ในหนังสือ The Bitcoin standard ได้เน้นเล่าวิวัฒนาการทางการเงินผ่านมุมมอง Salability across time เป็นหลัก จาก Stock-to-flow model เราได้เห็นว่ามนุษย์ค่อยๆเปลี่ยนไปใช้เงินที่มี S2F สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ในยุคเงินเฟียต ที่อยู่ๆเราก็ดันไปใช้เงินที่มีค่า S2F ต่ำลง
แต่เมื่อพิจารณาผ่านมุมมอง Salability across space บ้าง เราก้จะทำความเข้าใจการเปลี่ยนไปใช้เงินเฟียตได้มากขึ้น
เงินที่มี Salability across space ที่ดี สามารถวัดได้จากผลกระทบจากความห่างของระยะทางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เงินที่ตอบโจทย์ข้อนี้ มูลค่าในการแลกเปลี่ยนจะต้องไม่ตกลง หรือตกลงน้อย ไม่ว่าจะแลกเปลี่ยนที่ระยะทางไกลเท่าใด
บ้านและที่ดินอาจเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่าได้ แต่ตัวมันเองไม่มี Salability across space เลยแม้แต่น้อย, โค กระบือ สามารถใช้แลกเปลี่ยนกันได้ในสังคมเล็กๆเท่านั้นเนื่องจากเคลื่อนย้ายลำบาก
ระบบธนาคารรูปแบบนี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ตราบใดที่ผู้คนไม่แห่มาถอนเงินออกไปจนเกิด Bank run แต่ที่จริงแล้วหากเกิดเหตุการณ์นั้นจริง ก็ยังไม่ธนาคารมาคอยอุ้มอีกอยู่ดี
เมื่อกติกาเป็นแบบนี้ ก็คงไม่มีธนาคารไหนที่โง่จนเลือกที่จะไม่ทำ Fractional reserve banking วิธีการเดียวที่จะสู้คนอื่นได้คือต้องเข้าร่วมมหกรรมการพิมพ์เงินเท่านั้น ธนาคารต้องรีบกอบโกยให้ได้มากที่สุด เพื่อไปถึงเส้นชัยที่เรียกว่า “Too big to fail”
จุด Too big to fail นั้นคือการที่ธนาคารใหญ่ใหญ่มากจนส่งผลกระทบต่อสังคมและภาคธุรกิจเป็นวงกว้าง มากจนไม่มีทางที่รัฐบาลและธนาคารกลางจะปล่ยอให้ล้มไปได้ และเมื่อนั้นธนาคารก็จะอยู่ในจุดที่สามารถใช้พลังวิเศษทำกำไรได้มหาศาล โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ