25 พ.ค. เวลา 04:00 • ไลฟ์สไตล์

ตากับกระเพาะ

เมื่อยังวันสะรุ่นเรียนจบใหม่ไฟยังแรงกับการแสวงหา ผมมักจะไปเรื่อยๆตามที่ต่างๆตามแนวรถไฟฟ้าเพื่อหาของกินโดยมีเพื่อนหญิงซี้ย่ำปึ้กสมัยมหาวิทยาลัยนางหนึ่งเป็นกูรูแนะนำและพาไปด้วย
อ้อ ผมขับ เพื่อนเป็นเนฯ
อร่อยจริงสมคำร่ำลือเว้ยมึง
นี่ยังน้อยนะ ปกติถึงกูจะหายใจก็อ้วนแล้วแต่กูยังชื่นชมกับของกินว่ะ
นางว่าพร้อมเอ็นจอยกับการชี้ชวนของกินในร้านให้ผมดูพร้อมคำแนะนำว่าควรสั่งอะไรบ้าง
จริงของมึงว่ะ อร่อยดี
สุดท้ายมันจะลงเอยว่านัดบรรดาผองเพื่อนมานั่งกินที่ร้านนี้กันเถอะพวกเรา
บรรดาท่านๆก็จะมาพร้อมกันโดยได้มีนัดหมาย
เอ็นจอยอีตติ้งกันถ้วนทั่ว
ต่อมาเมื่อทุกคนมีภาระกิจกับงานและครอบครัวมากขึ้น การพบปะหาเรื่องกินก็ลดลง
ไม่ว่างบ้าง นัดแล้วมาไม่ได้บ้าง
อันนี้เข้าใจได้เพราะตัวเองก็เป็นเหมือนกัน
หลังๆส่วนมากผมมักรวมตัวกับที่บ้านเพื่อไปกินอาการนอกบ้านตามชอบ มีบ้างที่กินโต๊ะแชร์กับญาติพี่น้อง แต่ก็ไม่ได้บ่อยนักเพราะที่บ้านทำกับข้าวกินเอง
คนที่บ้านเยอะ ทำเองกินก็อิ่ม ประหยัดด้วย
แต่พอหลังแต่งนี่สิ
แฟนผมออกปากชวนที่บ้านผมไปกินบุฟเฟต์ตามโรงแรมบ้าง ไปร้านโน้นร้านนี้บ้าง สุกี้ชาบูหมูกระทะ แพงบ้างถูกบ้าง เพราะบ้านเขาชอบแสวงหาของกินนอกบ้าน บ้านผมเลยลองดู
ได้ผลครับ ทั้งบ้านเอ็นจอยเหมือนกัน
cr. google ไลน์อาหารต่างๆ
มันสนุกดีเหมือนๆผ่อนคลายบ้าง ไม่ได้เที่ยวได้กินก็ดีเหมือนกัน เจ๊ว่า
ไม่ได้ไปกินทุกวันทุกอาทิตย์ที่ไหน หลายเดือนทีนึง โปรไม่ดีก็ไม่เอาด้วย
ก็ทำกับข้าวกินเองจนชินแล้วนี่หว่า ออกไปกินข้างนอกบางทีมันไม่ถูกใจ
เอาน่า นานๆที
ช่วงนั้นกินบ่อยและกินเยอะ โดยเฉพาะมื้อเย็นจะหนักมากเป็นพิเศษเพราะว่าว่างเฉพาะมื้อเย็นเป็นส่วนใหญ่
กินกันจนพุงกางกลับบ้านนอนกันแทบไม่ไหวเพราะแน่นท้อง
แต่ว่าหาแคร์ไม่
นานวันเข้าร่างกายก็ฟ้องว่าไม่ไหวแล้วเว้ย กูเหนื่อยนะ กินแบบนี้มีหวัง...
รับฟังมากๆเข้าก็ได้คิด
"อย่าตาโตกว่ากระเพาะ"
คำพูดนี้โผล่มาในหัวทันทีโดยมิได้นัดหมาย
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนคิดประโยคนี้ขึ้นมา แต่สำหรับผมมันโคตรตรงใจ
ลองดู
ผมหันกลับมาทำตามประโยคนี้และคิดว่ามันได้ผล
ไปกินอะไรก็ เฮ้ย กระเพาะเรามันก็แค่นี้ กินเท่าที่พอได้
แต่บางทีไปกินบุฟเฟต์ ไลน์อาหารมันเยอะก็มีหลุดเหมือนกันเพราะของมันน่ากินทุกอย่าง ครั้นกินมากเกินจนเกิดอาการแน่นท้องนอนไม่หลับก็กลับมานึกถึงประโยคนี้ หลังจากนั้นก็เริ่มใหม่
หลังๆมีลูกแล้วพอลูกๆจะหยิบของกินมาเยอะๆแบบดูแล้วเกินกว่าจะกินได้ผมก็มักจะบอกว่า"อย่าตาโตกว่ากระเพาะครับลูก"
แน่นอนว่าไม่เชื่อ หยิบมาเพียบ
ครั้นกินไม่หมด ผมก็จะบอกว่าให้กินให้หมดนะลูก รับผิดชอบไป (ถ้าไม่ไหวจริงๆจะให้หยุดครับ แต่ก่อนจะหยุดได้ต้องให้จำขึ้นใจก่อน-แลน่าสงสารนะแต่ต้องใจแข็งไว้)
และเมื่อเวลาต่อมาเด็กๆก็จะพอจำได้ว่าควรหยิบมาเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าหยิบเกินเขาจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง
อ้อ แต่มันก็ชั่วคราวนะครับ เด็กก็มีหลุดบ่อยๆ อันนี้เข้าใจได้เลย
แฟนผมก็เป็นครับ กินบุฟเฟต์เกินขีดจำกัด
แรกๆยังไหวร่างกายยังดีมาก แต่ต่อมาคุณเธอก็บอกว่ากินมากเกินแน่นท้องนอนไม่หลับเหมือนกัน
"อย่าตาโตกว่ากระเพาะสิเธอ"
แฟนพยักหน้ารับคำ
หลังจากนั้นคุณเธอก็ปรับพฤติกรรมการกินแบบยัดทะนานมาเป็นน้อยลงแต่หลากหลายร่วมไปกับทำIFด้วย
เห็นว่าสบายท้องขึ้นเยอะ แต่บางทีก็มีหลุดบ้างซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอันใด
แฟนว่าตั้งแต่ลดปริมาณการกินลงไปบ้าง รู้สึกว่ากินมื้อเย็นได้น้อยลง กินบุฟเฟต์หนักๆไม่ค่อยได้แล้ว แต่สบายท้องขึ้น
เหมือนกันครับ ช่วงหลังๆผมทานมื้อเย็นแบบลดปริมาณลงเว้นแต่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ถึงจะกินเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้ยัดทะนานแล้ว เน้นมื้อเช้าหนักหน่อย กลางวันลดลงนิด และเน้นออกกำลังช่วงเช้าก่อนหรือหลังอาหารก็ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือมากสุดก็เกือบชั่วโมงเป็นประจำเกือบทุกวันถ้าทำได้
ผลคือรู้สึกว่าร่างกายเฟิร์มขึ้น นอนหลับง่ายและนานขึ้น ภูมิแพ้ลดลงไปบ้างตามสมควร(ต้องดูว่าค่าฝุ่นpm2.5เยอะไหมประกอบกัน) อ้อ น้ำหนักขึ้นมาเพราะกินมื้อเช้าหนักกว่าปกติ นี่กำลังจะลดลงสักนิดครับเพราะรอบเอวชักจะหนาขึ้นอย่างรู้สึกได้
ทุกวันนี้ประโยคที่ว่า"อย่าตาโตกว่ากระเพาะ"ผมยังเอามาปรามลูกๆเสมอในยามที่เล็งแล้วว่ามีการหยิบอาหารมาเกินพอดีและมีทีท่าว่าจะเกินอยู่
ม้าว่าเด็กๆจะกินก็ปล่อยมันกินไป ไม่ต้องไปห้าม
ผมว่าไม่ได้หรอก จะกินจะหยิบอะไรมากินควรจะให้มันพอเหมาะกับตัวเอง กินไม่อิ่มค่อยตักเพิ่ม ดีกว่าตักเกินแล้วกินไม่หมด เสียดายของมากกว่าถ้าตักมาแล้วต้องทิ้ง
ม้าดูจะเห็นด้วยอยู่กลายๆ
แต่ดูลูกลื้อมันผอมไปนะ
อย่างนี้ล่ะดีแล้ว เวลาอ้วนยังมีอีกเยอะ
ม้าหัวเราะเพราะคำพูดนี้ม้าเอามาบอกให้ฟังเองเมื่อหลายปีก่อนและตอนนี้มันก็กลับมาแล้ว
ถึงทุกคนที่ได้ยินผมกับแฟนอธิบายเรื่องนี้แต่ก็ยังมีคนในบ้านไม่เห็นด้วยเหมือนกัน นั่นหมายรวมถึงลูกๆผมด้วย
แต่ทำไงได้ล่ะลูก ทำตามไปเหอะ ว่าง่ายๆ
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำกันไป
การกินอาหารดีๆมื้อใหญ่ๆสักมื้อไม่ใช่เรื่องเสียหาย คนเราชอบทั้งนั้น
ก็มันอร่อยนี่
ลูกๆชอบตอบแบบนี้เวลาถามว่าทำไมเจริญอาหารดีจริง
มันเป็นการตอบสนองทางใจอย่างหนึ่งครับ
แต่เมื่อหันกลับมามองอีกทาง การกินอาหารดีๆแต่เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการมันคือสิ่งที่ไม่ดีเหมือนกัน เพราะการบริโภคเกินความต้องการหรือเกินขีดจำกัดของร่างกายมันส่งผลกระทบเยอะ
เบาะๆก็เรื่องอาหารไม่ย่อย,กรดไหลย้อน,เรื่องอ้วนหรือโรคภัยไข้เจ็บที่อาจตามมาอย่างพวกNCD's ซึ่งอันหลังนี้สิที่น่าเป็นห่วง
บางท่านอาจบอกว่า งั้นก็ออกกำลังกายสิ มันช่วยได้
ไม่เถียงครับ มันช่วยได้ แต่ไม่ใช่เรื่องลดน้ำหนักนะครับ
มันแค่ทำให้ร่างกายดูฟิตแอนด์เฟิร์มมากกว่าที่จะลดน้ำหนัก
สิ่งที่ทำให้ลดน้ำหนักได้จริงๆคือการกินให้ถูกส่วนและปริมาณที่กินเข้าไปต้องสัมพันธ์กับพลังงานที่เราใช้ไปในแต่ละวัน
ทุกคนเข้าใจหลักการพื้นฐานข้อนี้ดีครับ แต่มันอยู่ที่การปฏิบัติตัวต่างหากว่าทำได้แค่ไหน
ทำได้ก็ลดได้ครับ
แต่ส่วนใหญ่ เอิ่ม...
ไม่งั้นเราจะมีสถานที่ลดน้ำหนักผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดหรือ
เพื่อหญิงผมบอกว่าสถานที่แบบนั้นมันคือความหวังสุดท้ายของผู้มีน้ำหนักเกินขีดจำกัดเว้ย กูก็ไม่เว้น
แฟนผมก็เคยว่าไว้แบบนั้นเหมือนกัน
"อย่าตาโตกว่ากระเพาะ"
ประโยคนี้ติดปากผมอยู่เรื่อยๆ ใครได้ยินก็มักจะหัวเราะเสมอ
cr. google ชูชก
มันก็น่าหัวเราะเหมือนกัน ไปยุ่งอะไรกับความเอ็นจอยของใครกับเรื่องนี้
ผมแค่อยากเตือนสติตัวเองมากกว่าครับว่าอย่าเห็นแก่ของที่เราเห็น คนเรามีขีดจำกัดในการจัดการกับมันนะบอกไว้ก่อน และเราไม่ได้จัดการได้ทุกอย่างตามที่ตาเห็นเสมอไป
สติมาครับ สติ
อย่าหน้ามืดตามัวเพราะความหิว
อย่าหน้ามืดตามัวเพราะคิดว่าของแค่นี้เอง แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หมด
อย่าหน้ามืดตามัวเพราะตูข้านี้เจ๋งพอที่จะฟัดมันได้หมดชัวร์
ของมันบ่แน่หรอกนาย
เห็นปางตายกันมาเยอะแล้ว
cr. google ชูชกบริโภคอาหารเกินขนาดจนตาย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา