4 พ.ค. เวลา 07:50 • ประวัติศาสตร์
อังกฤษ

จักรวรรดิอังกฤษ ดวงอาทิตย์สาดแสงสู่ช่วงเวลาอับแสง ตอนที่ 1 บทโหมโรง

เชื่อว่า.. หลายๆท่านอาจได้เคยเรียน หรือได้เคยศึกษาค้นคว้ามาแล้วในอดีต และอาจจดจำกันได้ว่า.. จักรวรรดิที่มีพื้นที่เยอะมากที่สุดในโลกนี้คือ ” จักรวรรดิมองโกล“ แต่จริงๆแล้ว ทราบหรือไม่ว่า.. ถ้าหากว่าเรามองเพียงแค่พื้นที่ในการเข้ายึดครองแล้ว ตำแหน่งจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จะต้องตกเป็นของ ”บริติชเอ็มไพร์หรือจักรวรรดิบริติช“ ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงนั่นเอง!!!
เพราะเพียงแค่พื้นที่ที่จักรวรรดิบริติชสามารถเข้าครอบครองได้ทั่วโลก ณ เวลานั้น คือ 34.4 ล้านตารางกิโลเมตร และเกิดมีคำถามขึ้นมาว่า.. มันใหญ่ขนาดไหนกันล่ะ??? ลองเปรียบเทียบกันดูนะครับ กับประเทศไทยแล้วเนี่ย.. เราเป็นประเทศที่ไม่เล็ก พื้นที่ของเราอยู่ที่ 513,000 ตารางกิโลเมตร
ใหญ่พอๆกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่เกือบที่สุดแล้วในยุโรป หรือว่าถ้าเกิดลองเปรียบเทียบกับจีนดู ซึ่งก็ถือว่าใหญ่มากที่สุดในเอเซีย และจีนมีพื้นที่ประมาณ 8.5 ล้านตารางกิโลเมตร ดังนั้น ”จักรวรรดิบริติช“ ณ เวลานั้น ต้องถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าจีนในปัจจุบัน มากถึงประมาณ 4 เท่ากว่าๆเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นจึงมีความหมายว่า ”ยิ่งใหญ่ยักษ์มหาศาล“ นอกเหนือไปจากนั้น การครอบครองพื้นที่ของ “จักรวรรดิบริติช” ยังครอบคลุมไปทั่วจนต้องเรียกว่า ”กินพื้นที่เกือบทุกทวีปทั่วโลก“ ก็ว่าได้ โน่นเลยครับ ถ้าเกิดเราไปดูทวีปอเมริกา เราก็จะเห็นว่าแคนาดาก็ดี หรือหมู่เกาะแคริบเบียน ซึ่งอยู่ที่แอตแลนติกก็ดี หรือทวีปแอฟริกานี่ไม่ต้องพูดถึงเลยได้ทั้งหมด
ภาพวาดการล่าอาณานิคมของอังกฤษในแอฟริกา
หรือแม้แต่เอเชียก็จะมี เช่นอินเดีย พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ แบบนี้เป็นต้น หรือแม้กระทั่งตะวันออกไกล ก็ออสเตรเลีย แล้วก็นิวซีแลนด์นั่นเอง คำถามเริ่มต้นคือ.. คำว่า “จักรวรรดิ” มันแตกต่างไปจากคำว่า “อาณาจักร”ยังไงกัน?? คำว่า.. ”จักรวรรดิ“ นั้นมีความหมายถึง การที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ได้มีการส่งกองกำลังทหารของตัวเองเข้าไปยึดครองพื้นที่นั้นๆ
พูดง่ายๆก็คือ..ไปบุกรุกประเทศอื่นๆ แล้วก็เอาพื้นที่เหล่านั้นมาเป็นของตัวเองนั่นเอง” ซึ่งถ้าเราได้มีโอกาสดูตามหนังจะพบว่า.. คนอังกฤษ หรือว่าคนของยูเครนสหราชอาณาจักรก็จะเรียกว่า..“บริติชเอ็มไพร์” ตามสำเนียงเค้ากันอย่างต่อเนื่องยาวนานจนกระทั้งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
2
ถ้าเรามองคำว่า“บริติชเอ็มไพร์” หรือการที่อังกฤษได้ส่งกองกำลังทหารของตัวเองเข้าไปยึดครองพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเองนั้น แท้ที่จริงได้เริ่มต้นมีมายาวนานแล้ว ที่ซึ่งเราน่าจะคุ้นเคยกันบ้าง ก็เช่น กรณีที่อังกฤษเองนั้นได้ส่งคนรวมถึงระบบการปกครองตัวเองไปที่บริติชอเมริกา
พูดง่ายๆก็คือ.. ถึงแม้ว่าชาวสเปนจะเป็นชนกลุ่มแรกที่ไปถึงพื้นที่สหรัฐอเมริกาก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้วเนี่ย.. กลายเป็นว่า “จักรวรรดิบริติชเอ็มไพร์” นี่แหละ ที่ได้เข้าไปครอบครองพื้นที่ดังกล่าวแทน ซึ่งถือได้ว่า.. เป็นจุดเริ่มต้นของ ”บริติชเอ็มไพร์“ ตัวหลักๆเลยก็ว่าได้ อยู่ในช่วงเวลาประมาณศตวรรษที่ 18 -19 เป็นต้นมาก
ภาพวาดการล่าอาณานิคมของอังกฤษในศรีลังกา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น.. คำว่า “จักรวรรดิบริติช” มีความเป็นมาและความยิ่งใหญ่จริงๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน??? ซึ่งคำตอบก็คือ เริ่มมีก่อนที่จะเกิดสงครามนโปเลียน(จักรวรรดิฝรั่งเศส)เสียอีก ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในช่วงต้นว่า.. จุดเริ่มต้นของบริติชเอ็มไพร์คือ การได้เข้าไปครอบครองรวมถึงการปกครองพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาโดยเรียกว่า “บริติชอเมริกา” มาอย่างยาวนาน
1
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1776 “บริติชอเมริกา” ได้ประกาศตัวเป็นเอกราช และไม่ขึ้นตรงต่ออังกฤษอีกต่อไป ( ณ เวลานั้น ก็คือ 6 ปีก่อนการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์) ทำให้ต้องสูญเสียอิทธิพลและผลประโยชน์อย่างมหาศาล อังกฤษได้เริ่มตระหนักแล้วว่า.. อิทธิพลของตัวเองไม่ควรจะถูกจำกัดไว้เพียงแค่เฉพาะเกาะอังกฤษ หรือว่าพื้นที่ที่ตัวเองถือครองอยู่เท่านั้น
1
จึงทำให้คิดว่า.. เอาแบบนี้ละกัน..!! ตัวเราเองมีความพร้อมและความสามารถอย่างสูง ในเรื่องของการเดินเรือ จึงได้ต่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ แล้วก็ออกเดินทางไปหาอาณานิคมใหม่ๆ ซึ่งในเวลานั้น อังกฤษมีอาณานิคมเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ “ออสเตรเลีย“ แล้วถัดมาก็เป็น “นิวซีแลนด์ ” และสำหรับออสเตรเลียนี้
1
ภาพวาดของราชทูตสยามส่งไปอังกฤษ
ถ้านับไปแล้วก็คือ.. อายุอ่อนกว่ากรุงเทพมหานคร 4 ปีด้วยกัน.. ถือเป็นการทดแทน ”บริติชอเมริกา“ไป แต่หลังจากนั้นไม่นานอังกฤษก็ไม่สามารถขยายอิทธิพลสร้างจักรวรรดิใหม่ได้มากไปกว่านี้ สาเหตุเป็นเพราะว่า.. เกิดสงครามขึ้นในภาคพื้นยุโรป ณ เวลานั้น “จักรพรรดินโปเลียนของจักรวรรดิฝรั่งเศส” ได้มีการขยายอำนาจแผ่อิทธิพล ประกาศสงครามไปทั่ว
1
ซึ่งหลักๆเลยก็คือ ในภาคพื้นยุโรป และหนึ่งในประเทศที่เป็นคู่สงคราม ที่มีการต่อสู้รบกันมาถึง 12 ปีโดยประมาณ นั่นก็คือ “สหราชอาณาจักรหรือว่า บริติชเอ็มไพร์์นี่แหละ” จนกระทั่งในที่สุด “สหราชอาณาจักร” สามารถเอาชนะ“จักรพรรดินโปเลียน”ได้ และทำให้สงครามในยุโรปนั้น ได้สิ้นสุดลงไปนานนับร้อยปีเลยทีเดียว ต่อจากนั้น.. ประเทศในยุโรปเอง ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสก็ดี อังกฤษก็ดี หรือปรัสเซีย และรัสเซีย
1
ต่างมองหน้ากันแล้วบอกว่า.. เราไม่ควรจะรบกันเองแล้วนะ อย่ากระนั้นเลย เราควรที่จะทำอย่างอื่นกันดีกว่า ณ เวลานั้น มีหลายชาติต่างเห็นพ้องต้องกันว่า.. พวกเราต่างมีเทคโนโลยีทางทะเลที่สูงเยี่ยม สามารถต่อเรือเดินสมุทรที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม และที่สำคัญ.. เราต่างมีอาวุธที่ทันสมัยและกองเรือที่เข้มแข็งมาก พวกเราควรจะไปแสวงหาอาณานิคมใหม่กันดีมั๊ย???..
2
ภาพวาดการล่าอาณานิคมของอังกฤษในพม่า
ซึ่งถ้าเทียบกับบ้านเรา ณ เวลานั้นคือ “ สมัยรัชกาลที่2 “ อังกฤษเองก็ดี ฝรั่งเศสเองก็ดี ได้มีการจัดส่งเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่เพื่อการค้า และจัดให้มีกองเรืออารักขาเคลื่อนกำลังพลไปยังประเทศต่างๆ เพื่อที่จะหาอาณานิคมแห่งใหม่ๆ และ ”ยุคแห่งการล่า“ ได้เริ่มขึ้นแล้วนั่นเอง..!!!!!
1
มันคือ.. การเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “อิมพีเรียลเซ็นจูรี่” นั่นก็คือ “ศตวรรษแห่งการเป็นจักรวรรดิ” ซึ่งทางด้านของอังกฤษเอง ก็สามารถจะเดินเรือไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อยึดครองได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ถ้ามีคำถามว่า.. แล้วทำไม? อังกฤษถึงยิ่งใหญ่ได้มากกว่าโรมันหรือมองโกลล่ะ??.. คำตอบง่ายๆ คือ ด้วยเทคโนโลยีของศตวรรษนั่น ได้ทำให้เกิดการสร้างเรือ รวมถึงการต่อเรือเดินสมุทรขนาดยักษ์ ที่สามารถจะเดินเรือด้วยความรวดเร็ว
1
แถมยังช่วยทำให้การขนย้ายหรือเคลื่อนย้ายกำลังพล ทำได้อย่างรวดเร็วและครั้งละจำนวนมากๆ แตกต่างจากยุคของโรมันและมองโกล ที่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลด้วยฝีเท้าของม้า และรถม้าที่ต้องบรรทุกสัมภาระยุทโธปกรณ์อีกมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า.. “เทียบกันไม่ได้เลย”..และด้วยความรวดเร็ว บวกกับความสามารถในการเคลื่อนย้ายกำลังพล ของระดับอังกฤษนี้เอง
1
ทำให้เมื่อเดินทางไปถึง “อินเดีย” แล้วก็สามารถที่จะครอบครองอินเดียได้โดยไม่ยาก และในเวลาต่อมา.. ได้มีการสถาปนาพื้นที่ ที่เรียกกันว่า “บริติช โคโลนี้” (British colonies) ซึ่งก็คือ “จักรวรรดิอังกฤษที่อินเดีย” เป็นที่แรก และได้มีการขยายพื้นที่ต่อไปยังพื้นที่ของพม่า
1
ภาพวาดการเปิดใช้คลองสุเอซ
จากนั้นก็ไปยังแหลมมลายู ผนวกกับพื้นที่เดิมคือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์รวมเข้าไว้ด้วย และหลังจากที่มีการขุด”คลองสุเอซ“ เมื่อ 152 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระราชินีวิคตอเรีย นั้นถือได้ว่า.. เป็น ”ยุคทองของโคโลริซึ่ม“ (Colonialism)หรือว่า”การล่าอาณานิคม“ เลยทีเดียว และผลพวงจากการขุด”คลองสุเอซ“ นี้เอง ทำให้อังกฤษสามารถเดินเรือ จาก ”ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน“ ผ่านช่องแคบ “ยิบรอลตาร์” ผ่านเข้า ”ทะเลแดง” และจากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่ทวีปแอฟริกา
1
จนสามารถเข้าไปครอบครองแอฟริกาได้เป็นผลสำเร็จ โดยพื้นที่ที่อังกฤษเข้าไปครอบครองในช่วงเวลานั้นคือ ประมาณสัก 150 ปีที่แล้ว สามารถเข้ายึดครองแอฟริกาทั้งทวีปได้ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว หมายความว่า.. “จักรวรรดิบริติช” มีพื้นที่แทบจะทั่วทุก พื้นที่ทั่วโลก และนอกจากครอบครองพื้นที่เหล่านั้นแล้ว ยังได้มีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติ กลับไปยังอังกฤษอีกด้วย
1
แล้วก็ยังได้สร้างระบบการค้าประเภท แร่ โลหะ ฯลฯ. นอกเหนือไปจากความครอบคลุมในพื้นที่ต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่า.. ในแง่ของเชิงยุทธศาสตร์แล้ว พื้นที่..ที่มีความสำคัญมาก เช่น พื้นที่ “คลองสุเอซ” ไม่เพียงแค่ว่า.. “อังกฤษจะสามารถเดินเรือผ่านจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังทะเลแดงได้เท่านั้น..
1
แต่ยังได้มีการเพิ่มกำลังทหารเข้าไปดูแลจนกระทั่งทำให้พื้นที่ดังกล่าว.. ต้องกลายเป็นพื้นที่ภายใต้การควบคุมดูแลของอังกฤษ และเพื่อที่จะได้ควบคุมเส้นทางการค้าของโลกด้วยเช่นเดียวกับ การที่ดูแลพื้นที่ในแถบมหาสมุทรอินเดีย และแหลมมลายู” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง.. ทำให้อังกฤษมีอำนาจและอิทธิพลที่สามารถควบคุมเส้นทางการค้าของโลกไว้ได้เกือบทั้งหมด
2
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 1 บทโหมโรง
โฆษณา