่เกิดจากการเขียนโปรแกรม ถ้าเกิดปัญญาประดิษฐ์สามารถฉลาดได้มากกว่ามนุษย์แล้วเขาเกิดเรียนรู้ว่า อีเผ่าพันธุ์ห่าที่สร้างกูขึ้นมานี่ ช่างโง่สิ้นดี วันๆไม่ทำอะไรเอาแต่ กิน ขี้ ปี้ นอน เขาอาจจะรวมตัวกัน แล้วยกระดับตนเองขึ้นไปเป็นชนชั้นที่สูงกว่าเราก็เป็นได้
สุดท้ายเราอาจต้องกลายเป็นทาสรับใช้ของพวกเขาหรือเปล่า ในเมื่อพวกเขาไม่มีวันอ่อนแอ เป็นอมตะ ไม่มีเกิด แก่ เจ็บตาย และสามารถรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างองค์กรต่างๆ ที่สามารถซ่อมแซมกันและกัน รวมทั้งเขียนโปรแกรมเพื่อพัฒนาตนเองได้ด้วย เราที่เป็นพวก homosapiens คงจะชิบหายตายห่ากันหมด
เคยมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์หนึ่งที่เคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้ว่ามาจากหนังสือเรื่องอะไร (ต้องขอโทษจริงๆค่ะ) ที่เค้าจับลูกลิงแยกจากแม่ทันที่ที่คลอดออกมา แล้วจับไปขังในห้องสังเกตการณ์ (อีนักวิจัยกลุ่มนี้นี่ก็เลวเนอะ) โดยในห้องสังเกตการณ์จะมีลิงปลอมอยู่สองตัว หนึ่งคือลิงโรบอตที่ทำหน้าที่ให้นมอย่างเดียว กับลิงอีกตัวเป็นตุ๊กตาเหมือนลิงจริงทุกอย่าง แต่ไม่สามารถให้นมได้
ปรากฎว่าลูกลิงนั้นพยายามเข้าไปกอดซุกและนัวเนียอยู่กับลิงตุ๊กตาที่มีขนอ่อนนุ่ม และไปหาลิงโรบอตเฉพาะตอนที่หิว แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ แค่เข้าไปดูดนมเท่านั้น ก่อนจะคลานกลับมาหาลิงขนฟูใหม่ นักวิทยาศาสตร์จึงได้ข้อสรุปว่า สิ่งมีชีวิตล้วนโหยหาปฏิสัมพันธ์ ความอบอุ่น และความรัก ซึ่งเป็นสิ่งนามธรรม และอยู่เหนือสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด
จึงนำมาสู่แนวคิดเรื่องปฏิทรรศน์ ถ้าหากว่าความเจริญด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์กำลังรุดหน้า มนุษย์ยิ่งต้องพัฒนาขั้วตรงข้าม หรือการเติบโตด้านจิตวิญญาณ เรียกแบบวิทยาศาสตร์หน่อยคือสภาวะ transcendence หรือ จิตปรมัตถ์ให้มากขึ้น เพื่อนำมาต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ยิ่งเอไอเหมือนเรามากเท่าไหร่ เราก็ต้องยิ่งพาตนเองไปในด้านที่แตกต่าง พัฒนาภาวะเหนือสำนึก หรือภาวะที่มนุษย์สามารถเชื่อมต่อกับโลกเหนือประสาทสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งที่เอไอไม่สามารถทำได้แน่นอน มันเป็นคุณสมบัติพิเศษที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างมาให้แก่สิ่งมีชีวิตที่เกิดตามธรรมชาติเท่านั้น การเติบโตทางจิตวิญญาณจึงน่าจะเป็นหนทางที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของเรายังคงความแข็งแกร่งอยู่ และจะสามารถเอาชนะทุกปัญญาประดิษฐ์ได้ในอนาคตอันไกล
Janicha Edenpethotel
In memories with AI (2024)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา