9 พ.ค. เวลา 05:45 • สุขภาพ

กาแฟสด กับ กาแฟสำเร็จรูป แบบไหนมีคาเฟอีนมากกว่ากัน?

กาแฟ เครื่องดื่มที่หลายคนต้องมีติดมือทุกเช้า และมีประโยชน์มากตามงานวิจัย แต่แน่นอนก็มีโทษด้วย เผยข้อควรระวังก่อนกิน! ทำไมควรกินแค่กาแฟดำถึงดีที่สุด?
กาแฟ กลายเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของหลายคนไปแล้ว เพราะรสชาติหอมเข้มข้น แถมยังสามารถเปลี่ยนรสชาติได้ตามความชื่นชอบ ที่สำคัญ กินแล้วตื่น! นี้แหละที่สำคัญ วันไหนง่วงๆหน่อยเจอกาแฟดำขมๆเข้าไปรับรองตื่น ซึ่งจัดว่าเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับนิยมแพร่หลายทั่วโลก พบทั่วโลกดื่มกาแฟสูงถึงคนละประมาณ 43 ลิตรเลยทีเดียว ทำให้เป็นตลาดใหญ่ทางการค้าเลยทีเดียว
กาแฟในด้านโภชนาการ นับว่า เป็นเครื่องดื่มที่มีสารอาหารหลากหลาย แต่ต้องเป็น กาแฟดำ กลุ่ม เอสเปรสโซ อเมริกาโน่ แบล็คคอฟฟี่
เมล็ดกาแฟ
ที่ไม่ได้เติมส่วนผสมอย่างอื่น เช่น น้ำตาลหรือครีม จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีพลังงานต่ำ กาแฟ 1 แก้ว (240 มล. หรือ 8 ออนซ์) มีพลังงานน้อยกว่า 5 กิโลแคลอรี เป็นแหล่งของสารอาหารต่าง ๆ เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และกรดโฟลิก
อีกทั้งยังอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ มากมาย แต่สารซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของกาแฟ คือ คาเฟอีน ที่ช่วยกระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้กระปรี้กะเปร่าและป้องกันอาการเมื่อยล้า
ปริมาณคาเฟอีนรวมถึงสารต่าง ๆ ในกาแฟจะมากหรือน้อยขึ้นกับสายพันธุ์และกระบวนการผลิต
กาแฟสดกับกาแฟสำเร็จรูป มีคาเฟอีน ต่างกันอย่างไร?
  • กาแฟเอสเพรซโซ่ มีคาเฟอีน 64 มิลลิกรัมต่อ 30 มิลลิลิตร
  • กาแฟสำเร็จรูป มีคาเฟอีน 24 มิลลิกรัม ต่อ 30 มิลลิลิตร
ข้อดีของกาแฟ
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด มีงานวิจัยยืนยันว่าการดื่มกาแฟดำในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และยังสามารถลดการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้สูงถึง 21%
  • ฤทธิ์ต้านมะเร็ง กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การดื่มกาแฟสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น หากดื่มกาแฟวันละ 2 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งตับได้ถึง 43% และลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ถึง 52%
  • ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน การดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับการลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน การดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานได้ 6% และมีส่วนช่วยในการลดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน จากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ
  • ช่วยลดโรคอ้วน กาแฟช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน ที่เกี่ยวข้องกับความหิว ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยคาเฟอีนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ ได้ 29% และในคนอ้วนได้ 10%
  • ลดความเสี่ยงของโรคทางสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน มีงานวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเกิดโรคที่เกี่ยวกับสมองได้
  • เพิ่มประสิทธิภาพออกกำลังกาย หากได้รับคาเฟอีน 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ช่วยเพิ่มสมรรถนะและความทนทานในการออกกำลังกายรูปแบบต่าง ๆ ได้
กาแฟชง
ข้อควรระวังในการดื่มกาแฟ
  • ผู้ที่กำจัดคาเฟอีนได้ช้าอาจเกิดผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟ เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย คลื่นไส้ ปวดหัว มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
  • ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การดื่มกาแฟ ตั้งแต่ 2 แก้วขึ้นไป เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งได้ถึง 8% และหากเพิ่มเป็น 4-7 แก้วต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เสียชีวิตหรือภาวะตายคลอด (Stillbirth) มากขึ้นถึง 80%
  • กาแฟเย็นมักมีพลังงานสูงมาก แม้ว่าภายในเมล็ดกาแฟจะมีสารต่าง ๆ ที่สามารถช่วยเรื่องโรคอ้วนและโรคเบาหวานได้ แต่หากดื่มกาแฟที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและครีม จะยิ่งซ้ำเติมให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
จากรายงานของกรมอนามัยพบว่ากาแฟใส่นมขนาด 20 ออนซ์ จะมีพลังงานมากกว่า 200 กิโลแคลอรี และน้ำตาลมากถึง 8-9 ช้อนชา
จึงแนะนำให้ดื่มเป็นกาแฟดำไม่เติมน้ำตาล
  • ส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ร่างกายกำจัดคาเฟอีนได้ช้า ส่งผลให้นอนหลับไม่สนิทหรืออาจนอนไม่หลับเลยก็เป็นได้
  • เพิ่มอาการทางจิตเวช แม้คาเฟอีนจะมีประโยชน์ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิให้ผู้ดื่มมากขึ้น แต่ควรระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีอาการตื่นตระหนกหรือโรคกลัวการเข้าสังคมอยู่เดิม
เพราะการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการผิดปกติทางจิตเวชได้ เช่น ความรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวายใจ และอาการทางจิต ดังนั้นจึงควรดื่มอย่างเหมาะสม โดยเลือกรับประทานเป็นกาแฟดำ ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน เพื่อให้ได้รับประโยชน์และลดโอกาสการเกิดผลเสียต่อสุขภาพ
ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS Wellness Clinic
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา